ตอนที่ 605
เป็นคนคุ้นเคยจริงๆ
“ขณะที่ข้าอายุสิบขวบบังเอิญได้พบผู้อาวุโสท่านหนึ่ง เขาบอกข้าวิธีหนึ่งซึ่งทำให้ชีพจรที่ แตกซ่านอย่างข้าสามารณบำเพ็ญได้ข้าจึงทำตามวิธีที่เขาสอนเริ่มต้นเส้นทางการบำเพ็ญของข้า แต่เขาบอกข้าว่า วิธีนี้ทำได้เพียงให้ข้าได้บำเพ็ญชั่วคราว หากต้องการมีชีวิตต่อจะต้องยกระดับตบะบำเพ็ญให้สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่หลังจากทะลวงขอบเขตจนเข้าสู่ขั้นถํ้าวิญญาณแล้ว ยากนักที่จะทะลวงขอบเขตได้อีกดังนั้นหากยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ จะต้องให้คนขั้นศักดิ์สิทธิ์ลงมือยอมสิ้นเปลืองพลังบำเพ็ญเพื่อช่วยต่อชีพจรให้ข้า” จวงซานบอกความในใจให้มู่ชิงเกอรู้
“รู้ไหมว่าทำไมข้าจึงต้องเป็นสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้า เพราะมีเพียงสิบลูกศิษย์ใหญ่ที่มีโอกาสใกล้ชิดราชาเทวะ ซึ่งเป็นเพียงโอกาสเดียวของข้า” จวงซานพูด
ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง
มู่ชิงเกอเข้าใจ เพียงแต่นางไม่รู้ว่าทำไมจวงซานอยู่ดีๆ จึงบอกเรื่องเหล่านี้ให้นางรู้
คิดว่าความลับของจวงซาน คนอื่นๆ ต่างยังไม่รู้กัน
แต่ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็นึกเข้าใจถึงเหตุผลขึ้นมา เนื่องจากนางเป็นอาจารย์ปรุงยา อีกทั้งยังเป็น อาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพด้วย
“เจ้าสาม ความจริงข้าไม่อยากจะบอกเรื่องนี้ให้เจ้ารู้ไวนัก เพียงแต่วันนี้พอดีคุยกันถึงเรื่องนี้ข้าจึงถือโอกาสบอกออกมาเสียเลย” จวงซานพูด
“ศิษย์พี่จวงซานต้องการให้ข้าทำอะไรหรือไม่,” มู่ชิงเกอถาม
จวงซานยิ้มพูดว่า “นอกจากให้ราชาเทวะที่อยู่ในขั้นศักดิ์สิทธิ์ต่อชีพจรให้แล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยชีวิตข้าได้”
“โอสถ” มู่ชิงเกอบอกคำตอบตรงๆ
จวงซานพยักหน้า “เพียงแต่เสียดายที่คนซึ่งสามารถปรุงโอสถที่ข้าต้องการได้นั้นมีน้อยมากจริงๆ ฐานะของพวกเขาเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าราชาเทวะ ทั้งยังเข้าใกล้ได้ยากกว่าด้วยซํ้า ดังนั้นข้าจึงไม่เคยหวังในเรื่องนี้ แต่พอเจ้าปรากฎตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทั้งเมื่อข้ารู้ว่าเจ้าเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ารู้สึกตื่นเต้นมากเพียงไหน”
