ตอนที่ 85-4
รักครั้งใหม่ของมู่ชิงเกอ
ย่างเข้าสู่วันที่ยี่สิบห้าที่องครักษ์เขี้ยวมังกรเข้ามายังเทือกเขาฉิน
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ตอนกลางวันพวกเขาฝึกฝนกันอยู่ในป่า หากไม่พบเจอกับสัตว์ป่าก็ฝึกประสบการณ์นอกสถานที่ไปพร้อมกับมู่ชิงเกอ รวมทั้งความละเอียดอ่อนของยุทธวิธีต่างๆ ทั้งในเรื่องกับดัก กลไกและทักษะการปกปิดรวมไปถึงการลวงตา เมื่อพบกับสัตว์ป่าที่เก่งกาจ พวกเขาต่างรวมพลังกันต่อสู้และถือว่าสัตว์ป่าเหล่านั้นเป็นคู่ซ้อมให้แก่พวกเขา เท่าที่มู่ชิงเกอบอกก็คือ หากต้องการพัฒนาความสามารถให้รุดหน้าอย่างรวดเร็ว วิธีที่ดีที่สุดคือการแข่งขันเพราะฉะนั้นสัตว์ป่าที่พวกเขาตามหาต่างก็เป็นพวกที่มีความสามารถมากกว่าพวกเขา ราวกับว่า การสู้รบทุกครั้งสามารถพรากชีวิตของพวกเขาไป
ถึงกระนั้นในตอนนี้พวกเขายังมีชีวิตอยู่และพัฒนาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว!
ยามคํ่าคืนรัตติกาล พวกเขาผันเปลี่ยนจากการตั้งค่าย เป็นวิธีอันเก่าแก่ที่สุด คือ ใช้ต้นไม้ ถํ้าในการพักผ่อนและฝึกพลังแทนที่จะเข้าสู่ห้วงนิทรา สำหรับเสบียงอาหาร พวกเขาใช้ร่างสัตว์วิญญาณที่ตายในการสู้รบ
ในขั้นตอนของการรับประทานอาหารนั้นพวกเขาค้นพบว่า เนื้อของสัตว์ที่มีสติปัญญาหลักแหลมเหล่านั้น สามารถเพิ่มพละกำลังภายในร่างกายได้เพียงแต่จะ
แฝงมาด้วยไอดิบเถื่อนของสัตว์ป่า
หลังจากนั้น ทุกครั้งหลังจากรับประทานอาหาร พวกเขาก็จะทำตามคำสั่งของมู่ชิงเกอในการเสียเวลาเพื่อที่จะกำจัดกลิ่นไอความบ้าระห่ำที่สะสมอยู่ภายในร่างกาย แล้วจึงทำการฝึกพลังต่อ
ยี่สิบกว่าวันมานี้ มู่ชิงเกอใช้เวลาอยู่กับองครักษ์เขี้ยวมังกรทุกวันและพวกเขาเหล่านั้นก็ค่อยๆ เรียนรู้คำศัพท์หลายคำจากโลกที่มู่ชิงเกอจากมา และเริ่มที่จะเอาคำพวกนั้นไปใช้
มู่ชิงเกอยืนอยู่บนกิ่งไม้ที่แตกแขนงจากต้นไม้ใหญ่และมองการสู้รบข้างล่างด้วยดวงตาสงบนิ่ง
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น การสิ้นสุดของการสู้รบมาพร้อมกับเสียงคำรามเสียงสุดท้ายของพญาหมาป่า
องครักษ์เขี้ยวมังกรส่งเสียงหอบเหนื่อย จนทำให้ลูกนกที่อยู่บนยอดกิ่งไม้ในระยะอันห่างไกลต่างก็ตกใจกางปีกบินหนีไป
เมื่อเห็นภาพนี้ มู่ชิงเกอพลันกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ ด้วยท่าทางที่เบาหวิวดุจขนนก แต่ยังคงเปล่งประกายความสง่างามออกมา ทำให้ผู้คนยากที่จะละสายตาออก ไปได้
เมื่อปลายเท้าของนางจรดลงบนผืนดินอันนองไปด้วยโลหิต องครักษ์เขี้ยวมังกรที่เปี่ยมด้วยไอสังหารพลันคุกเข่าลงพร้อมเปล่งเสียงออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “คุณชาย!”
มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ เดินตรงไปยังพญาหมาป่า
ทันใดนั้น นางก็ยื่นมือออกไป ระหว่างนิ้วทั้งห้ามีแสงสีเขียวส่องประกายวาบ นางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แผ่นหินสีเขียวขนาดเท่านิ้วหัวแม่โป้งของเด็กทารกน้อยแรกเกิดพลันทะลวงออกจากหัวของพญาหมาป่ามาอยู่ในมือของนางโดยไม่มีโลหิตติดเลยแม้แต่น้อย
มู่ชิงเกอมองไปที่แผ่นหินสีเขียวเป็นประกายก้อนนั้นและแสงประกายสีเขียวอ่อนนั้นได้ส่องสะท้อนไปยังใบหน้าอันงดงามไร้ที่ใดเปรียบของนาง
เมื่อจ้องมองอย่างละเอียดสักพัก มู่ชิงเกอก็ทิ้งมันลงอย่างไม่ใส่ใจ ฮวาเยวี่ยที่ยืนอยู่ข้างหลังตัวนางยื่นมือออกไปรับ พลันกำหินก้อนนั้นไว้ในมือแน่น แล้วยัดมัน ลงในถุงผ้าที่ติดตัวนางมา
ถุงผ้าดูปูดนูน ดูเหมือนว่าข้างในจะมีของอยู่ไม่น้อย
รีบตรวจค้นแก่นสมองของสัตว์ป่าในสถานที่สู้รบและออกจากที่นี่ในอีกหนึ่งชั่วยาม” มู่ชิงเกอสั่งการ
ทุกคนรวมทั้งโย่วเหอและฮวาเยวี่ยต่างก็เคลื่อนไหว พลันเริ่มเปิดกะโหลกของสัตว์เพื่อที่จะหาแผ่นหินที่มีลักษณะใกล้เคียงกับแผ่นหินแผ่นนั้น
แก่นสมองของสัตว์ป่าจะมีอยู่เพียงแค่ในศีรษะของสัตว์ที่มีสติปัญญาเท่านั้น
เพราะขั้นพลังที่แตกต่างกัน ทำให้แก่นสมองของสัตว์ป่าต่างก็มีสีสันที่แตกต่างกันไป
แก่นสมองสามารถใช้ทำการใดได้บ้างมู่ชิงเกอยังไม่รู้แจ้ง รู้เพียงแค่ว่าสิ่งนี้มีค่ายิ่งนัก ในบางแห่งสามารถใช้แทนเบี้ยได้
และยังสามารถนำมาพัฒนาอาวุธเพิ่มพลังและคุณสมบัติพิเศษให้กับอาวุธได้
เพราะฉะนั้น หลังจากที่นางฆ่าสัตว์ป่าที่มีสติปัญญาตัวแรกไปแล้ว ไม่ว่าสัตว์ตัวนั้นจะอยู่ในระดับสูงหรือตํ่า นางก็จะเก็บสะสมแก่นสมองเอาไว้ดั่งทรัพย์สินอันลํ้าค่า
ไม่นานแก่นสมองสัตว์ป่า ที่ส่วนใหญ่เป็นสีเหลืองและเขียวก็ถูกใส่เข้าไปในถุงผ้าและไปอยู่ในมือของโย่วเหอและฮวาเยวี่ย
ทั้งสองสาวรับมาด้วยความยินดี นางยืนอยู่ข้างหลังมู่ชิงเกอ
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีตกหล่น มู่ชิงเกอก็สงอย่างเรียบเฉยว่า “ออกเดินทาง!” พร้อมพาทุกคนออกจากสนามรบ อันเหม็นคาวโลหิตนั่น
ในยามค่ำคืน โย่วเหอและฮวาเยวี่ยนำแก่นสมองสัตว์ป่าที่เก็บสะสมได้ในวันนี้มาวางไว้ตรงหน้ามู่ชิงเกอแล้วออกไป หลังจากที่มู่ชิงเกอกวาดสายตามองแก่นสมองสัตว์ป่าตรงหน้า ในชั่วพริบตาแก่นสมองสัตว์ป่าเหล่านั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ความเป็นจริงแล้ว พวกมันก็แค่เปลี่ยนที่
พวกมันถูกนำไปเก็บไว้ในช่องว่างของมู่ชิงเกอ สำหรับนางแล้วช่องว่างของตนเองคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด
ความลับเรื่องมิติแห่งช่องว่าง นางไม่ได้ให้ผู้ใดรับรู้ สำหรับองครักษ์เขี้ยวมังกร รวมทั้งฮวาเยวี่ยและโย่วเหอเองก็เหมือนจะไม่ฉงนใจว่านางเอาแก่นสมองสัตว์ป่าไปไว้ที่ไหน
ราวกับว่า คุณชายของพวกเขามักจะมีความสามารถเกินคาดฝันเป็นเรื่องปกติ!
