Skip to content

พลิกปฐพี 665

ตอนที่ 665

พึงรู้ไว้ อย่าหมิ่นว่าจนยามเยาว์

มุมปากมู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะเชิดขึ้น แววตาของนางมองมู่เทียนอินอย่างนึกขันพลางใช้นํ้าเสียงเยาะเย้ยเต็มที่เอ่ยว่า “มู่เทียนอิน เหตุใดเรื่องผ่านมานานเช่นนี้ แล้ว เจ้าก็ยังมีความเชื่อมั่นในตัวเองเช่นนี้อยู่อีกเล่า”

คำพูดของนางทำเอาแววตามู่เทียนอินเย็นวาบ ความแค้นที่ถูกเขาซุกช่อนไว้อย่างดีล้นทะลักขึ้นมาอีกครั้ง

เดิมทีเขาวางแผนว่าจะใช้ท่าทีของผู้แข็งแกร่งกว่าเอาชนะมู่ชิงเกอแล้วจึงฆ่าเขาทิ้ง เขาจะต้องให้อีกฝ่ายรู้ว่า แม้ว่าเขาปีนขึ้นมาจากโลกแห่งยุคกลาง แม้ว่าเวลานี้เขา จะเป็นราชาเทวะน้อยดินแดนฮ่วนเยวี่ย ต่อหน้ามู่เทียนอิน ต่อหน้านายน้อยที่แท้จริงของตระกูลมู่ เขาก็เป็นได้เพียงแค่หนอนตัวหนึ่งเท่านั้น

เป็นมดปลวกที่ตํ่าช้าตัวหนึ่ง

ยังคงเป็นคนที่ถูกโจมตีจนพ่ายแพ้สิ้นแรงโต้ตอบ ต้องอาศัยลูกน้องสละชีวิตเพื่อเอาตัวรอด กระทั้งต้องอาศัยการเผาผลาญอายุขัยเพื่อแลกกับทางรอดเพียงริบหรี่ที่

หานชุ่นคนเดิมคนนั้น

ความคิดเช่นนี้ของเขาไม่เลว และเพราะความคิดเช่นนี้ ทำให้ในช่วงเวลานี้เขาเฝ้ารอที่จะได้พบกับมู่ชิงเกอตลอดเวลา

แต่ว่า คำพูดของมู่ชิงเกอราวกับทำให้เขากลับคืนสู่สภาพที่แท้จริงของตัวเองก็ไม่ปาน

อีกฝ่ายฉีกเปลือกนอกที่แสนเชื่อมั่นของเขาออก ฉีกเปลือกนอกที่แข็งแกร่งนั้นทิ้งอย่างง่ายดาย

“น่าหัวเราะ เจ้ามดปลวกที่ตํ่าด้อย กล้าหัวเราะเยาะข้าเช่นนี้เชียวรึ” เสียงของมู่เทียนอินเย็นเฉียบ ใบหน้าเขามีแต่ความมืดดำ ดูโหดเหี้ยมน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ “เจ้านี่นะคำหนึ่งก็ตํ่าช้า คำหนึ่งก็มดปลวก ตัวเจ้าเองสูงส่งถึงไหนกัน ข้าว่าชีวิตในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรของเจ้ายังไม่ดีเท่าข้าเลย ได้แต่มีชีวิตอยู่อย่างน่าสมเพช”

“เจ้าพูดเลอะเทอะ ข้าคือนายน้อยตระกูลมู่ที่ฟ้ากำหนด” มู่เทียนอินถูกมู่ชิงเกอยั่วจนโมโหจัด ยกกระบี่ในมือขึ้นชี้ไปที่มู่ชิงเกอ

ไอกระบี่ที่ไร้ตัวตนสายหนึ่งพุ่งออกจากปลายกระบี่ ตรงเข้าไปที่ใบหน้าของมู่ชิงเกอ

สองตามู่เทียนอินดำมืด มุมปากผุดรอยยิ้มโหดเหี้ยม

ไอกระบี่นั้น พริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้ามู่ชิงเกอ แต่นางเพียงเบี่ยงศีรษะเล็กน้อยก็หลบออกจากไอกระบี่ที่ไร้ตัวตนนั้นได้อย่างง่ายดาย

ไอกระบี่เฉียดผ่านข้างหูนางไปกระทบเข้ากับสักแห่งเบื้องหลังนาง

ปัง!

