ตอนที่ 731
องครักษ์เขี้ยวมังกรต่อสู้ครั้งแรก สะท้านซวีซิว
“พวกเจ้าอยู่อย่างไร้ค่ามานานขนาดนี้ แม้กระทั่งองครักษ์ข้าที่อายุยังไม่ถึงร้อยปีก็ยังสู้ไม่ได้ หากไม่เชื่อพวกเจ้าก็ลองดู!” แววตามู่ชิงเกอผุดความเย้ยหยัน
นํ้าเสียงนางช่างดูแคลนทำให้คนตระกูลมู่เหลือเดนต่างแสดงท่าทางโกรธแค้น
แววตาที่ไม่ยินยอมนั้นส่งประกายแค้นเคืองออกมา
ความแค้นนี้ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ตัวมู่ชิงเกอแต่ เป็นนํ้าเสียงของคำพูดนี้
ซวีซิวขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วค่อยๆ เลื่อนสายตาไปที่มู่ชิงเกอ แววตาดูไม่เห็นด้วยราวกับจะบอกว่า ‘คนของเจ้าถึงแม้เป็นที่ยอมรับของเจ้า แต่คนตระกูลมู่เหลือเดนบนแผ่นดินเทพก็ไม่ใช่จะไม่มีอะไรดีเลย’
เพียงแต่มู่ชิงเกอไม่ได้ใส่ใจต่อการบอกใบ้ทางสายตาของซวีซิว กระทั่งไม่สนใจมองเลยด้วยซํ้า
” เจ้า-เหิม-เกริม-เกิน-ไป-แล้ว! ”
“หากเป็นพวกเจ้าเหลืออยู่บนแผ่นดินเทพ ไม่แน่ว่าอาจจะแย่กว่าพวกเราอีก”
“อะไรคือถนัดที่สุดเรื่องวิ่งหนี? พวกเราต้องการรักษากำลังเอาไว้ต่างหาก!”
“ต่อให้เจ้าเป็นนายน้อยก็ไม่สมควรว่าพวกเราเช่นนี้!”
เสียงอึกทึกในตำหนักใหญ่เริ่มดังขึ้นมาอีก
พวกเขาต่างระบายความไม่พอใจต่อมู่ชิงเกอ ออกมา ความไม่พอใจต่อเขานั้นไม่เพียงแค่เพราะความโอหังในคำพูดเขาเท่านั้น ยังมีความไม่พอใจที่เขามีพฤติกรรมเช่นการ ‘เสร็จนาฆ่าโคถึก’ อีกด้วย พวกเขากำลังเรียกร้องความเป็นธรรมให้ซวีซิว
ซวีซิวเป็นผู้เฝ้ามอง เป็นสติปัญญาของตระกูลมู่
เวลานี้เขามองออกถึงสาเหตุของปัญหาแล้ว และรู้ว่าไม่ว่าตัวเองพูดอะไรไปในเวลานี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเองในความคิดของคนเหล่านี้ได้
ซวีซิวถอนหายใจยาว สายตามองไปทางราชครูกลับเห็นว่าเขายืนแน่นิ่ง ไม่ได้มีอาการตื่นเต้นอะไรเลยแม้แต่น้อย
ซวีซิวอดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงไปถามว่า ‘เจ้ามีความเชื่อมั่นต่อเขามากถึงเพียงนี้เลยหรือ’
ราชครูได้รับการถ่ายทอดเสียงแล้วจึงมองสบตาเขา ‘ศิษย์พี่ดูอย่างใจเย็นไปเรื่อยๆ เถอะ ท่านเพียงแสดงทีท่าให้ชัดเจนก็พอแล้ว ร่างกายนั้นไม่อาจมีสองหัวได้ ตระกูลมู่ต้องการผู้นำเพียงคนเดียวเท่านั้น’
ตาดำซวีซิวหดลง มือที่กำไม้เท้ากระชับแน่น แล้วหลุบสายตาลง
สิ่งที่ราชครูเห็น เหตุใดเขาจะมองไม่เห็น ก็เพราะมองเห็นทะลุปรุโปร่งอย่างไรเล่าเขาจึงได้ยอมรับการละทิ้งอำนาจอย่างง่ายดาย เพียงแต่เมื่อเขาละทิ้งอำนาจแล้ว มู่ชิงเกอจะมีฝีมือกุมอำนาจที่เขาละทิ้งไว้ในกำมือของตัวเองได้หรือไม่ ย่อมต้องเป็นฝีมือของเขาเองแล้ว
“เงียบ!”