พอฟ้าเริ่มสาง องครักษ์เขี้ยวมังกรก็เริ่มมุ่งหน้าเข้าไปภายในเทือกเขาฉิน
เวลาได้ล่วงเลยมาอีกหนึ่งเดือน ภายในเทือกเขาฉิน องครักษ์เขี้ยวมังกรกวาดล้างสัตว์ป่าที่มีพลังเหนือกว่าพวกเขาจำนวนนับไม่ถ้วน ดั่งตั๊กแตนที่กำลังขนอาหาร เพราะจำนวนแก่นสมองของสัตว์ป่าในมิติช่องว่างของมู่ชิงเกอได้เพิ่มพูนมากขึ้นอย่างน่ากลัวจนรวมกันกองเป็นภูเขาขนาดย่อม
แม้ว่าพลังของแก่นสมองพวกนี้จะไม่สูงมากแต่ก็เป็นเงินเป็นทองไม่ใช่หรือ
ในวันนี้เป็นวันที่องครักษ์เขี้ยวมังกรเข้ามายังเทือกเขาฉินแห่งนี้นับเป็นเวลาร่วมสองเดือนแล้ว
มู่ชิงเกอได้เรียกทุกคนมารวมตัวกันอย่างกะทันหัน ราวกับว่ากำลังจะมีคำสั่งใหม่…
“พวกเจ้าเข้ามายังเทือกเขาฉินเป็นเวลาร่วมสองเดือนแล้ว กลัวที่นี่หรือไม่” มู่ชิงเกอถาม
“ไม่กลัว! ไม่กลัว!”
องครักษ์เขี้ยวมังกรตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน
กลัวอย่างนั้นหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า? มีมู่ชิงเกอเป็นผู้นำ พวกเขารู้สึกเพียงว่า เทือกเขาฉินนั้นเป็นเพียงขุมทรัพย์ที่ทำให้พวกเขาสามารถเลือกหยิบจับทุกอย่างสมดังปรารถนาเท่านั้น
เมื่อ เห็นใบหน้าของทุกคนต่างแสดงท่าทางภาคภูมิใจ และแสนเย่อหยิ่ง มู่ชิงเกอก็ทำหน้าเคร่งขรึมและพูดอย่างเย็นชาว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะสลายกลุ่ม ใหญ่เป็นกลุ่มเล็ก ทำงานกันเป็นกลุ่มย่อยและหนึ่งเดือนหลังจากนี้ ต่างคนต่างพาอาชาเพลิงของตนเองกลับไปยังเมืองอี้”
เมื่อได้ยินคำสั่งการนี้ ทุกคนต่างก็นิ่งอึ้ง
ราวกับว่า พวกเขาคิดไม่ตกว่าการทำงานกันเป็นกลุ่มใหญ่อยู่ดีๆ เหตุไฉนต้องแยกจากกันกะทันหันแบบนี้ด้วย
ทว่า การเป็นองครักษ์เขี้ยวมังกรนั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ต้องทำตามคำสั่งการของมู่ชิงเกอโดยไร้ข้อแม้ แม้ว่านางจะให้ทุกคนไปฆ่าตัวตาย พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะฉะนั้นทุกคนจึงทำได้เพียงเก็บความสงสัยไว้ภายในใจ