Skip to content

พลิกปฐพี 85-5

ตอนที่ 85-5

รักครั้งใหม่ของมู่ชิงเกอ

มีเพียงมั่วหยางที่ติดตามมู่ชิงเกอมานานที่สุด รู้สึกประหลาดใจพิกล พลันมองใบหน้าอันแสนเบิกบานของนาง ประหนึ่งกำลังคิดการใดอยู่ มู่ชิงเกอพูดอย่างเย็นชาว่า “หนึ่งเดือนนับจากนี้ พวกเจ้าจะเป็นหรือตายล้วนต้องพึ่งความสามารถของตนเอง” พูดจบ นางก็พูดกับโย่วเหอและฮวาเยวี่ยต่อว่า “แจกจ่ายแผนที่ฉบับสำรองของเทือกเขาฉินให้แต่ละกลุ่ม”

 

หญิงสาวทั้งสองรับคำสั่ง พลันแจกจ่ายแผนที่ที่สลักอยู่ บนหนังสัตว์ออกไป

แผนที่เหล่านี้มีรายละเอียดมากขึ้นกว่าต้นฉบับที่นำมา จากเมืองอี้พื้นที่ที่มู่ชิงเกอผ่านมานางได้ทำการระบุเอาไว้อย่างชัดเจน

หลังจากที่แต่ละกลุ่มได้รับแผนที่ มู่ชิงเกอก็พูดว่า “แผนที่แผ่นนี้ไม่เพียงแต่นำทางแก่พวกเจ้า อีกทั้งยังหมายถึงภารกิจที่พวกเจ้าจะได้รับ นั้นก็คือทำเครื่อง หมายในพื้นที่ที่พวกเจ้าไปเยือน ระบุพื้นที่ภายในแผนที่ให้สมบูรณ์เส้นทางของพวกเจ้า ข้าจะไม่จำกัด การเลือกเส้นทางล้วนแต่เป็นสิทธิ์ของพวกเจ้า”

“คุณชาย แล้วท่าน ” มีเสียงหนึ่งถามขึ้นมา

นํ้าเสียงที่คาดหวังให้มู่ชิงเกอร่วมเดินทางไปพร้อมกลุ่มของพวกเขา

ทว่าน่าเสียดายที่มู่ชิงเกอกลับดับความหวังของพวกเขาจนหมดสิ้น “ข้าจะไม่เดินทางกับกลุ่มใดเลย ข้าจะพาฮวาเยวี่ยและโย่วเหอเดินทางไปยังอีกเส้นทางหนึ่ง”

หลังจากนั้นนางก็หันหลังกลับไป ราวกับพร้อมที่จะออกเดินทาง

แต่ในขณะที่เดินผ่านด้านหลังของมั่วหยาง นางก็หยุดและกระซิบกับเขาว่า “เจ้าเดินทางโดยลำพัง จงคอยสังเกตสิ่งที่พวกเขาทำอย่างลับๆ แล้วรวบรวมมาให้ข้า หากพวกเขาสามารถอยู่รอดจนกระทั่งเดินทางกลับ ให้พวกเขาเดินทางโดยลำพังแล้วออกจากเทือกเขาฉิน พร้อมกับอาชาเพลิงด้วยความสามารถของตนเอง บอก พวกเขาว่านี่เป็นการทดสอบครั้งสุดท้ายที่ข้าให้แก่พวกเขา ผู้ที่ผ่านการทดสอบจะเป็นองครักษ์เขี้ยวมังกรที่แท้จริง! ”

เสียงอันเย็นชาแต่ประดับด้วยกลิ่นอายความเยือกเย็น แต่มั่วหยางกลับสัมผัสได้ถึงความนัยที่แฝงอยู่ของคำสั่ง เขาพยักหน้าลงอย่างเคร่งขรึม เพื่อยืนยันว่าเขาจะ

ปฏิบัติตามคำสั่งของมู่ชิงเกออย่างเคร่งครัด

มู่ชิงเกอเดินจากไปอย่างไร้อาวรณ์และยังมีสาวใช้ทั้งสองติดตามไปด้วย ชายหนุ่มอีกห้าร้อยคนที่เหลือก็เหมือนดั่งเด็กน้อยที่ถูกทอดทิ้ง ต่างยืนอึ้งอยู่กับที่อย่างไร้หนทางไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป

จนกระทั่งเสียงของมั่วหยางสั่งให้ออกเดินทาง

มองแผ่นหลังที่สับสนของเหล่าองครักษ์สายตาของมั่วหยางพลันเคร่งขรึมขึ้นมา เขาคิดในใจว่า ‘หวังว่าเจ้าพวกนี้จะไม่ทำให้คุณชายต้องเสียแรงโดยไร้ประโยชน์ หากพวกเจ้าสามารถก้าวผ่านความเป็นความตายและกลับมาอีกครั้ง ก็จะเป็นดั่งนกเฟิ่งหวงที่เกิดใหม่!’

“ คุณชายเราจะไปที่ไหนกัน” เมื่อเดินมาไกลพอสมควร ฮวาเยวี่ยก็ได้กลับสู่นิสัยเดิมพลันพูดกับมู่ชิงเกอ อย่างออดอ้อน

มู่ชิงเกอก็ยังคงเดินต่อไปพลันตอบว่า “ข้าจำได้ว่าหากเดินต่อไปอีกสามวันในทิศนี้จะเป็นพื้นที่ของเสือดาวสะท้านเมฆาตัวหนึ่ง”

เฮือก—

สาวใช้ทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังนางสูดหายใจเย็นเยียบ เสือดาวสะท้านเมฆาเป็นสัตวํที่มีพลังจิตอยู่ในระดับสูง และตัวที่เข้าตาคุณชายนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวที่มีพลังอยู่ในระดับครามเสียด้วย เมื่อรู้สึกว่าเสียงจากด้านหลังหายไป มู่ชิงเกอจึงถามว่า “ทำไมรึ หรือว่าข้าจำผิด”

“ถูก ถูกแล้ว” โย่วเหอตอบพึมพำ

ไม่ได้จำผิดก็ดีแล้ว

มู่ชิงเกอพยักหน้าแล้วเดินทางต่อไป

แต่ทว่า เมื่อนางเงียบลงแล้ว สาวใช้ทั้งสองกลับไม่เงียบ

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พลันรีบวิ่งไปประกบข้างซ้ายและขวาของมู่ชิงเกอเพื่อห้ามปราม

“คุณชาย เสือดาวตัวนั้นอยู่ในระดับครามนะเจ้าคะ เราจะไปหามันจริงๆ หรือ” ฮวาเยวิ่ยยังคงถามมู่ชิงเกอเพื่อยํ้าความแน่ใจอย่างไม่ยอมแพ้

โย่วเหอเองก็รีบพูด “คุณชาย ข้าทั้งสองต่างเป็นเพียงสายเหลืองขั้นต้น เกรงว่าคงไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับสัตว์ป่าตัวนั้น”

“กลัวอะไร มีข้าอยู่ทั้งคนไม่ใช่หรือ” มู่ชิงเกอพูดอย่างไม่ใส่ใจ

และนางก็ได้คิดถึงปัญหาอีกข้อหนึ่งขึ้นมา นั้นก็คือกองทหารเขี้ยวมังกรของนางรวมทั้งสาวใช้ทั้งสองเหมือนจะทะลวงสู่สายเหลืองกันหมดแล้ว เมื่อทะลวงสู่สายเหลืองก็จะสามารถฝึกทักษะการสงครามเพื่อเพิ่มพลังในการรบได้

แต่ทักษะการสงครามภายในแคว้นฉินนั้นไม่เข้าตานางแม้แต่น้อย ทั้งหมดนี้ก็ต้องโทษคุณตัวประหลาดที่มอบทักษะการสงครามเป็นคัมภีร์ภาคสวรรค์ระดับสูงให้นาง ทำให้ในสายตาของนางมีเพียงทักษะที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก

แต่ ในมือของนางนอกจากพันสายฟ้าที่เหมาะกับนางแล้ว ก็ไม่มีทักษะการสงครามอื่นใดอยู่เลย หากเป็นเช่นนั้นองครักษ์เขี้ยวมังกรของนางจะเอาอะไรมาฝึก?