เบื้องหลังนาง เกิดเสียงหินแตกระเบิดขึ้นมาทันที ฝุ่นธุลีฟุ้งกระจายขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วตกลงมาใหม่อีกครั้ง

ที่นี่ รกร้างมาก

ไกลๆ ออกไปนั้น มีเงาตำหนักที่ผุพังรกร้าง บริเวณใกล้ๆ นั้นว่างโล่งเป็นสถานที่เหมาะกับการต่อสู้อย่างมาก

กวาดตาดูรอบๆ แล้ว มู่ชิงเกอก็ต้องยอมรับว่ามู่เทียนอินเลือกสถานที่ได้ดีมาก

“นายน้อยที่ฟ้ากำหนดหรือ” รอยยิ้มที่มุมปากมู่ชิงเกอเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด นางไม่ได้โจมตีกลับทันที แต่ยั่วโทสะมู่เทียนอินต่อไป “หากข้าไม่ได้จำผิด สาย เลือดหลักของตระกูลมู่นั้นคือคนที่ออกจากแผ่นดินเทพมารต่างหาก ส่วนพวกที่เหลืออยู่เป็นเพียงพวกปลายสายตระกูลสาขาเท่านั้น”

มู่เทียนอินให้ความสำคัญเรื่องชาติกำเนิดนักหรือ

‘ดี เช่นนั้นข้าก็จะเริ่มทำลายตั้งแต่ชาติกำเนิดของเจ้า’ มู่ชิงเกอยิ้มเยาะในใจ

“แม้เป็นสายเลือดหลักที่จากไปแล้วจะอย่างไร ครั้งนั้นหากไม่ใช่เพราะสายเลือดหลักไร้ความสามารถ ตระกูลมู่จะพ่ายแพ้ล่มจมหรือ วันนี้มีข้า มีเพียงข้าเท่านั้นจึงจะสามารถนำตระกูลมู่ไปสู่ความรุ่งเรืองเกรียงไกร กลับคืนสู่จุดสูงสุดได้ เจ้ามันเป็นเพียงมดปลวกที่มาจากโลกข้างล่าง มีสิทธิ์อะไรจะมาแย่งชิงกับข้า” มู่เทียนอินพูดกับมู่ชิงเกอต้วยนํ้าเสียงเคืองแค้น

“แย่งชิงหรือ” ท่าทางมู่ชิงเกอเยือกเย็น หางคิ้วยกขึ้น “ข้าว่าเจ้าผิดแล้วล่ะ การที่เจ้าสนใจตำแหน่งนายน้อยตระกูลมู่ไม่ได้หมายความว่าข้าต้องสนใจด้วย ข้าจะบอกเจ้าให้ ตั้งแต่ต้นจนจบ ข้าไม่เคยอยากเป็นนายน้อยตระกูลมู่อะไรนี่เลย สิ่งที่เจ้าใฝ่ฝันอยากได้ทั้งวันทั้งคืน สำหรับข้าแล้วมันช่างไร้ค่าสิ้นดี”

“เจ้าโกหก!” มู่เทียนอินกัดฟันพูดด้วยหน้าตาบึ้งตึง เขาไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อทุกอย่างที่มู่ชิงเกอพูด หากเขาไม่ใส่ใจ เหตุใดจึงต้องปรากฎตัวครั้งแล้วครั้งเล่า ทำลายสิ่งที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้ด้วย

มู่ชิงเกอสั่นศีรษะช้าๆ “จำเป็นต้องโกหกเจ้าด้วยหรือ”

แววตานางผุดแววเย้ยหยันออกมา

นางเดินขึ้นหน้าไปก้าวหนึ่ง ปลายทวนหลิงหลงในมือ วาดผ่านผิวพื้นจนเกิด เสียงแหลม แสบแก้วหูของโลหะ รอยลึกสายหนึ่งปรากฎขึ้นบนพื้น

“ในเมื่อเจ้าไม่คิดอยากเป็นนายน้อยตระกูลมู่ เหตุใดเจ้ายังมาที่นี่” มู่เทียนอินถามเสียงเครียด

มู่ชิงเกอหยุดก้าวเท้า ยิ้มอย่างเย้ยหยัน “เจ้านี่ช่างขี้ลืมเสียจริง ข้ามาที่นี่ย่อมมาเพื่อแก้แค้น”

แววตามู่เทียนอินเย็นวาบ จู่ๆ ก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา

เขาแหงนหน้ายืดอกหัวเราะราวกับได้ยินเรื่องที่ขบขันสุดแสนจนไม่สามารถบังคับตัวเองได้

ปล่อยให้เขาหัวเราะไป ปล่อยให้เขาบ้าคลั่งไป

มู่ชิงเกอยืนเงียบๆ มองท่าทางมู่เทียนอินด้วยสายตาเมินเฉย

สักพัก มู่เทียนอินจึงหยุดหัวเราะ ขณะที่มองมู่ชิงเกออีกครั้ง แววตายังคงคมกริบราวมีดดาบและผุดไอเย็นเฉียบ “มู่ชิงเกอ เจ้าอาศัยอะไร เจ้าคิดว่าพอได้เป็นราชาเทวะน้อยขี้เรื้อนนั้นแล้วก็จะสามารถเทียบเคียงข้าได้งั้นหรือ เจ้าคิดจะฆ่าข้า คิดอยากแก้แค้น เจ้าคู่ควรแล้วหรือ”

