ตอนที่ 662
หยุด ท่านช้าก่อน
เมฆหมอกสีเทาที่ปกคลุมท้องฟ้าจนมองเห็นอะไรไม่ชัดเจน
ใต้เท้าเป็นซากปรักหักพังที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของเมืองเก่า ผนังกำแพงที่หักพัง เศษอิฐเศษกระเบื้องเต็มพื้น มีแต่กลิ่นอายของความตายที่ปกคลุมอยู่
“นี่หรือคือเมืองที่ตระกูลมู่เคยครอบครอง” มู่ชิงเกอพึมพำ
ราชครูผงกศีรษะเงียบๆ
แสงสีเงินสายหนึ่งบินกลับมาตกลงที่ข้างกายของมู่ชิงเกอกลายร่างเป็นหยินเฉิน เขาบอกมู่ชิงเกอว่า “ชิงเกอ ในรัศมีพันลี้จากที่นี่ต่างเป็นซากปรักหักพัง มีบริเวณราวเก้าร้อยลี้ทางตะวันออกเท่านั้นที่มีคนกำลังเคลื่อนไหว”
“อืม” มู่ชิงเกอผงกศีรษะนิดๆ
“ตระกูลมู่แต่ก่อนนี้มีบริวารมากมาย พวกเขาห้อมล้อมเก้าชั้นฟ้า สร้างเมืองขึ้นมา ยิ่งสร้างก็ยิ่งมาก” ราชครูพูดอย่างสะท้อนใจ
ผ่านมาหมื่นปี เขาได้กลับมายังแผ่นดินนี้อีก สิ่งที่เห็นก็คือความรกร้างเช่นนี้ อารมณ์ที่ผสมปนเปมากมาย พลันทะลักออกมา
“ถึงแม้จะเคยรุ่งเรืองเกรียงไกรปานใด เวลานี้ก็เหลือเพียงธุลีดิน” มู่ชิงเกอพูดเรียบๆ หันมองราชครู “วันนี้เจ้าสะเทือนใจมากเกินไปแล้ว ระวังหน่อย ศัตรูเรา
ยังไม่ปรากฎตัว”
ราชครูสงบอารมณ์แล้วผงกศีรษะ แววตาผุดความละอายใจ บอกมู่ชิงเกอว่า “นายน้อยพูดถูก ข้าปล่อยให้อารมณ์ครอบงำ”
มู่ชิงเกอสั่นศีรษะช้าๆ ขมวดคิ้วพูดกับราชครูว่า “ขณะข้าอยู่ที่วังอู๋หวาและเจอกับมู่เทียนอินพบว่าแขนข้างที่ถูกข้าฟันขาดนั้นถูกต่อเข้าไปแล้ว อีกทั้งข้ายังรู้สึก ได้ว่าแขนข้างนั้นมีพลังโหดร้ายดุดันแฝงอยู่สูงมาก”
ได้ยินคำพูดมู่ชิงเกอแล้ว สีหน้าของราชครูก็เคร่งเครียดขึ้นมา
เขาคิดแล้วจึงบอกว่า “หากข้าไม่คาดเดาผิด ศิษย์พี่คงต้องต่อแขนใหม่ให้เขาแน่ ตามนิสัยศิษย์พี่ เขาไม่มีทางต่อแขนที่ธรรมดาทั่วไปแน่ นายน้อย ระหว่างต่อสู้ท่านจะต้องระวั ระวังกลลวง”
มู่ชิงเกอเม้มปากพยักหน้า
ในเมื่อนางสงสัยแขนข้างนั้นแล้วย่อมไม่ระวังไม่ได้
เพียงแต่คำพูดของราชครูกลับเตือนนางในจุดนี้…แขนข้างที่ต่อเข้าไปใหม่นั้นมีพิษสงอะไรกันแน่ จะเป็นไพ่ตายของมู่เทียนอินหรือไม่
แต่ว่า ทั้งหมดนี้ล้วนต้องรอให้ทั้งคู่พบหน้ากันแล้วก่อนจึงจะรู้
“พวกเราเดินไปข้างหน้าเถอะ เหลือเวลาไม่มากแล้ว” หยินเฉินเตือน
มู่ชิงเกอกับราชครูและหยินเฉิน เดินต่อไปข้างหน้า
เก้าชั้นฟ้าอยู่ใจกลางบริเวณซากปรักหักพัง หยินเฉิน เพียงสำรวจบริเวณรัศมีพันลี้อีกทั้งตามที่ราชครูว่าไว้บริวารตระกูลมู่เก่าได้สร้างเมืองมากมาย คงไม่ได้มีเพียงรัศมีพันลี้นี้แน่นอน
อาจจะหมื่นลี้ หลายหมื่นลี้ แม้กระทั่งหลายแสนลี้ก็เป็นไปได้
พวกเขาเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็วตามทางที่หยินเฉินสำรวจไว้
เมื่อพวกเขาไปถึงบริเวณแปดเก้าร้อยลี้ก็ได้พบกับคนจริงๆ คนเหล่านี้ดูท่าทางหากไม่ใช่ลูกศิษย์ในดินแดนเทพที่ออกมาหาประสบการณ์ก็เป็นกลุ่มมนุษย์เทพที่ไม่ได้อยู่ในดินแดนเทพออกมาผจญภัยที่นี่
ดินแดนที่เคยเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันกลายเป็นดั่งสวนสนุกของเหล่านักผจญภัย การเปลี่ยนแปลงนี้ สำหรับคนตระกูลมู่แล้ว ไม่รู้จะบอกว่ารู้สึกเช่นไรดี
คนเหล่านี้ไม่ได้สลักสำคัญอะไร มู่ชิงเกอไม่อยากเสียเวลา
พวกเขาอ้อมผ่านกลุ่มคนที่กระจัดกระจายกันอยู่เหล่านั้นไปอย่างง่ายดาย เดินทางต่อไปยังใจกลางเรื่อยๆ
ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางก็ยิ่งพบคนมากขึ้น แม้กระทั่งบางแห่ง บนซากปรักหักพังยังเปิดตลาดขายของ เพื่อให้ความสะดวกแก่พวกนักผจญภัยและพวกหาประสบการณ์ในการซื้อหาข้าวของเครื่องใช้
“ความจริง ในเก้าชั้นฟ้ายังจะเหลืออะไรอีกถึงทำให้คนเหล่านี้พยายามจะเข้าไปข้างใน” พอเห็นคนมากเข้ามู่ชิงเกอก็อดไม่ได้ถามขึ้นมา
ราชครูยิ้มแล้วบอกมู่ชิงเกอว่า “ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว ที่ขนไปได้คนดินแดนเทพครั้งนั้นก็ได้ปล้นสะดมไปจนหมดเกลี้ยง ที่ขนไปไม่ได้ก็ทำลายสิ้น มีบางส่วนที่จะต้องเป็นเชื้อสายตระกูลมู่จึงเข้าไปได้อาจยังคงเหลือบ้าง แต่ว่าในหมื่นปีนี้ การเข่นฆ่าตระกูลมู่ของแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร ใครจะรู้ว่ามีเชื้อสายตระกูลมู่เท่าไรที่ตกอยู่ในมือพวกเขาและถูกพวกเขาบังคับให้กลับมาที่นี่ใช้เลือดตระกูลมู่เปิดสถานที่ซึ่งพวกเขาเฝ้ารอคอยอยู่ เก้าชั้นฟ้าย่อยยับไปแล้ว คนเหล่านี้เพียรพยายามกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงเพ้อฝันที่จะได้ของวิเศษจากซากปรักหักพังไปบ้าง ครั้งนั้นตระกูลมู่แข็งแกร่งนัก หยิบอาวุธอะไรสักอย่างออกมาก็ล้วนเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพทั้งนั้น”
มู่ชิงเกอฟังเงียบๆ สรุปได้ในใจ
เนื่องจากความโลภภายในจิตใจทำให้คนเหล่านี้ค้นหามาแล้วหมื่นปีก็ยังไม่ยอมเลิกรา
“แต่ว่า นายน้อย หลังจากท่านเข้าไปในเก้าชั้นฟ้าแล้ว ถึงแม้ในนั้นจะไม่มีอะไรอีกแล้ว แต่อาคมบางอย่างอาจจะยังมีผลอยู่ ต้องระวังอย่าได้พลาดพลั้ง” ราชครูตักเตือน
“อืม” มู่ชิงเกอผงกศีรษะนิดๆ
พวกเขาเดินอยู่ในซากปรักหักพังหกวันห้าคืน ห่างจากเวลานัดหนึ่งเดือนอีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้น แต่พวกเขายังไม่เห็นเก้าชั้นฟ้าเลยแม้แต่เงา