โอ๊ะ จริงสิ!

ทันใดนั้น มู่ชิงเกอพลันนึกขึ้นได้ว่า ก่อนมามู่เหลียนหรงได้ยัดเคล็ดวิชาก้าวซ่อนเงาให้แก่นาง

แต่ว่ามันต่างกับที่คุณตัวประหลาดให้ ทักษะการสงครามนี้ เมื่อถูกอ่านแล้ว มันจะไม่หายไป มู่เหลียนหรงได้มอบทักษะการสงครามให้แก่นาง อาจจะเป็นเพราะ ว่าเห็นว่านางเป็นหญิง การเรียนรู้ก้าวซ่อนเงาหากเมื่อพบเจอกับศัตรูที่เหนือกว่า อย่างน้อยก็ยังสามารถเอาตัวรอดได้

ทักษะการสงครามนี้ มู่ชิงเกอยังไม่ได้ฝึก

ในตอนนี้ สามารถนำมาให้สาวใช้ทั้งสองฝึกได้

ส่วนสำหรับองครักษ์เขี้ยวมังกรนั้น ความคิดเดียวของนาง คือ จะไปแอบยืมอ่านทักษะจากคนผู้หนึ่ง ทว่าน่าเสียดาย เจ้านั้นจะปรากฏตัวเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ หากไปถามกู่หยาก็เป็นการจะเผยความคิดไม่ซื่อของตนออกไป

ละล้าละลังขณะหนึ่ง มู่ชิงเกอจึงตัดสินใจทิ้งปัญหานี้เอาไว้เสียก่อน

นางยื่นมือออกไปทำทีหยิบของในแขนเสื้อกว้าง จากนั้นก็เอาเคล็ดวิชาก้าวซ่อนเงาออกมาจากช่องว่าง พลันโยนมันให้กับโย่วเหอและพูดกับทั้งสองว่า “นี่เป็นเคล็ดวิชาภาคสวรรค์ระดับกลาง เหมาะสำหรับผู้หญิง พวกเจ้าทั้งสองรีบฝึกให้เป็นก็จะทำให้ความสามารถในการเอาตัวรอดมากขึ้น”

“ก้าวซ่อนเงา?! นี่มันเป็นของคุณหนูใหญ่นี่…” โย่วเหอพอก้มลงมองก็อุทานออกมาด้วยความตกใจในทันที

ฮวาเยวี่ยเองรีบปรี่ก็เข้าไปดู พลันพูดด้วยความตกตะลึง : “คุณชาย ท่างคงไม่ได้ขโมยทักษะทางสงครามของคุณหนูใหญ่มาใช่ไหม?”

มู่ชิงเกอกระตุกยิ้ม พลันแอบคิดในใจว่า ดูเหมือนว่าต้องหาโอกาสบอกฐานะที่แท้จริงของตนเองให้ทั้งสองสาวได้รับรู้แล้ว ไม่เช่นนั้น ไม่แน่ว่าความคิดของพวกนางจะผิดเพี้ยนกันไปถึงไหนต่อไหน

“พวกเจ้าวางใจเถอะ ท่านอามอบมันให้ข้าเองกับมือ จงฝึกกันอย่างสบายใจ” มู่ชิงเกอพูดอย่างเย็นชา พอรู้ว่ามู่ชิงเกอไม่ได้ขโมยทักษะการสงครามของมู่เหลียนหรงมา โย่วเหอและฮวาเยวี่ยก็โล่งใจ พวกนางกลัวจริงๆ ว่า เมื่อคุณหนูใหญ่รู้ว่าทักษะการสงครามถูกขโมยไป นางคงตรงมาจากลั่วตูเพื่อจัดการกับพวกเขา

กำทักษะการสงครามที่อยู่ในมือแน่น ทั้งโย่วเหอและฮวาเยวี่ยต่างก็รู้สึกอุ่นใจ สายตาที่มองมู่ชิงเกอนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง

หากไม่ใช่เพราะคุณชาย พวกนางที่เป็นเพียงทาสรับใช้ จะมีโอกาสได้ฝึกทักษะทางสงครามระดับสูงเช่นนี้ได้อย่างไร?

