ตอนที่ 670
ข้าเรียกมันว่า ‘บงกชพุทธองค์พิโรธ’
สองตาของมู่เทียนอินเปล่งประกายโหดเหี้ยมออกมา
ที่หานชุ่น เขาถูกมู่ชิงเกอที่ตบะบำเพ็ญตํ่าชั้นกว่าเขาตั้งเท่าไรฟันแขนขวาขาด นั่นเป็นความอับอายขายหน้า เป็นบาดแผลที่ไม่มีวันจางหายในจิตใจเขา
วันนี้ เขายังกล้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ที่ทำให้เขาโกรธจนระงับไม่อยู่คือเขาถึงขนาดพูดอย่างโอหังว่าจะฟันแขนขวาตัวเองให้ขาดอีกครั้ง
เหอะ…
มู่เทียนอินหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาบอกมู่ชิงเกอว่า “หากเจ้ามีฝีมือก็ลองดู”
เขายกแขนกิเลนขึ้นพิจารณาดูแล้วค่อยๆ กำห้านิ้วแน่น ใช้นํ้าเสียงเหี้ยมโหดบอกมู่ชิงเกอว่า “ก็มาลองดูว่าเจ้าจะฟันแขนข้าหรือข้าใช้มันค่อยๆ เด็ดหัวเจ้าลงมา”
มู่ชิงเกอยกมุมปากยิ้มเยาะเขาเช่นกัน “ก็ลองดู”
พูดจบ นางก็กำทวนหลิงหลงฟาดไปที่มู่เทียนอิน พอทวนหลิงหลงขยับพลังกฎบัญญัติบริเวณรอบๆ ล้วนถูกชักนำกลายเป็นพลังราวกับพายุหมุนมุ่งไปที่มู่เทียน อิน
พลังกฎบัญญัติที่รุนแรงเช่นนี้ทำให้มู่เทียนอินตกตะลึงตาค้าง ไม่ทันคิดมากรีบใช้พลังกฎบัญญัติเคลื่อนไปที่มู่ชิงเกอทันที
พลังกฎบัญญัติทั้งสองคนต่างพุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้าม
พลังกฎบัญญัติของมู่ชิงเกอกลายเป็นมังกร มู่เทียนอินกลายเป็นเสือ…พลังกฎบัญญัติไม่ได้วัดกันที่ขั้นบำเพ็ญ แต่วัดกันที่ใครรับรู้ได้สูงกว่ากัน
โฮก…
เสียงคำรามดังสะเทือนไปทั่วทั้งเก้าชั้นฟ้า
คนที่ยืนอยู่บนก้อนหินลอยกำลังฝึกซ้อมบำเพ็ญในที่ไกลออกไปล้วนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากการกระทบกันของพลังกฎบัญญัติ แทบจะถูกแรงสั่น สะเทือนกระแทกจนตกจากก้อนหินลอย
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“เหตุใดจึงสั่นสะเทือนรุนแรงเช่นนั้น”
“ด้านโน้นดูเหมือนมีคนต่อสู้กัน”
“พวกเราไปดูกันไหม”
“เจ้าไปเองเถอะ ข้าไม่ไปด้วยหรอก สู้กันรุนแรง ขนาดนี้ต้องเป็นแค้นถึงชีวิต ข้าไม่อยากโดนลูกหลง”
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดี”
“หลบก่อน รอพวกเขาสู้กันจบสักพักค่อยกลับมา”
พวกที่ฝึกซ้อมบำเพ็ญ พวกที่มาผจญภัยที่กระจายตัวกันอยู่บนก้อนหินลอยของเก้าชั้นฟ้าต่างคิดกันเช่นนี้ พวกเขาพากันถอยออกจากเก้าชั้นฟ้าไปอยู่ที่ที่ไกลออกไป
พวกเขาไม่ได้ขี้ขลาด แต่รู้สึกว่าเรื่องไม่ได้เกี่ยวกับตัวเอง
อีกทั้งการเคลื่อนไหวของกฎบัญญัติที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น หากไม่ระวังโดนลูกหลงแล้วจะไปร้องไห้กับใครได้
การต่อสู้บนก้อนหินลอยยักษ์ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง อาคมต่างๆ ถูกทยอยเอาออกมาใช้บนท้องฟ้า ก้อนหินลอยยักษ์เกิดแสงสีหลากหลายตระการตา
