ตอนที่ 661
ซากปรักหักพังตระกูลมู่
เหมือนกัน
แดนบำเพ็ญเหมือนกัน จะได้ต่อสู้อย่างยุติธรรมไม่ใช่หรือ
สองตาใสกระจ่างของมู่ชิงเกอมองไปไกลๆ ความคิดหมุนวนอยู่ในสมอง สองมือที่ไพล่อยู่ข้างหลังของนาง พลังเทพเป็นสายๆ คอยหล่อเลี้ยงวิญญาณภายในทวนหลิงหลงเป็นระยะๆ
หลายปีมานี้ นางไม่กล้าปล่อยปละ ยิ่งไม่กล้าลืม
ต่อให้นางต้องปิดประตูบำเพ็ญ ขณะบำเพ็ญก็ยังต้องมีสติปลดปล่อยพลังเทพคอยหล่อเลี้ยงทุกวันทุกคืนไม่ได้ขาด
นางเชื่อว่าขอเพียงแค่ยืนหยัดต่อไป สักวันหนึ่ง หยวนหยวนจะฟื้นตื่นกลับมาอยู่ข้างกายนางอีกครั้งหนึ่ง
พลังเทพของมู่ชิงเกอซึมเข้าไปในปลอกนิ้วมือที่แปลงจากทวนหลิงหลงเป็นสายๆ ทะลุ ‘กำแพง’ ที่แข็งแกร่งเข้าไปในช่องว่างวิญญาณ ที่นั่นเป็นจุดกำเนิด วิญญาณ ขณะนี้มีร่างที่ครบสมบูรณ์เอนกายอยู่ เป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตางดงามประณีต
เขาก็คือวิญญาณเทพที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยของหยวนหยวน หลังจากผ่านการหล่อเลี้ยงจากมู่ชิงเกอมานานหลายปีก็ได้กลับคืนสภาพสู่ร่างมนุษย์
เพียงแต่ ที่หว่างคิ้วของเขาขาดไฝเม็ดใหญ่สีแดงที่สดใสแพรวพราวราวกับเปลวไฟที่กำลังเคลื่อนไหวไป
เขานอนหลับอย่างสงบนิ่ง สีหน้าดูสุขใจอย่างมาก
พลังเทพเหล่านั้นถูกเขาสูดเข้าไปไม่ขาดสาย หล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ของเขา
ภายในช่องว่างวิญญาณนั้น เสียงหัวใจเต้นที่แผ่วเบาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแข็งแรงชัดเจนมากขึ้น
ทันใดนั้น ปลายนิ้วของเขาที่วางอยู่ข้างกายก็เกิดกระตุกขึ้นเล็กน้อยแล้วกลับคืนสู่ความนิ่งสงบดังเดิม ในพริบตานั้นว่องไวจนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับเป็น เพียงภาพจำแลงก็ไม่ปาน
เสี่ยวไฉ่อยู่บนท้องฟ้าแผ่นดินเทพตะวันตก บินมาตลอดเวลากว่าครึ่งเดือนจนร่อนลงมาอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง
เก็บเสี่ยวไฉ่กลับเข้าช่องว่าง มู่ชิงเกอมองดูป่าที่ปกคลุมด้วยหมอกควันขาว
“ข้าจะไปสำรวจเส้นทาง” หยินเฉินบอกมู่ชิงเกอ หลังจากนางผงกศีรษะนิดๆ แล้วเขาก็แปลงเป็นแสงสีเงินสายหนึ่งหายไปต่อหน้านางและราชครู
ป่าของแผ่นดินเทพมารเมื่อเทียบกับหลินชวนหรือโลกแห่งยุคกลางแล้วใหญ่โตกว่ามาก
ที่ว่าใหญ่โต ไม่ได้หมายถึงกว้างขวาง แต่หมายถึงพืชพันธุ์ภายในนั้น
ครั้งแรก เมื่อนางเพิ่งไปถึงแดนมารรกร้างก็มีความรู้สึกเช่นนี้ เพียงแต่ขณะนั้นใจนางห่วงอยู่แต่เรื่องความปลอดภัยของซือมั่วจึงไม่มีอารมณ์ชมดูอย่างละเอียด
เวลานี้ เมื่อนางมายืนอยู่ในป่าแผ่นดินเทพก็รู้สึกทันทีถึงความกระจ้อยร่อยของตัวเอง
