ตอนที่ 660
ดินแดนแห่งความตาย
ที่แท้ เคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างถูกแยกออกเป็นห้าส่วน
สำหรับมู่ชิงเกอแล้วข่าวนี้สำคัญมากจริงๆ อย่างน้อยหนทางในการค้นหาเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างต่อไปของนางก็จะไม่เหมือนแมลงวันไร้หัว หาทางไปไม่ถูกอีก ต่อไป
อีกทั้งนางได้มาแล้วหนึ่งส่วน อีกสองส่วนอยู่ในมือผู้เฝ้ามอง
เขาคงจะบอกว่า อย่างน้อยต้องรวบรวมได้ถึงสามส่วนจึงจะสามารถคลายผนึกข้อความบางส่วนในนั้นได้
มู่ชิงเกอรู้ว่า นี่เป็นความเย้ายวนใจที่ผู้เฝ้ามองให้นางไว้ เพื่อให้นางยอมรับการจัดการในครั้งนี้ต้องเดินทางไปยังแผ่นดินเดิมของตระกูลมู่เพื่อต่อสู้เป็นตายกับมู่ เทียนอิน
“นายน้อย หากท่านไม่มั่นใจก็สามารถปฏิเสธได้” ราชครูไม่สนใจผู้เฝ้ามอง เดินหน้าขึ้นก้าวหนึ่งบอกมู่ชิงเกอ
คำพูดเขาครั้งนี้ ผู้เฝ้ามองไม่ได้เอ่ยห้าม
สีหน้าของเขายังคงเย็นชาลึกลับ ไม่น่าเข้าใกล้ ทั้งคู่ต่างเป็นผู้เฝ้ามองเหมือนกัน แต่สิ่งที่คนอื่นรู้สึกจากตัวเขาเหมือนจะแข็งกร้าวกว่า มีบรรยากาศของความลี้ลับโอบล้อมร่างเขาอยู่ตลอดเวลา
มู่ชิงเกอมองไปที่เขาแล้วพูดด้วยเสียงที่เคร่งเครียดและมั่นใจว่า “ได้ ภายในหนึ่งเดือน ข้าจะไปให้ถึงแผ่นดินเดิมของตระกูลมู่ให้ตรงเวลา”
ราชครูขมวดคิ้วถอนใจ
สิ่งที่มู่ชิงเกอตัดสินใจแล้วนั้น เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ตั้งแต่โลกแห่งยุคกลาง เขาก็เข้าใจในจุดนี้เป็นอย่างดีแล้ว
มู่ชิงเกอต่างกับมู่เทียนอินเพราะนางจะควบคุมอำนาจเด็ดขาดไว้ในมือ นางไม่สนใจว่าคนที่มาร่วมด้วยนั้นมีฐานะเช่นไร สำคัญที่สุดคือจะต้องจงรักภักดีและ เชื่อฟังอย่างไม่กังขา
ดังนั้นราชครูจึงได้วางตัวในตำแหน่งผู้ร่วมสนับสนุนมานานแล้ว
ส่วนมู่เทียนอิน เขาถูกบ่มเพาะขึ้นมาจากผู้เฝ้ามอง พูดได้ว่าในหลายๆ ครั้งเขายังต้องฟังคำสั่งของผู้เฝ้ามอง บารมีของผู้เฝ้ามองในหมู่คณะทั้งหมดยังยิ่งใหญ่กว่ามู่เทียนอินเสียอีก
ความจริง นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
แต่แน่นอนว่าเกิดจากความแข็งแกร่งที่ต่างกันของมู่เทียนอินกับมู่ชิงเกอด้วย
เมื่อได้รับคำตอบของมู่ชิงเกอแล้ว ผู้เฝ้ามองก็พูดอีกว่า “ข้าจะไปกับเทียนอิน แต่ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยแน่”
เขามองไปทางราชครู “เจ้าก็ไปกับเขาได้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าพบเรื่องอะไรระหว่างทาง เจ้าจะยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้ ต้องให้พวกเขาพึ่งพาตัวเองเท่านั้น”
“พวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าจะไม่ซุ่มวางกับดักอะไรเอาไว้” หยินเฉินพูดเรียบๆ
ผู้เฝ้ามอง มองเขาเอ่ยขึ้นโดยไม่ยอมตอบคำถามว่า “สายเลือดสุนัขจิ้งจอกมังกรหรือ ไม่เลวไม่เลว”
พูดจบเขาก็หมุนตัวหายไปจากหอสูง
การที่เขาจากไปโดยไม่ยอมตอบคำถามทำให้หยินเฉินขมวดคิ้วแน่น
ราชครูกลับพูดว่า “เจ้าวางใจเถอะ เขาไม่ทำเรื่องเช่นนั้นหรอก ครั้งนี้เขาตั้งใจจะเลือกระหว่างนายน้อยกับมู่เทียนอินคนใดคนหนึ่ง คาดว่าหลายปีนี้มู่เทียนคงทำให้เขาผิดหวัง ส่วนความก้าวหน้าของนายน้อยก็เกินความคาดคิดของเขา”
มู่ชิงเกอเม้มปาก หันมองราชครู “เล่าเรื่องราวแผ่นดินเดิมของตระกูลมู่ให้ข้าฟังด้วย”
ราชครูถอนหายใจ ผงกศีรษะว่า “ที่นี่ห่างจากแผ่นดินเดิมของตระกูลมู่ไกลมาก ถึงแม้จะอยู่ในแผ่นดินเทพตะวันตกเหมือนกัน แต่แผ่นดินเทพกว้างขวางเกินกว่าที่คนทั่วไปจะคาดคิด เวลาหนึ่งเดือน นับว่ากระชั้นมาก นายน้อยในเมื่อท่านตัดสินใจจะไป พวกเราก็เดินทางไปคุยไปก็แล้วกัน”
“ดี” มู่ชิงเกอผงกศีรษะ ยกมือเก็บหุ่นเทพมารกลับคืน ทั้งเรียกเสี่ยวไฉ่ออกมา สามคนขี่หลังเสี่ยวไฉ่ เสี่ยวไฉ่ร้องเสียงดังนำสามคนพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า มุ่งหน้าแผ่นดินเดิมของตระกูลมู่
บนหลังเสี่ยวไฉ่ ทั้งสามคนยืนรับลม
เสี่ยวไฉ่ป้องกันคนทั้งสามไว้เป็นอย่างดี เพราะบินไปด้วยความรวดเร็วจึงทำให้ลมพัดโหมแรง แต่หลังจากเสี่ยวไฉ่ช่วยสลายสายลมให้แล้ว ลมที่พัดเข้าหาคนทั้ง สามก็เหลือเพียงลมเย็นสบาย
“แผ่นดินเดิมของตระกูลมู่ ราวกับเป็นศูนย์กลางของแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร เป็นดินแดนเทพที่เคยรุ่งเรือง แข็งแกร่งที่สุด แต่แผ่นดินเดิมของตระกูลมู่เวลานี้กลายเป็นแผ่นดินมรณะที่แม้แต่วิญญาณเร่ร่อนยังไม่ยอมไปและไม่กล้าไป” ราชครูค่อยๆ เปิดปาก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นคนเริ่มเล่าเรื่องตระกูลมู่หลังจากเข้ามาในแผ่นดินเทพแล้ว
เขามักจะหวังให้มู่ชิงเกอแข็งแกร่งขึ้นอีกหน่อย สามารถป้องกันตัวเองได้ดีขึ้นอีกนิดแล้วค่อยไปจัดการเรื่องตระกูลมู่ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าโชคชะตาก็ยังคงกำหนดไว้แล้ว ทั้งยังเร่งรีบจนเตรียมตั้งรับไม่ทัน
“ดินแดนเทพของตระกูลมู่ถูกเรียกว่าเก้าชั้นฟ้า” เสียงของราชครูเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งทรงพลังขึ้นมา
เก้าชั้นฟ้า!