“โอสถที่ศิษย์พี่จวงซานต้องการคือโอสถมหาเทพหรือ” มู่ชิงเกอถาม
แต่ว่าจวงซานส่ายหน้า “ไม่ ยังต้องสูงกว่านั้น”
“ระดับจอมเทพ” ตาดำมู่ชิงเกอหดลงพูดเสียงเครียด
จวงซานพยักหน้า ถูกต้อง ต้องเป็นโอสถระดับจอมเทพจึงจะรักษาอาการภายในร่างกายข้าได้” จวงซานมองไปที่มู่ชิงเกอ แววตาเต็มไปด้วยการขอร้อง “เจ้าสามข้าขอร้องเจ้า หากวันหนึ่งเจ้าขึ้นได้ถึงอาจารย์ปรุงยาระดับจอมเทพเจ้าจะปรุงยาให้ข้าได้หรือไม่ เจ้าวาง
ใจได้ สมุนไพรที่เจ้าต้องการข้าจะจัดการเอง ไม่ให้เจ้าต้องยุ่งยาก”
“ศิษย์พจวงซานพูดเกินไปแล้ว หากข้าได้เป็นอาจารย์ปรุงยาระดับจอมเทพ ข้าจะต้องปรุงยาให้แน่นอน” มู่ชิงเกอรับปาก
“ดี ขอบคุณมาก” จวงซานผงกศีรษะด้วยความซาบซึ้ง
เขาบอกมู่ชิงเกอว่า “ไม่ว่าจะปรุงสำเร็จหรือไม่ จากวันนี้ไปชีวิตข้าจวงซานจะฟังคำสั่งเจ้าแล้ว”
“ศิษย์พี่จวงซาน” มู่ชิงเกอตกใจยิ่งนัก
จวงซานกลับยกมือตัดบท “เจ้าสาม เจ้าจะไม่ต้องการก็ได้ แต่นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ชีวิตข้าเป็นของเจ้าแล้วจะใช้อย่างไรให้ทำอะไรหรือจะใช้เมื่อไร ล้วนแล้วแต่ฟังคำสั่งเจ้า”
มู่ชิงเกอถอนใจบอกเขาว่า “ศิษย์พี่จวงซาน พวกเราสำนักเดียวกัน ข้าได้รับการดูแลจากท่านอย่างดี ท่านไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก เรื่องนี้ต่อให้ท่านไม่บอกวันนี้ แต่ถ้าหากวันหลังข้ารู้ข้าก็ต้องรับปาก”
จวงซานกลับสั่นศีรษะอย่างดื้อดึง “รับบุญคุณเพียงน้ำหยดเดียวยังทุ่มเทสายธารคืนได้นับประสาอะไรกับที่เจ้าช่วยนั้นเป็นชีวิตของข้าแท้ๆ”
การยืนกรานของจวงซานทำให้มู่ชิงเกอพูดไม่ออก
สุดท้ายแล้วนางก็พูดอย่างจนปัญญาว่า “เรื่องนี้ เอาเช่นนี้แล้วกันข้าจะจำใส่ใจไว้ เมื่อข้าเข้าถึง ขั้นอาจารย์ปรุงยาระดับจอมเทพจะต้องปรุงยาให้ศิษย์พี่แน่นอน”
“เจ้าสาม ขอบคุณมาก” แววตาจวงซานท่วมท้นไปด้วยความซาบซึ้ง
ออกมาเดินเล่นครั้งนี้มู่ชิงเกอไม่นึกว่าจะได้รู้ความลับนี้ของจวงซานเข้า
จบเรื่องนี้แล้วทั้งคู่เดินต่อไปยังย่านขายของ เพียงแต่เมื่อพวกเขาเดินไปถึงทางแยกหนึ่ง เงาร่างนั้นก็ปรากฎขึ้นอีกโดยแวบผ่านหน้ามู่ชิงเกอไป
ครั้งนี้นางเห็นชัดเจนขึ้นและยิ่งแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด
แววตาดำใสแจ๋วของมู่ชิงเกอหดลงวิ่งตามไป พลางบอกจวงซานไปพลางว่า “ศิษย์พี่จวงซานข้ามีเรื่องต้องไปจัดการ หลังจัดการเสร็จจะกลับไปเอง ท่านไม่ต้องห่วงข้า”
พูดจบนางก็วิ่งตามเงาร่างนั้นเลี้ยวเข้าตรอกแห่งหนึ่งไป
จวงซานก้าวเท้าออกไป ตั้งใจจะตามไปดูมู่ชิงเกอ แต่คำพูดของมู่ชิงเกอก็ทำให้เขาล้มเลิกความตั้งใจ
เขายืนอยู่ที่เดิมด้วยคิ้วที่ขมวดเล็กน้อย พึมพำว่า “เจ้าสามรู้จักคนแดนเหว่ยอี้หรือ” เงาร่างแวบ เดียวเมื่อครู่นี้ที่มู่ชิงเกอตามไปนั้นเขาเองก็เห็น แม้หน้าตาเขาจะเห็นไม่ชัดเจน แต่เขาเห็น ชัดเจนว่าคนคนนั้นใส่ชุดลูกศิษย์ดินแดนเหว่ยอี้
ดินแดนเหว่ยอี้ไม่เหมือนดินแดนฮ่วนเยวี่ย เสื้อผ้าลูกศิษย์จะเริ่มจากสีเทาไปสีดำโดยฐานะของลูกศิษย์เสื้อดำจะสูงที่สุด จะต้องเป็นลูกศิษย์ตำหนักหน้า จึงมีสิทธิ์สวมเสือชุดดำที่เป็นทางการ
ดังนั้นสีดำจึงเป็นสีที่สำคัญที่สุดของแดนเหว่ยอี้ และเป็นสีที่มีศักดิ์สูงที่สุด
คนเมื่อครู่นี้สวมชุดคลุมสีดำล้วน เป็นสีที่สิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าแดนเหว่ยอี้เท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์สวมใส่
มู่ชิงเกอตามเงาร่างนั้นเลี้ยวเข้าซอยหนึ่งแล้วก็อีกซอยหนึ่ง ค่อยๆ ห่างไกลจากย่านขายของไปยังสถานที่เปลี่ยว
ระหว่างติดตามนั้นมู่ชิงเกอพบว่าคนคนนั้นราวกับตั้งใจจะล่อนางให้มาที่นี่
เมื่อเข้าใจแน่ชัดแล้วมู่ชิงเกอก็ถอนใจอย่างจนใจ ฝีเท้าที่ไล่ตามก็ผ่อนคลายสบายขึ้น
คนข้างหน้าเข้าไปในเรือนชุดแห่งหนึ่งทางจากประตูข้างโดยไม่ได้ปิดประตู
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วแล้วก้าวเท้าสบายๆ ตามเข้าไปในลานบ้านพอนางเข้าไป ประตูที่เปิดอยู่ข้างหลังก็ปิดลงเองทันที
อีกทั้งบนประตูยังปิดตราผนึกค่ายกลไว้อีกด้วย
มู่ชิงเกอค่อยๆ หันไปมองโดยไม่ตื่นเต้นแม้เพียงนิดเดียว
พริบตานั้นนางก็ถูกสวมกอดจากทางด้านหลัง ตกอยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นและคุ้นเคย ร่างสูงใหญ่ของเขาสามารถโอบนางได้จนมิด
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์” สองมือใหญ่นวดคลึงเอวนางเบาๆ ข้างหูแว่วเสียงเรียกคล้ายครวญแผ่วๆ
มู่ชิงเกอหันกลับมาอย่างจนใจ มองชายเบื้องหน้าด้วยความฉุนเฉียว “เจ้านี่นับวันยิ่งใจกล้า ใหญ่แล้วนะ”