ไม่ต้องดูอื่นไกล เพียงแค่ต้นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้า ใกล้ๆ นาง ทั้งยังบรรดาไม้พุ่ม เถาวัลย์หนามแหลม ต่างก็ใหญ่โตกว่ามากมายแล้ว
“ทะลุป่านี้ไปแล้วก็จะไปถึงรอบนอกของอดีตเก้าชั้นฟ้า ที่นั่นเคยเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรื่อง ปัจจุบันคงเหลือแค่ซากปรักหักพัง” ราชครูพูดอย่างสะท้อนใจอยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอผงกศีรษะบอกเขาว่า “ไปเถอะ”
หยินเฉินไม่ได้กลับมา แสดงว่าทางข้างหน้าไม่มีอันตราย
หากมีอันตรายเขาก็จะกลับมาบอกให้รู้ถึงแม้ปลีกตัวมาไม่ได้ แต่อาศัยความผูกพันของพันธสัญญาทั้งคู่เขาก็ยังสามารถแจ้งมู่ชิงเกอให้รู้ตัวได้
เวลานี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แสดงว่าทุกอย่างปกติ
“ราชครู ศิษย์พี่เจ้าทุ่มเทกำลังบ่มเพาะมู่เทียนอินมา เวลานี้ไม่รู้สึกเสียดายเขาจริงๆ หรือ” ระหว่างทาง มู่ชิงเกอก็ถามราชครู
ราชครูยิ้มเศร้าบอกมู่ชิงเกอว่า “นายน้อย ท่านไม่รู้ซึ้งถึงนิสัยศิษย์พี่ข้า เขาดูเหมือนไม่มีความรู้สึกผูกพันส่วนตัว ทำอะไรไปตามกฎเกณฑ์กติกา ไม่รู้จักความ สัมพันธ์ที่นอกเหนือจากกฎ แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนไหวมาก”
“จริงหรือ เป็นไปได้อย่างไร” มู่ชิงเกอชักสนใจ
ราชครูเงียบไปสักครู่จึงค่อยๆ พูดว่า “ศิษย์พี่ ติดตามประมุขมู่ทำศึกขึ้นเหนือล่องได้ที่ดูไร้ไมตรีเป็นเพียงสิ่งที่เขาแสดงออกต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น เพราะเขาทุ่มเทความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่ตระกูลมู่และบรรพชนตระกูลมู่”
คำพูดราชครูทำให้แววตามู่ชิงเกอผุดความสงสัยขึ้นมา
ราชครูไม่ทันสังเกต เพียงพูดต่อว่า “นายน้อย ท่านรู้จักพวกเราผู้เฝ้ามองน้อยมาก เหตุใดพวกเราจึงยอมสวามิภักดิ์ต่อตระกูลมู่รู้ไหม”
“เนื่องจากตระกูลมู่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่” มู่ชิงเกอเก็บความสงสัยเอาไว้แล้วเอ่ยตอบ
ราชครูกลับยิ้มสั่นศีรษะ “ผิดแล้ว ผู้เฝ้ามองที่เริ่มสวามิภักดิ์ตระกูลมู่นั้นคือศิษย์พี่ข้า จากนั้นจึงเป็นข้า ยังมี…” นึกถึงผู้เฝ้ามองที่ยอมตายเพื่อตระกูลมู่แล้ว แม้จะ ผ่านไปนานหลายปีก็ยังไม่สามารถทำใจได้
เห็นได้ว่า ความผูกพันของพวกเขาครั้งนั้นลึกซึ้งมากเพียงใด
“ตระกูลมู่ครั้งนั้นยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากนั้นถูกต้อง แต่ที่สำคัญคือบรรพชนตระกูลมู่เวลานั้นมองการณ์ไกลมาก ความคิดของเขาไม่เคยจำกัดเพียงแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร จำกัดอยู่ที่เผ่าพันธุ์เดียว ศิษย์พี่ข้าก็เช่นเดียวกัน ทั้งคู่คุยกันถูกคอมาก สัญญาใจและความเชื่อถือชนิดนั้นยากนักที่คนอื่นจะเข้าถึง ทั้งคู่ต่างเชื่อว่าในเมื่อแผ่นดินเทพมารเป็นแผ่นดินเดียวกันก็ไม่สมควรที่เป็นศัตรูกัน ควรต้องสามัคคีกัน มองไกลไปถึงนอกแผ่นดินเทพมาร” ราชครูกล่าว