“เงียบ!”
เสียงองครักษ์เขี้ยวมังกรสองร้อยคนตวาดออกมาพร้อมกัน
เสียงที่ดังจนหูแทบหนวก บดขยี้เสียงอึกทึกเหล่านั้นจนแตกกระเจิง ทำให้เสียงไม่พอใจมู่ชิงเกอถูกกดลงไป
เหล่าคนตระกูลมู่เหลือเดนมององครักษ์เขี้ยวมังกรด้วยความประหลาดใจ
พวกเขาดูออกว่าองครักษ์เขี้ยวมังกรเหล่านี้ต่างอยู่ขั้นถํ้าวิญญาณชั้นหนึ่งชั้นสอง หากเทียบกับพวกเขาซึ่งอยู่ชั้นสี่ชั้นห้าแล้วนั้นเทียบกันไม่ได้เลย
แต่ต่อหน้าพวกเขาร่วมพันคน ยังสามารถสร้างบารมีได้ขนาดนี้ช่างเป็นเรื่องที่เกินคาดคิดจริงๆ
แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่มู่ชิงเกอคุยโวว่าพวกเขาสู้องครักษ์เขาไม่ได้ก็ทำให้สายตาของคนตระกูลมู่เหลือเดนที่มององครักษ์เขี้ยวมังกรนั้นผุดความไม่เป็นมิตรขึ้นมา
ท่าทีดูแคลนและเย้ยหยันนั้นเหมือนกับที่มู่ชิงเกอกระทำต่อพวกเขาทุกอย่าง
“ไม่ต้องมาปากเก่งกับข้าที่นี่ เอาความสามารถพวกเจ้ามาพูด” หลังจากตำหนักใหญ่เงียบสงบลงแล้ว มู่ชิงเกอก็พูดเรียบๆ
ท่าทีของนางนิ่งสงบไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
ราวกับว่าเสียงที่บอกว่านางเหิมเกริมไม่ ประมาณตน หลายสิ่งหลายอย่างที่เลวร้ายนั้นไม่ สามารถสร้างผลกระทบกับนางได้เลย
ซวีซิวสังเกตดูเงียบๆ ในใจต้องยอมรับเลยว่า จิตใจมู่ชิงเกอมั่นคงกว่ามู่เทียนอินมากมายนัก
หากเป็นมู่เทียนอินประสบกับสภาพการณ์เช่นนี้คงจะต้องโมโหโทโสจนไม่สามารถคิดหาวีธีที่ดีนอกจากใช้วิธีสังหารเพื่อสยบเหตุการณ์แน่นอน
ส่วนมู่ชิงเกอน่ะหรือ
ซวีซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย จนถึงบัดนี้เขาดูออกถึงจุดประสงค์มู่ชิงเกอแล้ว แต่ยังนึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร
นางใช้องครักษ์เขี้ยวมังกรมายั่วให้เกิดอารมณ์ แต่เขากลับดูไม่ออกว่า องครักษ์เขี้ยวมังกรจะเอาชนะตระกูลมู่ที่เหลือได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้เดี่ยวหรือต่อสู้หมู่ เขาก็มองไม่เห็นทางชนะได้เลย
“ฮึ ในเมื่อนายน้อยเชื่อมั่นองครักษ์ตัวเองขนาดนั้น เช่นนั้นพวกเราก็มาประลองกันดู” กลุ่มตระกูลมู่เหลือเดนมีชายร่างใหญ่เดินออกมา ขณะที่เขาเรียกชื่อนายน้อยนั้นก็เผยท่าทีดูแคลน ทั้งคำพูดก็เต็มไปด้วยการเสียดสี
ต่อมาก็ไม่สนใจว่ามู่ชิงเกอจะตกลงหรือไม่ สายตาเขากวาดผ่านองครักษ์เขี้ยวมังกรที่อยู่รอบบริเวณแล้วพูดอย่างหยิ่งยโสว่า “พวกเจ้าใครจะออกมา”
องครักษ์เขี้ยวมังกรยังคงมีใบหน้าเย็นชาต่อการยั่วยุของเขา ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
เมื่อมองพวกเขาแล้วมองไปทางมู่ชิงเกอ ซวีซิวก็รู้สึกได้ทันทีว่านิสัยของนายบ่าวพวกนี้ช่างเหมือนกันยิ่งนัก มู่ชิงเกอคลั่ง เขี้ยวมังกรก็คลั่ง มู่ชิงเกอยโส เขี้ยวมังกรก็ยโส มู่ชิงเกอนิ่ง เขี้ยวมังกรก็นิ่ง มู่ชิงเกอไม่หวั่น เขี้ยวมังกรก็ไม่หวั่นเหมือนกัน!