มู่ชิงเกอมองเขานิ่งๆ ปล่อยให้เขาส่งเสียงเย้ยหยัน

“เจ้าดูตัวเจ้าสิ เจ้าเป็นแค่ตัวอะไร แค่ตัวที่เพิ่งคลานขึ้นมาจากข้างล่างได้ไม่เท่าไร นึกว่าบำเพ็ญมาไม่กี่ปีก็สามารถมาต่อกรกับข้าได้แล้ว เจ้าอย่าลืมนะว่าครั้งนั้น ที่หานชุ่น ขณะที่ตบะบำเพ็ญข้าถูกสะกดไว้ที่ระดับสีทองชั้นหกเจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ถึงขนาดต้องเผาผลาญอายุขัยเพื่อต่อสู้กับข้า อย่าลืมว่าข้ากับเจ้ามีเหวลึกที่ข้ามไม่ได้กั้นขวางอยู่ เจ้าคิดว่าเหวลึกนี้หลังจากเจ้าเข้ามาแผ่นดินเทพแล้วก็จะสามารถถมให้เต็มได้งั้นหรือ” มู่เทียนอินยิ่งพูดแววเย้ยหยันในแววตาก็ยิ่งเพิ่มพูน

“หากผ่านไปร้อยปี หรือหลายร้อยปี เจ้าค่อยมาปรากฎตัวอยู่ต่อหน้าข้าแล้วพูดเช่นนี้ไม่แน่ว่าข้าอาจจะสนใจฟังบ้าง แต่เวลานี้ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าเจ้ามันฝันเฟื่อง ข้ารอให้เจ้ามาแก้แค้น ประจวบเหมาะกับที่ข้าเองก็คิดตามหาเจ้าเพื่อแก้แค้นเหมือนกัน เป็นอย่างไร มู่ชิงเกอ ข้ายืนอยู่ต่อหน้าเจ้าแล้ว เจ้ามีปัญญาฆ่าข้าไหมเล่า” มู่เทียนอินกางแขนออกทั้งสองข้างออกอย่างย่ามใจ เปิดจุดสำคัญที่หน้าอกออก ในสายตาเต็มไปด้วยความดูถูกถากถาง

“มู่เทียนอิน เจ้าเคยได้ยินคำนี้ไหม” มู่ชิงเกอรอจนเขาพูดจบ มองดูความหยิ่งทะนงของเขาที่เพิ่มขึ้นสูงเรื่อยๆ แล้ว นางก็ค่อยๆ เงยหน้ามองมู่เทียนอินด้วยแววตานิ่งสงบ

ความนิ่งสงบของนางทำให้มู่เทียนอินจำต้องหยุดหัวเราะ แววตาเครียดลงเล็กน้อย รอฟังคำพูดต่อไปของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอใช้เสียงที่เนิบช้า แผ่วเบา เย็นวาบกล่าวว่า “คำนี้ คือ…อย่าหมิ่นว่าจนยามเยาว์”

อย่าหมิ่นว่าจนยามเยาว์*[1]

นัยน์ตามู่เทียนอินเปล่งแสงโหดเหี้ยม พุ่งเข้าหามู่ชิงเกอทันที

แต่มู่ชิงเกอราวกับว่าไม่รู้สึกอะไร ยังคงพูดสิ่งที่นางต้องการพูดต่อ “ขณะอยู่ที่หานชุ่น ถูกต้อง เจ้าร้ายกาจมาก บังคับจนข้าต้องก้าวเข้าสู่ทางตันครั้งแล้วครั้งเล่าแต่เจ้าก็ยังฆ่าข้าไม่ได้ กลับให้ข้าฟันแขนเจ้าขาดไปข้างหนึ่ง บังคับให้เจ้าต้องคลายตบะบำเพ็ญใช้พลังกฎบัญญัติ สุดท้ายแล้วถูกพลังกฎบัญญัติที่ฝืนใช้ออกมาสะท้อนกลับจนทำร้ายสิทธิ์แห่งเทพ ความรู้สึกคงไม่เลวนักใช่หรือไม่”

ระหว่างที่นางพูดทิ่มแทง สีหน้าของมู่เทียนอินนั้นก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อยๆ ความหลังที่ทำให้เขาเสียหน้ามากที่สุด จุดด่างพร้อยในประวัติที่เกรียงไกรของเขา ต้นเหตุของความแค้นที่มีต่อมู่ชิงเกอ

“มู่เทียนอิน หรือว่าจนป่านนี้แล้วเจ้ายังไม่นึกสงสัยหรือว่าเหตุใดจึงไม่สามารถรู้สึกได้ถึงขั้นบำเพ็ญของข้า” มู่ชิงเกอเดินเข้าไปหามู่เทียนอิน

*อย่าหมิ่นว่าจนยามเยาว์หมายถึง คนเราตอนอายุน้อย ยังมีอนาคตที่ไร้ขีดจำกัด อย่าได้ดูถูกว่ายามอายุน้อยยากจนหรือล้มเหลว เพราะอนาคตอาจจะสามารถ ประสบความสำเร็จได้มากมายก็เป็นได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version