ตอนที่ 664
เจ้า มาเพื่อรับความตาย
“ผู้ที่ทำลายเก้าชั้นฟ้าคือบรรพชนตระกูลมู่”
ราชครูนิ่งไปครู่ใหญ่
ผู้เฝ้ามองปรากฎกายขึ้น ถือไม้เท้าเดินเข้ามาหาคนทั้งสาม
จนเขาเดินมาถึงตัวราชครูแล้ว ราชครูจึงถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เหตุใด เหตุใดบรรพชนตระกูลมู่ จึงต้องทำลายที่นี่ด้วยมือตัวเอง”
สองตาที่คลุมเครือของผู้เฝ้ามองจ้องมองซากปรักหักพังของเก้าชั้นฟ้าและก้อนหินที่ล่องลอยบนท้องฟ้า เนิ่นนานเขาจึงพูดขึ้นช้าๆ ว่า “บรรพชนตระกูลมู่ไม่ ยอมให้ที่นี่ถูกแปดเปื้อนจากความโลภละโมบของมนุษย์ ดังนั้นเขาจึงทำลายมันลงด้วยมือตัวเองจะดีกว่า”
“แต่…แต่ที่นี่เป็นเก้าชั้นฟ้านะ เป็นบ้านตระกูลมู่ เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเทพ” ราชครูหันหน้าไปมองผู้เฝ้ามอง มีแต่ความเหลือเชื่อในแววตา
ผู้เฝ้ามองเงยหน้าพูดเรียบๆ ว่า “บรรพชนตระกูลมู่ทิ้งคำพูดไว้คำหนึ่ง”
“อะไรหรือ” ราชครูสะดุดนิ่ง
“เขาว่า…” สายตาผู้เฝ้ามองวนเวียนอยู่ที่มู่ชิงเกอรอบหนึ่งแล้วกลับไปยังก้อนหินที่ล่องลอยบนท้องฟ้า “คนที่สามารถสร้างเก้าชั้นฟ้าขึ้นมาใหม่ได้ มีเพียงนาย น้อยตระกูลมู่เท่านั้น”
ราชครูเบิกตากว้างทั้งสองข้างมองมู่ชิงเกอโดยไม่คาดคิด
เนื่องจาก ในจิตใจเขา นายน้อยตระกูลมู่ก็คือมู่ชิงเกอ ไม่มีใครคนอื่นอีก
มู่ชิงเกอคงยืนอยู่กับที่ ไม่มีอารมณ์สั่นสะท้านใดๆ ท่าทีนิ่งเฉยนั้นราวกับเรื่องที่พวกเขาพูดถึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับนาง
ผู้เฝ้ามองมองมู่ชิงเกออีกครั้งหนึ่งแล้วบอกเขาว่า “เทียนอินรอเจ้าอยู่บนนั้นแล้ว”
มู่ชิงเกอผงกศีรษะช้าๆ หมุนกายมองก้อนหินที่ล่องลอยเหล่านั้น
ปัง!
ทันใดนั้น ร่างนางก็เกิดเปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นมา
เปลวเพลิงนั้นห่อหุ้มร่างนางไว้เหลือเพียงส่วนศีรษะ นางยืนอยู่ในเปลวเพลิงนิ่ง ไม่มีท่าทีเจ็บปวดแม้แต่นิด
“พญาเพลิง!” สองตาของผู้เฝ้ามองถูกแสงเปลวไฟส่องสะท้อนจนแดงฉานพลางเปล่งเสียงประหลาดใจออกมา
หลังจากเสียงของเขาจางหายไป เปลวเพลิงบนร่างมู่ชิงเกอก็หายไปด้วย
ชุดเกราะเปลวเพลิงที่สวยงามยิ่งนักแนบติดอยู่กับร่างกายนาง เสริมส่งให้นางดูองอาจแกล้วกล้า ราวกับเป็นเทพแห่งสงคราม ผ้าคลุมบนบ่าถูกลมพัดจนปลิว สะบัด บนนั้นมีลวดลายเปลวเพลิงประดับอยู่ ทุกครั้งที่ปลิวสะบัดราวกับเปลวเพลิงกำลังโหมไหม้อยู่
“เกราะเปลวเพลิงจากการควบรวมของพญาเพลิง” ผู้เฝ้ามองเปล่งเสียงประหลาดใจอีกครั้ง นัยน์ตาที่ลึกลํ้ายากจะหยิ่งถึงปรากฎแววตกใจขึ้นมา
มู่ชิงเกอค่อยๆ เงยหน้า ในตาดำใสกระจ่างของนางสะท้อนภาพก้อนหินที่ทั้งเล็กทั้งใหญ่ล่องลอยไม่นิ่ง การที่นางสวมชุดเกราะเปลวเพลิงแต่แรกไม่ใช่เพราะนางเกรงการต่อสู้กับมู่เทียนอิน แต่เพราะว่าชุดเกราะเปลวเพลิงนี้แลกมาด้วยการเสียสละของหยวนหยวน
อีกทั้งการโจมตีที่ชุดเกราะเปลวเพลิงได้รับครั้งแรกนั้นมาจากมู่เทียนอิน
มู่ชิงเกอเดินหน้าขึ้นหนึ่งก้าว
“เดี๋ยว” ทันใดนั้น ผู้เฝ้ามองก็เอ่ยหยุดเขาไว้
มู่ชิงเกอหยุดลงมองไปที่เขา
ผู้เฝ้ามองยกมือ แขนเสื้อที่กว้างใหญ่ห้อยตกลง นิ้วของเขาชี้ไปที่หยินเฉิน “เขาไปไม่ได้ในเมื่อเป็นการต่อสู้ที่ยุติธรรม ก็ไม่อาจมีผู้ช่วยเหลือได้”
นัยน์ตาสีเลือดของหยินเฉินเกิดรอยขุ่นมัว ไม่รอให้มู่ชิงเกอพูดอะไร เขาก็กลายเป็นแสงสีเงินบินเข้าไปที่หว่างคิ้วของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอค่อยๆ ลืมตามองผู้เฝ้ามองด้วยแววตาขี้เล่นและเอ่ยว่า “ขอโทษด้วย สัตว์พันธสัญญาของข้าแม้จะไม่ต่อสู้ก็จะอยู่ด้วยกันกับข้า”
คำตอบของนางทำให้ผู้เฝ้ามองขมวดคิ้วขึ้น
“นายน้อย” ราชครูยืนขึ้นมากำชับมู่ชิงเกอว่า “ต้องระวังให้มากนะ”
มู่ชิงเกอพยักหน้า หันกายกระโดดขึ้นจากพื้นดิน มุ่งหน้าไปยังก้อนหินที่ล่องลอยเหล่านั้น นางจะไปเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่ตัดสินชะตากรรมตัวเอง
การต่อสู้นี้นางรอมานานเกินไปแล้ว
ความเคียดแค้นนั้นนางได้เก็บซ่อนมานานเกินไปแล้ว นึกถึงจุดนี้แล้ว นางกลับอยากจะขอบคุณผู้เฝ้ามอง เป็นเพราะข้อเสนอของเขาทำให้นางได้ต่อสู้ชี้ขาดกับมู่เทียนอิน ถึงแม้จะทำให้ความสุขในการทรมานเขาลดลงไปบ้าง แต่นางก็ยังจะค่อยๆ บดขยี้ความหยิ่งยโสของเขา ให้แตกสลายลงทีละนิด…ทีละนิด เหยียบยํ่าเขาให้อยู่ที่ใต้เท้าก่อนจะฆ่าเขาจริงๆ
เงาร่างของมู่ชิงเกอราวกับเปลวไฟแสบตา หายไปจากเบื้องหน้าราชครูกับผู้เฝ้ามอง
สองคนบนพื้นดินยังยืนอยู่กับที่ต่างมองไปยังก้อนหินที่ล่องลอยเหล่านั้น แผ่นดินที่ศักดิ์สิทธิ์ เก้าชั้นฟ้า
ปัง
มู่ชิงเกอตกลงไปอยู่บนก้อนหินลอยก้อนหนึ่ง แรงกระแทกที่ใต้เท้าทำให้เกิดฝุ่นฟุ้งขึ้นมา บนพื้นนั้นปรากฎรอยเท้าลึก
นางเดินวนอยู่ที่เดิม พิจารณาอย่างละเอียดถึงสภาพแวดล้อมบนหินลอย
หินลอยเหล่านี้มีขนาดใหญ่กว่าที่นางคาดคิด
ขณะอยู่บนพื้นดิน นางรู้สึกเช่นกันว่าหินลอยเหล่านี้มีขนาดใหญ่มาก แต่เมื่อมายืนอยู่บนนี้จึงได้พบว่า หินลอยก้อนเดียวก็มีขนาดถึงหนึ่งในสามของเมืองลั่วตูแล้ว
อีกทั้งหินลอยที่นางอยู่ยังไม่ใช่ก้อนที่ใหญ่ที่สุด ก้อนที่ใหญ่ที่สุดนั้นน่ากลัวจะใหญ่เกินครึ่งของแคว้นฉินด้วยซ้ำ