‘นี่ต้องใช้แรงจูงใจ! และพลังมากมายสักเท่าไรกัน!’ ซวีซิวนึกสะท้านใจ
แต่ที่ทำให้เขาสะท้านใจกว่ายังไม่เพียงเท่านี้
มุมปากมู่ชิงเกอที่เชิดขึ้นผุดรอยยิ้มที่แปลความหมายไม่ออก “ไม่ต้องยุ่งยากเช่นนี้ จัดการพวกเจ้าร่วมพันคน พวกเขาสองร้อยคนก็พอแล้ว”
อะไรนะ!
คนตระกูลมู่ที่เหลือต่างตกตะลึง ซวีซิวก็ตกตะลึงเช่นกัน
มู่ชิงเกอหมายความว่าอย่างไร เขาต้องการต่อสู้เป็นกลุ่มงั้นหรือ
“ฮ่าๆๆ! ล้อเล่นหรือไร คนพวกเรามากกว่า พวกเขาตั้งหลายเท่า หากตัวต่อตัวยังอาจมีสิ่ง มหัศจรรย์เกิดขึ้นได้ หากต่อสู้หมู่พวกเขาต้องแพ้แน่นอน” คนตระกูลมู่ร่างใหญ่คนนั้นหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
มู่ชิงเกอกลับยิ้มจนตาหยี มีแสงแวววับออกมาจากแววตา นางพูดช้าๆ ว่า “ข้ายังไม่กังวลแล้วพวกเจ้าจะกังวลอะไร”
คำพูดนี้ของนางทำให้เสียงหัวเราะเยาะเงียบไป
เวลานี้คนตระกูลมู่เหลือเดนร่วมพันคนจึงสังเกตเห็นว่า หลังจากมู่ชิงเกอพูดแล้ว ใบหน้าองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ไม่มีแววสะท้านแม้แต่นิด ไม่มีทั้งความหวาดหวั่นและขลาดเขลา
ผิดปกติ ผิดปกติเกินไปแล้ว!
พวกเขาไม่รู้จักประเมินกำลังตัวเองหรือ เหตุใดรู้ทั้งรู้ว่าจะต้องพ่ายแพ้แน่นอนยังสามารถสงบสติอารมณ์ได้ดีถึงเพียงนี้
เมื่อเสียงหัวเราะหยุดลง เหล่าตระกูลมู่เหลือเดนต่างมองไปที่องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งสองร้อยคน
มู่ชิงเกอดีดนิ้วแล้วพูดด้วยความสงบนิ่งว่า “เริ่มเลยเถอะ”
พอนางสั่งแล้วองครักษ์เขี้ยวมังกรสองร้อยคนต่างตั้งท่าทันที
ในตำหนัก ตระกูลมู่เหลือเดนร่วมพันคนต่างก็ตั้งท่าเตรียมพร้อม พวกเขาสบตากันแล้วเตรียมจัดการแต่ละคน
ในความเข้าใจของพวกเขา การต่อสู้หมู่ก็คือ เช่นนี้
ทุกคนกรูเข้าหากัน ต่างฝ่ายต่างหาคู่ต่อสู้ของตัวเองได้แล้วก็เริ่มลงมือ
ในจำนวนคนที่ต่างกันมากเช่นนี้ พวกเขาสี่ห้าคนสู้กับองครักษ์เขี้ยวมังกรคนเดียว กระทั่งหลับตาก็ยังชนะได้
แต่ขณะที่พวกเขาเตรียมพุ่งขึ้นไปเช่นนี้เพื่อจัดการองครักษ์เขี้ยวมังกร องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งสองร้อยคนกลับก้าวขาขึ้นหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกัน
พวกเขาสองร้อยคนมีท่าทางเป็นหนึ่งเดียวกัน พลังแบบเดียวกัน พึ่งพาหลอมรวมกันราวกับคลื่นทะเลซัดมา
พอปรากฎการณ์ที่น่าตื่นตกใจนี้เกิดขึ้น ซวีซิวเป็นคนแรกที่หวาดหวั่นจนต้องเบิกตาโต