คนบนก้อนหินลอยอื่นๆ ต่างทยอยจากไปกันหมด โดยไม่รู้ตัวทั้งเก้าชั้นฟ้าบนก้อนหินลอยนับพันก้อนคงเหลือเพียงมู่ชิงเกอกับมู่เทียนอินที่ยังคงสู้กันต่อไป
ทั้งสองสู้กันจนแยกไม่ออก พลังเทพในตัวถูกใช้อย่างบ้าคลั่งโดยไม่คิดชีวิต
ผู้เฝ้ามองมือถือกระจกดูการต่อสู้ของคนทั้งสอง สำหรับมู่เทียนอินนั้นเขาเข้าใจดี แต่สำหรับมู่ชิงเกอ เขาเพียงรับรู้จากการบอกเล่าของคนอื่นเท่านั้น
เวลานี้ได้มาดูการต่อสู้ของเขาด้วยตาตัวเอง ผู้ เฝ้ามองอดไม่ได้ต้องเบิกตาโพลงด้วยความสะท้านใจ
“กฎบัญญัติไฟ กฎบัญญัติสายฟ้า กฎบัญญัติไม้ ทั้งยังมีความเร็วของเขา…นี่เป็นพลังของกฎบัญญัติช่องว่าง” ใบหน้าผู้เฝ้ามองปรากฎท่าทีตื่นตะลึง
ความเยือกเย็นของเขาถูกมู่ชิงเกอทำลายลงไปโดยสิ้นเชิง
เขาหันหน้าไปมองราชครูด้วยแววตาคมกริบราวกับมีดดาบ “เขามีกี่รากวิญญาณกันแน่”
ราชครูยิ้ม ในความเยือกเย็นนั้นปรากฎแววภาคภูมิใจกล่าวว่า “ก็มีประมาณนี้นั้นล่ะ ยังมีรากวิญญาณทองอีกหนึ่งชนิดที่ยังไม่ได้ใช้”
คำพูดของเขาราวกับเข็มทิ่มแทงไปที่ใจของผู้เฝ้ามองอย่างแรง
ใช้ไปแล้วสี่ชนิด ยังมีรากวิญญาณทองอีกหนึ่งชนิด มู่ชิงเกอมีถึงห้ารากวิญญาณเชียวรึ
แต่ราชครูยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอ พูดต่อว่า “นายน้อยข้าเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพ อาจารย์หลอมยุทธภัณฑ์ระดับมหาเทพ มีห้ารากวิญญาณ เป็นผู้มี
พรสวรรค์ฝืนกฎฟ้า ในมือมีเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนฉบับเต็มสมบูรณ์กับส่วนกลาง ได้รับการปลุกสายเลือดให้ตื่นขึ้นโดยบรรพบุรุษตระกูลมู่”
ใบหน้าของผู้เฝ้ามองในที่สุดก็กลับคืนสู่ความสงบนิ่ง
เขารู้ว่ามู่ชิงเกอมีพรสวรรค์ราวกับปีศาจ แต่ไม่นึกว่านอกจากพรสวรรค์ราวปีศาจแล้วยังมีโชควาสนา มากมายเช่นนั้นอีก เป็นโชคที่ฝืนบัญญัติฟ้าแท้ๆ
คนทั้งหมดในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรต่างหวังจะแย่งชิงเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่าง
ทั้งๆ ที่พวกเขารู้ว่าหากขาดส่วนบนกับส่วนกลางแล้ว ถึงแม้จะแย่งชิงส่วนล่างมาได้ก็ไม่สามารถบำเพ็ญได้อยู่ดี แต่ก็ยังขจัดความโลภภายในจิตใจตัวเองไม่ได้ อยากแย่งชิงมาไว้ในมือ
แต่มู่ชิงเกอเล่า เขาเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ ที่เพิ่งคลานขึ้นมาจากข้างล่างกลับมีโชควาสนาที่คนมากมายไม่อาจได้มา ต้องพากันอิจฉาริษยา
“ไม่! เป็นไปไม่ได้ เขามีรากวิญญาณมากมายเช่นนั้น เหตุใดจึงทะลวงขอบเขตได้รวดเร็วเช่นนี้” ผู้เฝ้ามองได้สติ แววตาแหลมคมมองไปที่ราชครู
แต่ไม่ทันรอคำตอบของราชครู ตาดำเขาก็หดลงพูดอย่างตกใจว่า “นอกจาก…นอกจากเขา…”
“ถูกต้อง สิทธิ์แห่งเทพของนายน้อยข้าก็คือสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้น อีกทั้งสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นของเขายังหลอมรวมสิทธิ์แห่งเทพโอสถกับสิทธิ์แห่งเทพยุทธภัณฑ์ เข้าไว้ด้วยกัน” ราชครูพูดอย่างภาคภูมิใจ
ผู้เฝ้ามองนิ่งเงียบไป
เขารู้สึกว่าตัวเองประเมินมู่ชิงเกอต่ำเกินไป
เขาไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่มองกระจก ดูการต่อสู้ที่ดุเดือดของคนทั้งสองต่อไป
“เหตุใดเจ้ามีรากวิญญาณมากเช่นนี้ทั้งยังสามารถควบคุมกฎบัญญัติได้มากมายเช่นนั้นด้วย” มู่เทียนอินก็สะท้านใจเช่นเดียวกัน แต่นอกจากสะท้านใจ แล้วก็คือความอิจฉาริษยาที่รุนแรง
ใช่แล้ว เขาอิจฉาริษยามู่ชิงเกอ อิจฉาริษยาที่เขามีพรสวรรค์มากมายเช่นนี้
“ข้าจะต้องทำลายเจ้า! ข้าจะต้องทำลายเจ้า!”
หลายปีก่อน ขณะอยู่ที่หานชุ่นเขาใช้พลังกฎบัญญัติเพียงนิดเดียวก็สามารถไล่ต้อนมู่ชิงเกอจนไร้หนทางโต้ตอบ เวลานี้พลังกฎบัญญัติของอีกฝ่ายถึงขนาดต้านทานเขาได้แล้ว
นี่เป็นสิ่งที่มู่เทียนอินยอมรับไม่ได้
เขาระเบิดพลังอย่างบ้าคลั่ง เรียกพลังกฎบัญญัติมาอีกมากมาย
เขาเป็นรากวิญญาณดินชนิดผ่าเหล่า พลังกฎบัญญัติที่เรียกมานั้นก็คือพลังแผ่นดิน พลังที่หนักหน่วงแห่งแผ่นดิน
เพราะการควบคุมกฎบัญญัติของเขาทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกว่าบริเวณโดยรอบเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง ทั้งบนหินลอยที่ล่องลอยอยู่รอบๆ ก็เกิดพายุรุนแรง หอบเอาฝุ่นดินปะปนกับกฎบัญญัติดินเข้าหารอบตัวมู่ชิงเกอไม่ขาดสาย ทำให้ร่างกายแขนขาของนางหนักหน่วงจนแม้แต่จะกระดิกนิ้วยังทำไม่ได้
“ขยับไม่ได้แล้วใช่ไหม ข้าจะดูว่าครั้งนี้เจ้าจะหนีรอดเงื้อมมือข้าไปได้อย่างไร” มู่เทียนอินหัวเราะอย่างโหดเหี้ยม
เขาใช้กฎบัญญัติดินทำให้มู่ชิงเกอขยับตัวไม่ได้ แล้วยกแขนกิเลนขึ้น ครั้งนี้เขาจะใช้มือข้างนี้บีบคออีกฝ่ายให้แหลกละเอียด ให้เขาตายต่อหน้าตัวเอง
มู่เทียนอินยิ้มแสยะราวกับเขามองเห็นภาพที่มู่ชิงเกอตายในเงื้อมมือเขาแล้ว
แต่เขาลืมมองความสงบนิ่งในดวงตาของมู่ชิงเกอไป
จนกระทั่งเขาพุ่งไปถึงตรงหน้ามู่ชิงเกอแล้วมองเห็นดวงตาที่นิ่งสงบจนผิดธรรมดาของเขา จึงพลันเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นในหัวใจ
เวลานั้น เขาเกิดความคิดขึ้นมาทันทีว่า ต้องหนี
แต่มู่ชิงเกอกลับยิ้มให้เขาแล้วใช้นํ้าเสียงเชื่องช้า เอ่ยว่า “ไม่นานนี้ข้าสร้างกระบวนท่าใหม่ขึ้นมาเอง ยังไม่เคยลองกับใคร จะลองใช้เจ้าซ้อมมือดูหน่อยแล้วกัน ข้าเรียกกระบวนท่านี้ว่า ‘บงกชพุทธองค์พิโรธ’ ”