ตาดำมู่ชิงเกอหดลง นางรู้สึกเกินคาดเล็กน้อย เดิมเข้าใจว่าดินแดนเทพของตระกูลมู่คงเรียกว่าดินแดนอะไรสักอย่าง แต่ไม่นึกว่าเป็นชื่อที่สูงส่งจนไม่มีใครเอื้อมถึงเช่นนี้
“เก้าชั้นฟ้า…” ราชครูเต็มไปด้วยความสะท้อนใจ
มู่ชิงเกอสามารถรับรู้ได้ถึงความอาลัยอาวรณ์ต่อตระกูลมู่ของเขา
“นอกเก้าชั้นฟ้า เทพสงครามปรากฎ ตระกูลมู่ครั้งนั้นแข็งแกร่งเกินไป เป็นที่ใฝ่หามากจนเกินไป เก้าชั้นฟ้า เป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร หากพูดว่า ในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร เทพในจิตใจของมนุษย์ธรรมดาก็คือพวกที่บำเพ็ญในดินแดนเทพต่างๆ แล้ว เช่นนั้นแล้วในจิตใจของมนุษย์เทพเหล่านี้ เทพที่แท้จริงที่สามารถยกย่องเป็นเทพได้ก็คงมีเพียงตระกูลมู่ในเก้าชั้นฟ้าเท่านั้น”
แววตาของราชครูเต็มไปด้วยการคิดคำนึง
ทันใดนั้น เรื่องที่เขาพูดก็เปลี่ยนไป สายตาแสดงออกถึงความเศร้าโศก “น่าเสียดาย สูงนักมักโค่นลง ตระกูลมู่ที่แข็งแกร่งที่ทุกคนใฝ่หา กระทั้งที่เคารพบูชา สุดท้ายแล้วก็ยังต้องล่มสลายภายใต้แผนชั่วร้าย เห็นแก่ตัว อิจฉาริษยา เก้าชั้นฟ้าปัจจุบันกลายเป็นดินแดนต้องห้ามของแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร”
มู่ชิงเกอฟังเงียบๆ ไม่ได้ตัดบทคำพูดราชครู
ราชครูสูดลมหายใจลึกๆ ทำจิตใจให้สงบแล้วจึงพูดต่อว่า “ตระกูลมู่ล่มสลาย เก้าชั้นฟ้ากลายเป็นสถานที่ค้นหาของวิเศษของมนุษย์เทพทั้งหมดในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร พวกเขาต่างอยากได้ของวิเศษจากซากปรักหักพังของตระกูลมู่ เกิดการเข่นฆ่ากันอยู่บนนั้นเพื่อแย่งชิงของวิเศษ พวกเขาสามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง การเข่นฆ่ามากมายจนกระทั้งท้องฟ้าของเก้าชั้นฟ้าเกิดการจับตัวของลมปราณคาวเลือดเป็นเวลาร่วมปี เหล่าราชาเทวะทั้งหลายจึงออกหน้าตั้งกฎกติกา ทางไปสู่เก้าชั้นฟ้าให้ดินแดนเทพต่างๆ ของแผ่นดินเทพตะวันตกส่งลูกศิษย์ไปเฝ้าไว้ เมื่อเข้าไปแล้วห้ามไม่ให้มีการเข่นฆ่า ดังนั้นนายน้อยหากจะต่อสู้เป็นตายกับมู่เทียนอินที่เก้าชั้นฟ้า นั้นก็คือการต่อสู้ภายใต้สายตาของดินแดนเทพต่างๆ เป็นการเปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจน”
มู่ชิงเกอฟังอยู่เงียบๆ หลังจากราชครูพูดจบ นางจึงถามว่า “เรื่องเหล่านี้ เหตุใดเจ้าจึงรู้” นางยังจำได้ว่าราชครูติดตามสายเลือดตระกูลมู่ออกจากแผ่นดินเทพมารมา
ราชครูบอกว่า “พันปีแรกที่ออกมา ข้ายังสามารถรับรู้ข่าวสารจากแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรบ้าง”
มู่ชิงเกอผงกศีรษะนิดๆ
นางคิดในใจ ‘ทางไปเก้าชั้นฟ้า สำหรับมู่เทียนอินอาจเป็นการทดสอบ แต่สำหรับข้าแล้วไม่ได้ยากเย็นเลย ที่ข้าจะต้องทำคือ คิดหาวิธีไม่ให้เปิดเผยตัวตนในการ
ต่อสู้’
“นายน้อย ขั้นบำเพ็ญของมู่เทียนอินขณะนี้เป็นอย่างไร” ราชครูถาม
แววตามู่ชิงเกอเปลี่ยนไปแวบหนึ่ง ตอบว่า “ขั้นถํ้าวิญญาณชั้นเจ็ด”
“ขั้นถํ้าวิญญาณขั้นเจ็ด เช่นนั้นไม่ใช่เหมือนนายน้อยเลยหรือ” ราชครูถามด้วยความประหลาดใจ ผลลัพธ์เช่นนี้ดีกว่าที่เขาคาดคิด อย่างน้อยตบะบำเพ็ญของทั้งคู่ไม่ได้ห่างกันมากนัก
มู่ชิงเกอผงกศีรษะนิดๆ “อืม เหมือนกัน”