ครั้งก่อน เพียงแค่วางแผนพบนางที่เหวหนอน เวลานี้ผ่านไปเพียงเดือนกว่า เขาก็ปรากฎตัวขึ้นอย่างเหิมเกริมอีกในดินแดนจงซานที่มีงานสี่ดินแดนเทพถกวิถีอีก
เจ้าแห่งมารคนนี้ไม่ได้เห็นเผ่าเทพในแผ่นดินเทพตะวันออกอยู่ในสายตาเลย
ซือมั่วกอดนางไว้แน่น แววตามีรอยยิ้มเชิดมุมปากเล็กน้อยพูดว่า “ตอนข้าอยู่ที่เหวหนอนไม่ใช่บอกเจ้าแล้วหรือว่าข้าจะมาเยี่ยมเจ้า”
“แต่เจ้าทำเช่นนี้มันเสี่ยงมากเกินไปหากคนรู้ว่าเจ้าเป็นใครแล้วจะทำอย่างไร” มู่ชิงเกอพูดอย่างร้อนรน
“วางใจเถอะในเมื่อข้ากล้ามาย่อมได้เตรียมตัวไว้อย่างดี ไม่มีใครรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่” ซือมั่วบอกนาง
มู่ชิงเกอค้อนเขา
นางย่อมรู้ว่าที่ซือมั่วมาปรากฎตัวที่นี่ได้ย่อมวางแผนไว้แล้ว อาศัยสติปัญญาเขาย่อมต้องทำอย่างรอบคอบ ไม่ต้องให้นางเป็นห่วง
แต่นางก็ยังอดห่วงไม่ได้ เกรงว่าซือมั่วจะถูกตามสังหารจากเผ่าเทพทั้งหมดในแผ่นดินเทพตะวันออก
“หากเจ้าเพียงแค่ต้องการมาเยี่ยมข้า เมื่อได้เยี่ยมแล้วก็ควรกลับได้แล้ว อย่าอยู่ที่นี่นาน เจ้าควรรู้ว่าเวลานี้ ที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางของแผ่นดินเทพตะวันออก”
มู่ชิงเกอแสดงสีหน้าไม่พอใจ
“ข้าก็มาร่วมงานสี่ดินแดนเทพถกวิถีแล้วจะจากไปได้อย่างไร” ซือมั่วพูดอย่างนึกสนุก
“อะไรนะ!” มู่ชิงเกอมองเขาอย่างตกใจเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
เวลานี้นางจึงได้สังเกตเห็นว่าชุดที่ซือมั่วสวม ทั้งป้ายที่คาดเอวไว้เหมือนลูกศิษย์ดินแดนเทพสักแห่ง
“เจ้า…” มู่ชิงเกอมองเขาตาค้าง ในใจผุดความเป็นไปได้บางอย่างขึ้นมา
”นี่เป็นชุดลูกศิษย์ตำหนักหน้าดินแดนเหว่ยอี้ ข้าสวมแล้วเป็นอย่างไรบ้าง” ซือมั่วกางแขนออก ยืนตรงหน้ามู่ชิงเกอแล้วค่อยๆ หมุนหนึ่งรอบ
รอยยิ้มในแววตาเขาเข้มข้นขึ้น แต่มู่ชิงเกอกลับรับรู้ถึงเรื่องหนึ่งแล้ว
ที่แท้สายสืบที่ซือมั่วฝังตัวไว้ในดินแดนเหว่ยอี้ได้เป็นถึงลูกศิษย์ตำหนักหน้าดินแดนเหว่ยอี้แล้ว เข้าไปได้ถึงแกนกลางของแดนเทพนี้แล้ว
ครั้งนี้เขาจึงสวมรอยเป็นสายสืบคนนั้นเดินทางมาที่ดินแดนจงซาน
ขณะที่มู่ชิงเกอนิ่งอึ้งไป ซือมั่วก็หยิบหน้ากากขึ้นมาอันหนึ่งแล้วสวมลงบนใบหน้าของตัวเอง ทันใดนั้นทั้งหน้าตาและรูปร่างเขาก็กลายเป็นอีกคนหนึ่ง แม้แต่กลิ่นอายก็ยังเปลี่ยนไปด้วย
มู่ชิงเกอตะลึงตาค้างสะท้านไม่หยุด
พอซือมั่วลูบหน้าตัวเอง หน้ากากนั้นก็กลับมาอยู่ในมือเขาและเขาก็กลับคืนสู่สภาพปกติ
“นี่คือเครื่องมืออำพรางหรือ” มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะถาม
ซือมั่วสั่นศีรษะช้าๆ “คล้ายแต่ไม่ใช่ นี่เป็นของวิเศษแดนมารเรียกว่าหน้ากากอสูร เพียงให้ดวงตาของหน้ากากนี้มองเพียงครู่ หน้ากากก็จะจดจำทุกอย่างของคนที่ถูกมองไว้ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอาย ใบหน้ารูปร่าง หรือแม้กระทั่งท่าทาง เมื่อสวมแล้วก็จะแปลงให้เหมือนกับคนคนนั้น ต่อให้ผู้แข็งแกร่งสุดยอดขั้นศักดิ์สิทธิ์ก็ยังดูไม่ออกถึงความผิดปกติ
“ร้ายกาจอะไรขนาดนี้” มู่ชิงเกอพูดอย่างตกตะลึง ยื่นมือรับหน้ากากอสูรมาจากมือซือมั่ว
หน้ากากนี้เวลาถืออยู่ในมือดูสวยงามละเอียดลออ แฝงด้วยกลิ่นอายความยั่วเย้า เวลานี้ตาคู่ นั้นปิดอยู่ ไม่รู้ว่าเวลาลืมตาแล้วจะเป็นอย่างไร
พิจารณาดูครู่หนึ่งแล้วมู่ชิงเกอก็ส่งคืนซือมั่ว นางว่า “ถึงแม้มีของวิเศษเช่นนี้ในมือเจ้าก็
ยังประมาทไม่ได้ หากประมือคนอื่นแล้วพลังของเจ้า…”
นางยังพูดไม่ทันจบก็ลืมตาโต เนื่องจากที่ฝ่ามือซือมั่วปรากฎให้เห็นเป็นพลังเทพไม่ใช่พลังมาร
“นี่…” มู่ชิงเกอตกใจจนมึนงงไปหมด
ซือมั่วเก็บพลังเทพคืนแล้วมองนางอย่างขบขัน “ขณะที่เจ้าเข้าไปในแดนมาร ในเมื่อกู่หยากู่เย่มียาที่สามารถทำให้เจ้าเปลี่ยนจากพลังจิตเป็นพลังมารได้ แล้วทำไมข้าจะไม่มียาที่เปลี่ยนจากพลังมารให้กลายเป็นพลังเทพได้เล่า หากไม่มีวิธีการปลอมแปลงเช่นนี้ สายสืบของข้าจะฝังตัวได้อย่างไรในแผ่นดินเทพโดยไม่ถูกเผ่าเทพพบเห็น”
คำพูดของเขาทำให้นางได้สติคืนมา
มู่ชิงเกอเข้าใจแจ่มแจ้ง แล้วนางจึงฝืนยิ้มสั่นศีรษะ ดูแล้วครั้งนี้ซือมั่วจะเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่เพื่อจะมาพบนางในดินแดนเทพตะวันออกนี้
“อย่างไรก็ตามเจ้าก็ยังต้องดูแลตัวเองดีๆ” มู่ชิงเกอพูดอย่างหมดสิ้นหนทาง
ซือมั่วเก็บหน้ากากอสูรแล้วดึงนางเข้าแนบอก หัวเราะเบาๆ “ทำไมหรือ ข้าอยู่ข้างเสี่ยวเกอเอ๋อร์ แล้วทำให้เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่สบายใจหรือ”
มู่ชิงเกอแหงนหน้าถอนใจ “ข้าเพียงแค่คิดว่า หากมีคนรู้ว่าในแผ่นดินเทพมีเจ้าแห่งมารที่ทุกคนคิดว่านิสัยทารุณโหดร้ายทั้งหน้าตาเหี้ยมโหดน่ากลัวอยู่ที่นี่เวลานี้จะทำให้เกิดความสั่นสะเทือนขนาดไหนกัน”