“ไปกันเถอะ” มู่ชิงเกอเร่ง

คราวนี้ ทั้งสองจึงนึกขึ้นได้ในทันทีว่ามู่ชิงเกอกำลังจะไปที่ไหน

ทันใดนั้น สีหน้าของทั้งสองนางก็พลันแปรเปลี่ยนไป “คุณชาย ไปไม่ได้นะเจ้าคะ! เสือดาวสะท้านเมฆาอยู่ในระดับคราม ความสามารถยิ่งทะลวงไปถึงขั้นสูง ความ แตกต่างของแต่ละสายก็จะยิ่งมาก เราสามคนรวมกันก็ยังไม่พอเลย”

มู่ชิงเกอกลับตอบว่า “หากไม่ท้าทายขีดจำกัด แล้วจะแสดงความสามารถของตนเองออกมาในยามที่ประสบอันตรายได้อย่างไรเล่า” นางเคยต่อสู้กับสายม่วงมาแล้ว จะกลัวเพียงแค่เสือดาวสายครามตัวหนึ่งได้อย่างไร นางก็แค่อยากได้แก่นสมองสายครามก็เท่านั้น

ถึงแม้ว่าผู้เฒ่าเป่ยหมิงจะเป็นแค่สายม่วงปลอมๆ และ ถึงแม้ว่าชัยชนะของนางจะได้มาด้วยการโกง ถึงแม้ว่านางจะร่วมมือกับวิญญาณของมู่ชิงเกอ………………………

เหอะๆ อย่างไรเสีย ชนะแล้วก็คือชนะแล้ว อีกทั้งมีองครักษ์อย่างกู่หยาคอยดูแลอยู่ห่างๆ หากนางไม่คว้าโอกาสให้เขาได้ออกแรงบ้าง จะสมกับเป็นนางหรือ

มีกู่หยาอยู่ ชีวิตของนางไม่มีทางสูญสิ้น แล้วเหตุใดนางจะต้องกลัว

เมื่อเห็นว่าไม่สามารถเกลี้ยกล่อมมู่ชิงเกอได้ใบหน้าของ ทั้งสองนางจึงมีเพียงความทุกข์ใจปรากฏออกมาและยังคงเดินตามหลังนางต่อไป ทว่าพวกนางได้ตัดสินใจแล้ว ว่าหากประสบพบเจอกับอันตราย แม้พวกนางจะต้องสละชีวิต ก็จะไม่ยอมปล่อยให้คุณชายของพวกนางเป็นอะไรไปแม้แต่ปลายเล็บ

สามวันที่ผ่านมานี้ สัตว์พลังวิญญาณที่พบเจอระหว่างทาง ล้วนถูกมู่ชิงเกอเอาแก่นสมองออกมาอย่างไม่เกรงใจ ในเวลาพักโย่วเหอและฮวาเยวี่ยก็เร่งฝึกทักษะก้าวซ่อนเงา

สามวันหลังจากนั้น มู่ชิงเกอและสาวใช้ทั้งสองก็ได้มาถึงอาณาเขตหนึ่งภายในของเทือกเขาฉินซึ่งเป็นอาณาเขตของเสือดาวสะท้านเมฆา

เพิ่งจะเข้าสู่อาณาเขต ทั้งสามก็สัมผัสได้ถึงความกดดัน และรังสีแห่งการข่มขู่อันมหาศาลที่ห้ามไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้

อดทนต่อความกดดัน มู่ชิงเกอที่เดินนำหน้าทั้งสองนางอยู่พูดว่า “รีบฝึก ความกดดันที่มากขึ้นเช่นนี้ สามารถเป็นการสร้างทางลัดให้กับพลังจิตได้ อย่างมัว เสียเวลา”

ทั้งสองเห็นแล้วก็พยักหน้าในทันทีและต่อสู้กับความกดดันอันมหาศาลนี้

กู่หยาที่คอยตามหลังมาตลอดทาง ตกตะลึงเพราะคำพูดของมู่ชิงเกออีกครั้ง พลันผุดยิ้มบนใบหน้า เขามีชีวิตอยู่มานานถึงเพียงนี้ เจอคนมาก็มาก นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ สิ่งที่ใครๆ ก็เห็นว่าเป็นแรงกดดันกลับเป็นทางลัดในการฝึกของนาง ความคิดที่แตกต่างเช่นนี้หรือจะเป็นเหตุผลที่ท่านประมุขให้ความสนใจในตัวนางกันนะ