นางแหงนหน้ามองไปที่หินลอยบนศีรษะตัวเอง นั้นคือหินลอยก้อนใหญ่ที่สุด มันลอยอยู่บนฟ้านิ่งๆ ระหว่างนางกับมันมีกระทั่งก้อนเมฆลอยผ่าน
มันดูเหมือนอยู่นิ่ง แต่ความจริงแล้วมู่ชิงเกอรู้ว่า มันกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ช้ามากที่สุดต่างหาก หินลอยที่นี่ยิ่งเล็กก็ยิ่งเคลื่อนที่ได้เร็ว ยิ่งใหญ่ก็เคลื่อนที่ได้ช้า
บริเวณที่มู่ชิงเกออยู่ รอบๆ มีหินลอยนับพันก้อน นางยากที่จะนึกภาพได้ว่า ขณะที่หินลอยเหล่านี้รวมเป็นหนึ่งเดียวนั้นจะมีขนาดใหญ่โตเพียงไร
‘เก้าชั้นฟ้า…เก้าชั้นฟ้าที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไรนะ’ ขณะที่อยู่ในนี้ มู่ชิงเกอก็อดถามตัวเองไม่ได้
หินลอยที่นางอยู่ก้อนนี้มีกำแพงแตกหักที่หลงเหลืออยู่ มีสิ่งก่อสร้างที่พังเสียหาย มีร่องรอยของความสวยงามหลงเหลืออยู่ คิดว่าสถานที่นี้ในครั้งนั้นคงจะสวย งามอย่างที่สุดทีเดียว แต่เวลานี้คงเหลือเพียงฝุ่นหนาเตอะ ทั้งยังมีความเงียบสงบที่ยาวนาน
“มู่ชิงเกอ…” ทันใดนั้นก็มีเสียงตวาดดังมาจากที่สูง มู่ชิงเกอแหงนหน้ามองไปยังจุดที่มีเสียงส่งมา เวลานี้นางมองเห็นว่าที่ขอบหินลอยก้อนใหญ่ที่สุดนั้นมีคน กำลังยืนก้มมองนางอยู่
เป็นใครน่ะหรือ
ไม่ต้องเดา นางก็รู้
มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปาก ไม่ได้ลังเลแม้แต่นิด ร่างกลายเป็นแสงเปลวไฟสายหนึ่งมุ่งหน้าไปยังหินลอยก้อนใหญ่ที่สุดทันที
ความเร็วสูงนั้นทำให้ระหว่างที่บินเกิดประกายไฟขึ้น
ขณะที่มู่ชิงเกอลงมายืนตรงข้ามมู่เทียนอิน รอบตัวนางก็มีเปลวไฟลุกโหมขึ้นมาแล้ว นางที่อยู่ในเปลวไฟค่อยๆเงยหน้าขึ้นมอง แววตาใสกระจ่างแฝงด้วยความเย็นเยียบ
ภาพนี้ทำให้มู่เทียนอินชะงัก แววตามืดทึบขึ้นมา วันนี้เขาเองก็สวมชุดนักรบสีทองตลอดร่าง แต่งกายเต็มยศมารออยู่ที่นี่ เขามองไปที่มู่ชิงเกอ กระบี่ยาวในมือ กรีดลงที่พื้น ไอกระบี่ไร้รูปร่างทิ้งรอยลึกไว้ที่พื้นผิวสายหนึ่ง
มู่ชิงเกอเก็บเปลวไฟบนร่างแล้วมองมู่เทียนอินด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก มือขวาคว้าอากาศ ทวนหลิงหลงถูกนางกำไว้ในมือ ปลายทวนคมกริบชี้ลงที่พื้นเช่นเดียวกัน
“มู่ชิงเกอ ข้าต้องยอมรับจริงๆ ว่าเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่เลวเลย แต่ข้าก็จะบอกเจ้าให้ว่าข้อผิดพลาดมากที่สุดของเจ้าคือไม่สมควรมาที่นี่ เพราะที่เจ้ามาก็เพียงเพื่อรับ ความตายเท่านั้น” มู่เทียนอินยิ้มเยาะด้วยความเย็นชามองที่มู่ชิงเกอ