จนถึงเวลานี้ มู่ชิงเกอจึงรู้สึกถึงคำว่า ‘กว้างใหญ่’ ที่ราชครูว่าไว้
ยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง มู่ชิงเกอก็ยังรับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่เกรียงไกรในยุคนั้นของตระกูลมู่
ซากปรักหักพังนี้ ยังอยู่ในกลุ่มเมืองบริวาร เพียงแค่ด้านที่นางเดินผ่านก็ใหญ่กว่าทุกเมืองบริวารของดินแดนเทพที่นางเคยไปแล้ว
“หยุด”
ท่ามกลางซากปรักหักพังพลันปรากฎคนสิบคนขึ้นมา พวกเขาจัดรูปขบวนเป็นรูปสามเหลี่ยม ขวางอยู่ข้างหน้าพวกมู่ชิงเกอ
พวกเขาต่างสวมชุดเกราะอ่อนสีเงิน อาภรณ์ออกศึกแนบร่าง มือถืออาวุธ อาวุธต่างชี้เข้าหากลุ่มมู่ชิงเกอสามคน
“พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงจะเข้าไปในเก้าชั้นฟ้า” คนเป็นหัวหน้าเอ่ยถามด้วยเสียงดุดัน
สายตามู่ชิงเกอกวาดผ่านตราที่หน้าอกพวกเขาจึงรู้ถึงฐานะพวกเขาทันที “ดินแดนจื่อกวงแผ่นดินเทพตะวันตก”
“ในเมื่อรู้ว่าพวกเราเป็นใครก็รีบแสดงป้ายประจำตัวออกมา มิฉะนั้นอย่าได้โทษว่าพวกเราจับพวกเจ้าในฐานะเศษเดนตระกูลมู่” หัวหน้าพูดขึ้นอีก
อาวุธในมือเขาเข้ามาใกล้มู่ชิงเกอมากขึ้นอีก หยินเฉินมีสีหน้าเฉยเมย ราชครูมองมาที่มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอหยิบป้ายประจำตัวออกมาด้วยสีหน้าเป็นปกติ และค่อยๆ ยกขึ้น
ภายใต้แสงอาทิตย์ป้ายเปล่งแสงนวล แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์เกินเทียบเทียม
ลูกศิษย์ดินแดนจื่อกวงหรี่ตาดูเนื้อความในแผ่นป้าย แล้วสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป ใบหน้าที่เคร่งเครียดนั้นกลายเป็นรอยยิ้ม อาวุธในมือก็รีบเก็บกลับไป เขาพูดอย่างประจบประแจงว่า “ที่แท้ราชาเทวะน้อยดินแดนฮ่วนเยวี่ย ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ขอให้ราชาเทวะน้อยโปรดอย่าได้ถือโทษ”
มู่ชิงเกอยกมุมปากบอกเขาว่า “ข้าจะไปเก้าชั้นฟ้า รบกวนหลีกทางด้วย”
“ราชาเทวะน้อยมาเก้าชั้นฟ้าเพื่อหาประสบการณ์หรือ” ลูกศิษย์ดินแดนจื่อกวงที่เป็นหัวหน้า ลองถามด้วยความระมัดระวัง
มู่ชิงเกอพยักหน้าเอ่ยเย้าว่า “ไม่มาหาประสบการณ์ แล้วยังจะมีเรื่องอะไรอีก”
“เอ่อ ราชาเทวะน้อย ข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
ลูกศิษย์ดินแดนจื่อกวงต่างกระจายตัวออกไปหมดแล้ว คนที่เป็นหัวหน้าคนนั้นเดินเข้ามาใกล้มู่ชิงเกอแล้วพูดอย่างเอาใจว่า “ราชาเทวะน้อย ข้างหน้ายังมีคนเฝ้าอยู่อีก เพื่อไม่ให้พวกเขาเข้าใจผิด ข้าน้อยนำทางให้ดีไหม”