เพื่อที่จะปกป้องมู่ชิงเกอ เขาตามมู่ชิงเกอเข้ามายังเทือกเขาฉิน ตลอดทาง เห็นนางทำให้อาชาเพลิงเชื่องกับตาและพาลูกน้องสังหารสัตว์ป่าไปทั่วทุกสารทิศ ต่อมาก็ได้ออกคำสั่งอันเลือดเย็น

แยกจากกลุ่มใหญ่เป็นกลุ่มเล็ก ให้ไปต่อสู้ด้วยตัวเอง ตอนนี้ทหารองครักษ์เหล่านั้นอาจยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของมู่ชิงเกอ แต่เขากลับเข้าใจว่า ที่หญิงสาวผู้นี้ใช้วิธีการอันโหดเหี้ยมเช่นนี้ในการสอนพวกที่ชนะอย่างต่อเนื่องมาหลายครา จนค่อยๆ เกิดความเย่อหยิ่งนั้น ก็เพื่อให้จิตใจของพวกเขาได้กลับสู่ความสงบนิ่งดั่งเช่นตอนแรก

วิธีการเช่นนี้ นางก็ยังคิดออกมาได้

เขาไม่รู้ว่าควรจะเสียดสีความเลือดเย็นโหดเหี้ยมของนาง หรือว่าควรจะชื่นชมความปราดเปรื่องในความคิดนางดี

“แปลกจัง! คุณชาย เราเข้ามาในนี้นานถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่เห็นสัตว์พลังวิญญาณเลยแม้แต่ตัวเดียว” ฮวาเยวี่ยสังเกตรอบๆ พลันถามด้วยความฉงนใจในทันที หน้า ผากเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดเต็มไปหมด นางพูดในขณะที่ยังมองไปรอบๆ

มู่ชิงเกอสัมผัสกับความกดดันที่ตนเองกำลังแบกรับ พลันพูดอย่างสงบว่า “เป็นเรื่องปกติ ในโลกของสัตว์พลังวิญญาณ พื้นที่ของตนเองนั้นห้ามสัตว์ประเภทอื่น เข้าใกล้หากเข้าใกล้นั้นหมายความว่ากำลังท้าทายความแข็งแกร่งของมัน ที่รออยู่ก็คือการศึกตัดสินชี้ชะตา”

กู่หยาแอบฉงนใจ หญิงจอมเสเพลผู้นี้ช่างรู้ไม่น้อยเลยจริงๆ

โย่วเหอเพียงตอบรับคำด้วยคำว่า ‘อืม’ ทั้งพูดอย่างหอบเหนื่อยว่า : “เรายังถือว่าโชคดีใช่หริอไม่ สัตว์ป่าที่มีสติปัญญาของที่นี่ต่างถูกเสือดาวสะท้านเมฆาไล่ออกไปจนหมด หากเกิดสงครามกันอย่างน้อยก็จะไม่ถูกโจมตี ากรอบด้าน”

มู่ชิงเกอยิ้มจางๆโดยปราศจากคำพูดใดๆ นื่คือจุดเด่นของทั้งสองนาง ภายใต้แรงกดดันเช่นนี้ ฮวาเยวี่ยยังคงรักที่จะสังเกตการณ์ทุกอย่างและโย่วเหอก็ยังคงสามารถพินิจทุกอย่างอย่างสงบ ทั้งสองช่างเป็นเงาสะท้อนให้แก่กันได้อย่างสมบูรณ์

โฮกก—

ทันใดนั้นในระยะอันห่างไกลมีเสียงคำรามของสัตว์คำรามดังขึ้น ขัดจังหวะการก้าวเท้าของทั้งสามคน

เพราะเสียงคำรามอันกึกก้องกังวานนี้ทำให้ต้นไม้ในป่าทั้งป่าต่างสั่นสะเทือนจนใบไม้หลุดร่วงปลิวกระจาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version