ตอนที่ 730
เขี้ยวมังกรปรากฎ สะเทือนฟ้าดิน
“ใครไม่ยอม สังหารไม่เว้น!” คำที่มู่ชิงเกอเอ่ยออกมากะทันหันทำให้ภายในตำหนักใหญ่สงบเงียบอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนเหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ชักยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะประจำกายของตัวเองออกมาตามคำพูดของมู่ชิงเกอ ชี้อาวุธที่ทั้งคมกริบและเย็นเฉียบไปยังหมู่คนที่ร้องอึกทึกอยู่
มู่ชิงเกอนั่งลงช้าๆ พิงหลังบนพนักเก้าอี้ที่หรูหรา สองมือวางบนที่เท้าแขนด้วยท่าทางเกียจคร้าน ทั้งยกเท้าขึ้นนั่งไขว่ห้าง
ท่าทางที่ทั้งเกียจคร้านชั่วร้ายทั้งเหิมเกริมอุกอาจ ในสายตาคนตระกูลมู่เหลือเดนคือพวกลูกหลานตระกูลสูงที่ไร้ซึ่งภูมิปัญญาความรู้ ส่วนในใจของเหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรนี่จึงเป็นคุณชายที่ไม่หวั่นเกรงฟ้าดิน แสนอิสระของพวกเขา!
“เอะอะอีกสิเหตุใดไม่เอะอะกันอีกเล่า” มู่ชิงเกอพูดด้วยแววตาเย้ยหยัน
ท่าทีหยิ่งยโสของนางและความเย็นเฉียบของเหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรทำให้ตระกูลมู่เหลือเดนได้แต่เก็บความโกรธแค้นไว้ในใจ เนื่องจากต่อให้มู่ชิงเกอผิดอย่างไรก็ยังเป็นนายน้อยของตระกูลมู่
“ไร้ซึ่งความสามัคคี” มู่ชิงเกอแค่นเสียงออกมา
“เจ้า!”
คนตระกูลมู่มีคนไม่ยินยอมและลุกยืนขึ้นมา
“คุกเข่าลงไปทั้งหมด! นายน้อยสั่งสอน พวกเจ้ากล้าต่อต้านหรือ” ซวีซิวตวาดเสียงดัง ยับยั้งความคิดผู้คนที่คิดจะต่อต้านมู่ชิงเกอ
เนื่องจากเขารู้ว่ามู่ชิงเกอเป็นคนที่กล้าพูดกล้าทำ
หากเขาต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู เขาคงไม่เพียงแค่พูดแน่
“โธ่! ผู้อาวุโส!”
คนที่ลุกยืนขึ้นมาเห็นแก่หน้าซวีซิวจึงยอมลงไปคุกเข่าอย่างไม่เต็มใจอีกครั้ง พอเขาคุกเข่าแล้วคนอื่นๆ ที่ยืนขึ้นด้วยอารมณ์คุกรุ่นนั้นต่างก็คุกเข่าลงตามเดิม
เพียงแต่ศีรษะของพวกเขาต่างหันไปด้านข้าง ไม่ยอมหันมองมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างนึกขัน นางมองซวีซิวแล้วพูดเรียบๆ ว่า “ซวีซิว เจ้าก็เห็นแล้วว่าคนพวกนี้ไม่ยอมรับข้า แล้วข้าจะเอาไว้ทำไม”
ตาดำซวีซิวหดลงแล้วพูดเสียงเครียดว่า “พวกเขาต่างเป็นตระกูลมู่ที่หลงเหลือ ความจงรักภักดีต่อตระกูลมู่นั้นฟ้าดินเป็นพยานได้ นายน้อยต้องการฟื้นฟูตระกูลมู่สร้างเก้าชั้นฟ้าขึ้นอีกครั้ง พวกเขาจะเป็นกำลังช่วยได้มาก ไม่อาจขาดไปได้”
คำพูดซวีซิวทำให้คนตระกูลมู่เหลือเดนที่คุกเข่าอยู่นํ้าตาเอ่อล้น รู้สึกสะเทือนใจ แววตาที่มองมู่ชิงเกอยิ่งเพิ่มความโกรธแค้นมากขึ้น
พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆ แค่นายน้อยคนหนึ่ง เป็นนายน้อยไปดีๆ ก็พอแล้ว เหตุใดต้องตัดอำนาจผู้เฝ้ามองด้วย ยังไม่ต้องพูดว่าในหมื่นปีนี้พวกเขาต่างเคยชินกับคำสั่งของซวีซิว เพียงแค่ในหมื่นปีนี้พลังกายพลังใจที่ซวีซิวทุ่มเทให้ตระกูลมู่ก็มากมายท่วมท้นแล้ว จน เวลานี้ได้นายน้อยมาแล้ว เหตุใดจึงต้องทำเรื่องเช่นการ เสร็จนาฆ่าโคถึกด้วย
กระทั่งมีคนสงสัยว่ามู่ชิงเกอใช่สายเลือดตระกูลมู่จริงๆ หรือไม่ ตระกูลมู่มีความดีงามเทียมฟ้า เหตุใดจึงปรากฎคนที่ไร้ซึ่งนํ้าใจไมตรีเช่นนี้
“ขาดไปไม่ได้?” มู่ชิงเกอหัวเราะเยาะ นางใช้เสียงที่แช่มช้าพูดว่า “เจ้าให้ความสำคัญพวกเขามากเกินไปแล้ว”
สายตาที่นิ่งสงบลึกซึ้งของซวีซิวค่อยๆ มองไปที่มู่ชิงเกอ
ส่วนคนตระกูลมู่เหลือเดนที่คุกเข่าอยู่ต่างลุกยืนขึ้นมาเพราะคำพูดของมู่ชิงเกอ ครั้งนี้ซวีซิวไม่ได้ห้ามปรามพวกเขาอีก
ซวีซิวว่า “นายน้อย ข้าละทิ้งอำนาจได้และจะพูดให้พวกเขายอมรับท่านเป็นนายน้อย แต่ขอให้นายน้อยอย่าได้ดูหมิ่นดูแคลนนักรบตระกูลมู่เหล่านี้อีกเลย”
“ศิษย์พี่” ราชครูมองไปแล้วร้องออกมาหนึ่งคำ เขาอยากเตือนศิษย์พี่ตัวเองแต่ไม่ได้ผล
“ข้าดูหมิ่นดูแคลนพวกเขา หรือดูหมิ่นดูแคลนเจ้า” มู่ชิงเกอเยาะเย้ย นัยน์ตาที่ใสกระจ่างกวาดผ่านเหล่าตระกูลมู่เหลือเดนที่โกรธแค้นยิ่งนัก มองดูท่าทางที่ทั้งเหี้ยมโหดทั้งอดกลั้นของพวกเขา
สุดท้ายแล้วสายตานางก็หยุดอยู่ที่ซวีซิว ใบหน้าฝ่ายหลังไร้ความรู้สึกดูไม่ออกว่าเวลานี้คิดอะไรอยู่ นางยิ้มเยาะว่า “อยู่มาหมื่นปี สุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงหลบซุกซ่อนอยู่ใต้พื้นดินในแผ่นดินเทพตะวันตก คนตระกูลมู่เหล่านี้ไม่มีแม้กระทั่งป้ายแสดงฐานะ หากปรากฎตัวต่อหน้าผู้คนก็ต้องระมัดระวังตัวเต็มที่ ถูกคนประณามทุบตี นี่คือผลงานของเจ้าในหมื่นปีนี้หรือ”
นางมองไปยังคนตระกูลมู่เหลือเดนเหล่านั้นแล้วพูดต่อว่า “นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าเทิดทูนเขาหรือ กระทั่งเวลานี้พวกเจ้ายังต้องอาศัยข้าที่เข้าสู่แผ่นดินเทพยังไม่ครบสิบปีมาคุ้มครอง นี่หรือคือความสามารถของพวกเจ้า”
คำพูดของนางแสนทรงพลัง ทำให้ไม่มีใครโต้แย้งได้
เนื่องจากการที่พวกเขาสามารถมาถึงแผ่นดินเทพเหนือได้ ก็เป็นเพราะมู่ชิงเกอส่งป้ายแสดงฐานะไปให้ไม่ได้ขาดจึงสามารถขึ้นเรืออากาศผ่านการตรวจสอบซับซ้อนหลายชั้น เข้าถึงแผ่นดินเทพเหนือมาถึงดินแดนเฟิ่งเทียน ดินแดนเทพที่อ่อนแอที่สุดในแผ่นดินเทพ ทั้งสี่สมุทรได้
เพียงแต่มู่ชิงเกอใช้คำพูดที่เจ็บแสบสุดแสน ทำให้ใบหน้าคนตระกูลมู่เหล่านี้ กระทั้งใบหน้าซวีซิวต่างถูกกรีดจนเจ็บแทบทนไม่ได้
พวกเขาทั้งโกรธทั้งแค้นแต่ไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร
เงียบไปครู่หนึ่งจึงมีคนพูดว่า “เจ้าไม่รู้อะไร พวกเราอยู่ในแผ่นดินเทพมารมีอันตรายทุกฝีก้าว แค่มีชีวิตอยู่รอดได้ก็ไม่ง่ายแล้ว เจ้าอยู่โลกข้างล่างห่างไกลไฟสงคราม จะรู้ความลำบากพวกเราได้อย่างไร”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า ข้าเป็นคนให้พวกเจ้าอยู่ต่อหรือ ยังพูดราวกับว่าพวกเจ้าชื่นชมตัวเองหนักหนา รู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่รอดได้ทุกวันนี้ถือว่าแน่มากแล้วหรือ อย่าหาว่าข้าพูดจาไม่น่าฟังเลย หากแค่อาศัยพวกเจ้า ข้ามองไม่เห็นหนทางอนาคตของเก้าชั้นฟ้า” มู่ชิงเกอตอบโต้เฉียบคม
พวกตระกูลมู่เหลือเดนเหล่านี้ถูกกักอยู่ในมุมมืดมานานเกินไปจนมองไม่เห็นหนทางว่าในอนาคตจะเดินต่อไปอย่างไร
ซวีซิวมองเห็นแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
มู่ชิงเกอเข้าใจในทันทีว่าการที่ซวีซิวตอบตกลงละทิ้งอำนาจอย่างรวดเร็วและรีบร้อนให้นางกับมู่เทียนอินต่อสู้จนสรุปผู้ชนะออกมานั้นก็เพราะเขาเองก็สังเกตเห็นแล้วว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป สิ่งที่คิดคงได้เหลือเพียงแค่จะรักษาชีวิตต่อไปได้อย่างไร ไม่ใช่จะโจมตีกลับอย่างไรเพื่อก่อร่างสร้างเก้าชั้นฟ้ากลับคืนมา
เมื่อเข้าใจแล้ว มู่ชิงเกอจึงไม่สนใจสีหน้าน่าเกลียดของซวีซิว ไม่สนใจท่าทางแค้นเคืองของคนตระกูลมู่เหลือเดนอีก พูดอย่างดูแคลนต่อว่า “มิน่าเล่า ในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรใครๆ ก็บอกว่า สิ่งที่คนตระกูลมู่เหลือเดนถนัดที่สุดก็คือเรื่องหลบหนี”
“เจ้าพูดเหลวไหล!”
“ปากพล่อยนัก!”
“โอหังจนนึกแต่ว่าตัวเองเก่งกาจ!”
คนตระกูลมู่โกรธแค้นเหลือแสน เวลานี้ซวีซิวกลับนิ่งเฉย ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ไม่สนใจเหตุการณ์อีกต่อไป
ในตำหนักใหญ่เต็มไปด้วยอารมณ์คลุ้มคลั่ง บรรยากาศตึงเครียด
หากไม่ระวังสักนิดเกรงว่าคงจะต้องมีการสู้รบกันขึ้นเป็นแน่
มู่ชิงเกอกลับราดนํ้ามันเข้ากองไฟเพิ่มขึ้นว่า “ข้าไม่เคยพูดอวดตัว พวกเจ้าในสายตาข้านั้นยังเทียบกับองครักษ์ข้าไม่ได้เลยด้วยซํ้า”
นางเพิ่งพูดจบ องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งหมด ตวาดพร้อมกันเป็นเสียงเดียว
“ฮึ่ม!”
เสียงที่ดังพร้อมกันหมดนั้นราวกับเสียงสายฟ้าฟาดในตำหนักกลบเสียงทุกชนิดจนหมดสิ้น
เหล่าตระกูลมู่เหลือเดนสะดุ้ง มองไปยังองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ยืนกระจายตัวกันในตำหนักใหญ่
ซวีซิวเองก็ค่อยๆ เหลือบตามองไปด้วยแววตาตกตะลึง
รอยยิ้มที่มุมปากมู่ชิงเกอยิ่งดูเย้ยหยันมากขึ้น นางมองคนตระกูลมู่เหลือเดนด้วยความดูแคลน แล้วบอกพวกเขาว่า “พวกเจ้าอยู่อย่างไร้ค่ามานานขนาดนี้ แม้กระทั่งองครักษ์ข้าที่อายุยังไม่ถึงร้อยปีก็ยังสู้ไม่ได้ หากไม่เชื่อพวกเจ้าก็ลองดู!”