‘เทพมารสมัครมานหรือ’ มู่ชิงเกอเลิกคิ้วและบ่นอยู่ในใจ ‘ความคิดลํ้าหน้ามากจริงๆ อย่าว่าแต่หมื่นปีก่อนเลย แม้แต่เวลานี้ความคิดที่เทพมารจะอยู่ร่วมกันยังยากที่จะมีคนยอมรับได้’
แต่สิ่งที่ทำให้นางใส่ใจกลับเป็นอีกจุดหนึ่ง “นอกแผ่นดินเทพมาร ยังมีสถานที่ไหนอีก”
หรือว่าด้านนอกแผ่นดินเทพมารยังมีดินแดนที่กว้างขวางกว่านี้อีก
ราชครูกลับสั่นศีรษะ ถามว่า “ข้าเองก็ไม่ทราบ นายน้อย ท่านเคยได้ยินต้นไม้แห่งโลกหรือไม่”
ต้นไม้แห่งโลกหรือ
มู่ชิงเกอสั่นศีรษะ
ราชครูอธิบายว่า “โลกทั้งสามพันใบ โลกธรรมดานับแสนล้าน มีคนบอกว่าพวกมันไม่เหมือนกับดวงดาวที่กระจายอยู่ในความว่างเปล่าอย่างไม่มีแบบแผน แต่ เหมือนต้นไม้ ลำต้นก็คือแกนโลก ทุกๆ กิ่งก้านก็คือระบบกลุ่มโลกระบบหนึ่ง กิ่งที่แยกจากกิ่งใหญ่ก็คือส่วนหนึ่งของสามพันโลก ใบไม้ที่งอกจากกิ่ง ก็คือแสนล้านโลกธรรมดาที่มีจำนวนนับไม่ล้วน”
มู่ชิงเกอฟังอย่างตั้งใจ ทฤษฎีนี้นางเคยได้ยินขณะอยู่ที่ดินแดนมารริมแม่นํ้าเมิ่งหลานตอนสู้รบกับเผ่าอี้ แม่ทัพใหญ่ข้างกายซือมั่วเคยบอกนางไว้
พวกเขาบอกว่า เผ่าอี้มาจากโลกอีกระบบหนึ่ง เมื่อเกิดรอยแตกในช่องว่างเป็นสาเหตุให้ระบบโลกที่ต่างกันปรากฎรอยแตกด้วยจึงทำให้เผ่าอี้ปรากฎอยู่ในโลกฝั่งนี้
“นี่คือทฤษฎีของต้นไม้แห่งโลก แต่ยังไม่มีใครพิสูจน์จริงเท็จได้ แต่ศิษย์พี่ข้ากับบรรพชนตระกูลมู่ขณะนั้นก็เชื่ออย่างหมดใจ พวกเขาคิดว่าแผ่นดินเทพมารควรสามัคคีกันไว้ทอดสายตามองไปที่ภายนอกศัตรูที่แท้จริงของพวกเราอาจจะมาจากโลกอื่น ไม่ใช่พวกเราที่อยู่บนแผ่นดินเดียวกัน ความคิดเช่นนี้ทำให้ทั้งดินแดนตกตะลึง เพราะฝ่าฝืนซึ่งกฎเกณฑ์ทั้งปวง แต่สองคนที่นำเสนอความคิดนี้ คนหนึ่งเป็นบรรพชนตระกูลมู่ อีกคนเป็นผู้เฝ้ามอง คนส่วนใหญ่จึงไม่แสดงท่าทีอะไร ส่วนอุดมคติร่วมกันของเขาทั้งสองก็คือนำพาแผ่นดินเทพมารให้มองเห็นความจริงแท้ของโลก เสาะหาประตูสู่โลกที่เป็นแกนใหญ่” คำพูดของราชครูทำให้เกิดคลื่นลมปั่นป่วนในจิตใจมู่ชิงเกอ ไม่ใช่ถูกทำให้ตกตะลึงโดยทฤษฎีนี้ แต่นางรู้สึกว่าทฤษฎีนี้เป็นเหตุเป็นผลอย่างแท้จริง
การปรากฎของเผ่าอี้ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ที่เห็นได้ชัดเจนหรือ
ความเร็วการเดินทางของพวกเขาไวมาก มีหยินเฉินเปิดทาง พวกเขาใช้ความเร็วก้าวละหนึ่งพันหมี่ โดยไม่รู้ตัวก็ทะลุป่าย่างเท้าเข้าสู่ซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง…