ตอนที่ 669
มู่ชิงเกอ มารับความตายเถอะ
ก้อนหินลอยระเบิดแตกออก มันไม่ได้กลายเป็นฝุ่นผงแต่แตกกระจายออกเป็นก้อนหินลอยที่เล็กลง และยังคงล่องลอยอยู่ในบริเวณนี้
ราวกับว่า ก้อนหินที่ประกอบเป็นฐานรากของเก้าชั้นฟ้านั้นจะต้องเป็นของที่นี่ไปชั่วนิรันดร์ถึงแม้จะแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยก็จะต้องอยู่ที่นี่เท่านั้น
มู่ชิงเกอหลบการโจมตีออกไปได้และเห็นภาพที่ก้อนหินลอยแตกระเบิดออก
เวลานี้นางราวกับพอเข้าใจแล้วว่า เหตุใดเก้าชั้นฟ้าจึงได้กลายเป็นก้อนหินลอยนับพันก้อน เกรงว่าหลังจากบรรพชนตระกูลมู่ทำลายเก้าชั้นฟ้า หมื่นปีอันแสน ยาวนานต่อมาก็คงมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนรบพุ่งกันอย่างดุเดือดบนนี้จึงทำให้จำนวนก้อนหินลอยมีมากขึ้นเรื่อยๆ
มู่ชิงเกอถอนสายตากลับมองไปที่มู่เทียนอิน
เมื่อครู่นี้การที่นางหลบพ้นจากการโจมตีของเขา เหมือนจะทำให้มู่เทียนอินโมโห สีหน้าเขาเหี้ยมโหด นัยน์ตาแดงก่ำ เต็มไปด้วยความโกรธแค้น เขาร้องลั่นด้วยความโกรธแล้วยกแขนกิเลนขึ้นกระโดดขึ้นจากพื้น พุ่งไปยังมู่ชิงเกอ
พลังนั้นราวกับมีนํ้าหนักมหาศาล พุ่งเข้าไปที่ใบหน้ามู่ชิงเกอ
หมัดนี้มีพลังขนาดทุบก้อนหินลอยให้แตกกระจายได้หากถูกตัวนางย่อมจะรู้ผลได้ทันที
แม้ว่าร่างกายนางจะบำเพ็ญจนแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไรก็ตาม แต่อย่างไรเสียนางก็ไม่ใช่หินลอย ยังคงเป็นเพียงร่างที่มีเลือดเนื้อธรรมดาเท่านั้น
มู่ชิงเกอสะบัดทวนหลิงหลงคิดต้านการโจมตีของมู่เทียนอิน แต่ทวนของนางยังไม่ทันถูกตัวมู่เทียนอิน ก็ถูกพลังที่แข็งแกร่งสายนั้นกระแทกจนกระเด็นลอยออก ไป
มู่เทียนอินตกลงมาจากกลางอากาศแล้วคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น แขนกิเลนข้างนั้นทุบลงกับพื้นอย่างแรง พื้นดินพลันแตกแยกออกจากจุดศูนย์กลางของหมัด ขยายออกไปทุกทิศทางอย่างน่ากลัว
พลังหมัดนี้ทำให้มู่เทียนอินพอใจยิ่งนัก
เมื่อเห็นมู่ชิงเกอถูกหมัดเขาซัดจนกระเด็นออกไป เขาก็ยิ่งพอใจมากขึ้นไปอีก
เขาแสยะยิ้ม ไม่ให้โอกาสมู่ชิงเกอพักหายใจ กระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าติดตามมู่ชิงเกอไปทันที
“ฮ่าๆๆ” เขาหัวเราะลั่นราวกับมีความสุขอย่างยิ่งกับการที่มู่ชิงเกอถูกเขาไล่ทุบไล่ตี พลังที่แขนกิเลนให้มานั้นทำให้เขารู้สึกถึงความแข็งแกร่งอย่างที่ตัวเองไม่เคยมี มาก่อน ทำให้เขาดื่มดํ่ากับพลังชนิดนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น
มู่ชิงเกอมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าเย็นเฉียบ ไม่หวั่นไหวจากเสียงหัวเราะที่ยโสโอหังนั้นแม้แต่นิด
มู่เทียนอินแกว่งแขนกิเลนพุ่งไปที่ตรงหน้านาง ทั้งสองต่อสู้อย่างดุเดือดอีกครั้งที่กลางอากาศ
พลังของแขนกิเลนนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่มู่ชิงเกอคาดคิด
กระทั้งมู่ชิงเกอยังคิดว่าหมัดกิเลนนี้สามารถทุบเมืองให้พังพินาศได้หรือไม่
หมัดที่ออกมาแต่ละหมัดล้วนมีพลังอย่างมหาศาล ทั้งยังแฝงไปด้วยพลังทำลายล้างที่บ้าคลั่งและกำเริบเสิบสาน
ทวนหลิงหลงในมือมู่ชิงเกอแกว่งไกวไม่หยุดนิ่ง
หมัดของมู่เทียนอิน ทุกครั้งที่กระแทกถูกทวนหลิงหลง ทวนหลิงหลงจะเกิดอาการสั่นไหว พลังนั้นกระแทกจนข้อมือมู่ชิงเกอชาไปหมด รู้สึกราวกับข้อมือ จะฉีกขาด
มองดูทวนหลิงหลงแล้วดวงตามู่ชิงเกอก็เกิดประกายเจ็บปวดแทน
นางไม่อยากเห็นทวนหลิงหลงต้องแตกหักอีก ดังนั้นเมื่อหมัดของมู่เทียนอินซัดเข้ามาที่ตรงหน้าของนางอีกครั้งหนึ่ง นางก็เก็บทวนหลิงหลงไปไว้ที่ด้านหลังของตัวเอง ขณะที่หมัดของมู่เทียนอินใกล้จะถึงตัวนางนั้น นางก็ซัดหมัดซ้ายของตัวเองออกไป
กำหมัดซัดออกเหมือนกัน พลังมหาศาลเหมือนกัน
ต่างกันเพียงแค่มู่ชิงเกออาศัยการฝึกฝนบำเพ็ญของตัวเองทีละขั้นๆ ฝึกฝนบำเพ็ญจิตวิญญาณของตั เองไม่ได้ขาดจนกระทั่งแข็งแกร่งขึ้นมา
ลมปราณหมัดของนางรุนแรงนัก แม้ไม่โหดเหี้ยมป่าเถื่อนดังแขนกิเลน แต่ก็ไม่ได้อ่อนด้อยกว่า
ปัง!
สองหมัดกระแทกเข้ากันอย่างจัง
พลังที่รุนแรงยิ่งระเบิดออกมาจากช่องว่างของสองหมัดที่แนบชิดติดกัน
คลื่นลมปราณที่ไร้รูป พุ่งเข้าแยกร่างของคนทั้งคู่ออก พวกเขาต่างรู้สึกถึงพลังที่แข็งแกร่งวิ่งมาตามแขนเข้าสู่ร่างตัวเอง การฉุดดึงของพลังนั้นทำให้ทั้งสองคน ลอยถอยออกไป
ทั้งคู่ต่างกระอักโลหิต กระเด็นถอยหลังกลางอากาศไปหลายสิบจั้งจึงสามารถหยุดลงได้
แขนกิเลนของมู่เทียนอินไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เพียงแต่ร่างกายเขารับพลังหมัดของมู่ชิงเกอ จนรู้สึกว่าเครื่องในราวกับฉีกขาดจนหมด เจ็บปวดอย่างสุดจะทานทนได้
ส่วนมู่ชิงเกอนั้นเพราะถูกพลังทำลายล้างของแขนกิเลนเข้าไป แขนเสื้อซ้ายจึงฉีกขาดทั้งหมดจนท่อนแขนปรากฎออกมาให้เห็น เส้นเลือดบนแขนฉีกขาด เลือดผุดออกเป็นเม็ดๆ ขึ้นจากผิวหนัง กระดูกที่แตกหัก ทั้งเส้นเอ็นล้วนนูนปูดขึ้นมาที่แขนนั้น
พูดได้ว่า แขนข้างนี้ของมู่ชิงเกอได้เสียรูปไปแล้ว
กระทั่งคลื่นพลังจากแขนกิเลนยังทำให้เนื้อหนังที่แก้มซ้ายนางถลอกหลุดไปส่วนหนึ่ง
เห็นสภาพของมู่ชิงเกอแล้วมู่เทียนอินก็ยกมือเช็ดรอยเลือดที่มุมปากแล้วหัวเราะอย่างเหี้ยมโหด “ฮ่าๆๆๆ มู่ชิงเกอ เจ้าเตรียมรับความตายได้แล้ว”
ท่าทียินดีเช่นนั้นราวกับมั่นใจแล้วว่ามู่ชิงเกอจะต้องตายในนํ้ามือเขาแน่นอน
“มู่เทียนอิน เจ้าดีใจเร็วเกินไปไหม” สายตามู่ชิงเกอมองเขาอย่างนิ่งสงบ
กระจกในมือของผู้เฝ้ามองฉายชัดเจนถึงสภาพย่ำแย่ของมู่ชิงเกอ ทั้งรอยแผลที่แก้มและแขนที่เสียรูป
แต่ความเยือกเย็นไม่ยอมแพ้ของเขา ไม่มีอาการหวาดหวั่นแม้แต่นิดกลับทำให้แววตาผู้เฝ้ามองเกิดความตื่นตะลึงขึ้นในใจ
“เขากับบรรพชนตระกูลมู่…” กระทั้งพึมพำพูดคำที่แม้แต่ตัวเขายังต้องรู้สึกประหลาดใจออกมา เขาถึงขนาดรู้สึกว่ามู่ชิงเกอในกระจกกับบรรพชนตระกูลมู่ในครั้งนั้นเหมือนกันอยู่หลายส่วน
โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น…
ความมั่นคง ความไม่ยอมแพ้ ความเยือกเย็นอย่างที่สุด
แต่ยังไม่ทันที่ความตกตะลึงของเขาจะหายไป ตาดำทั้งสองข้างก็หดลงอย่างกะทันหัน เปล่งประกายสั่นสะท้านที่รุนแรงออกมา
ในกระจกนั้น มู่ชิงเกอที่นิ่งสงบควรมีสภาพทุลักทุเลหลังจากบาดเจ็บสาหัส บาดแผลที่น่ากลัวเหล่านั้นควรจะยํ่าแย่ลง แต่เขากลับมองเห็นว่า ขณะที่มู่ชิงเก อพูดอยู่นั้น แขนข้างที่ผิดรูปผิดร่าง แก้มที่มีรอยถลอกกลับกำลังฟื้นคืนสู่สภาพเดิมในความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ความแข็งแกร่งของการรักษาตัวเองเช่นนี้ เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
ผู้เฝ้ามองเหมือนถูกสะกดนิ่ง
มู่เทียนอินที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับมู่ชิงเกอก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนจึงตกตะลึงไป
เขาตกตะลึงตาค้างมองดูอาการบาดเจ็บของมู่ชิงเกอที่กำลังฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่อึดใจ บาดแผลที่เลือดสาดกระจาย น่าเกลียดน่ากลัวเหล่านั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
แขนข้างที่ผิดรูปกลับคืนเป็นเหมือนเดิม ดูไม่ออกถึงความน่าเกลียดน่ากลัวก่อนหน้านี้แม้แต่นิด เพียงรู้สึกว่าผิวพรรณของ ‘ผู้ชาย’ คนนี้ออกจะละเอียดอ่อนมาก เกินไปเสียหน่อย
“เจ้า!” มู่เทียนอินพูดด้วยความตกตะลึง
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้านี้เป็นความจริง แต่ก็ไม่เชื่อไม่ได้
“ถึงขนาดคืนสภาพเดิมจนหมดสิ้น” ผู้เฝ้ามองพูดอย่างตกใจตรงหน้ากระจก
ราชครูที่ยืนข้างๆ เห็นใบหน้าไร้ความรู้สึกของศิษย์พี่ถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิงก็นึกได้ใจขึ้นมา แต่เขาก็ยังเป็นห่วงว่ามู่ชิงเกอจะเสียท่าต่อแขนกิเลนนั้น
“มู่เทียนอิน ข้าเคยฟันแขนขวาเจ้าขาดไปครั้งหนึ่ง เจ้าเชื่อไหมว่าข้าสามารถฟันมันให้ขาดได้อีกเป็นครั้งที่สอง’’ มู่ชิงเกอชี้ทวนหลิงหลงไปที่มู่เทียนอิน พูดด้วยแววตาเย้ยหยัน