ตอนที่ 85-1
รักครั้งใหม่ของมู่ชิงเกอ
มีสัตว์ระดับกลางไว้เป็นพาหนะ ไม่ต้องพูดถึงว่าคนธรรมดาจะไม่สามารถมีได้ แม้กระทั่งองค์ชายทั้งหลายในวังหลวงแคว้นฉินก็คงจะไม่ได้รับเกียรติดังกล่าว
แคว้นระดับสามอย่างแคว้นฉิน สิ่งที่เป็นกำลังให้แก่มนุษย์นั้นส่วนมากเป็นสัตว์ป่าที่ไม่มีสติปัญญา
เหมือนกับที่มู่ชิงเกอรู้เมื่อชาติที่แล้ว คือเลี้ยงพวกมันเอาไว้และทำให้สัตว์ป่าพวกนั้นปรับตัวให้คุ้นกับสภาพแวดล้อมใหม่ หลังจากนั้นก็เลี้ยงไว้เป็นอาหารและใช้งาน
แต่บางทีอาจเป็นเพราะโครงสร้างของโลกนี้แตกต่างจากโลกที่มู่ชิงเกอเคยอยู่อาศัย สำหรับที่นี่สัตว์ป่าที่ได้รับการปรับตัวให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ จะสามารถกระทำการต่างๆ ได้ฉับไวกว่าที่นางเคยพบเจอ
เหมือนดั่งตอนที่นางเพิ่งมาถึงที่นี่และรู้สึกว่าม้าที่โจรขี่นั้นว่องไวเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในภายหลังหลังจากที่นางได้สัมผัสกับอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น จึงรู้ว่าม้าเหล่านั้น สำหรับโลกนี้จัดเป็นเพียงฝีมือระดับต่ำเท่านั้น
ด้วยความตื่นเต้นที่ ‘สมบัติอันลํ้าค่ากำลังโบกมือร้องเรียก’ มู่ชิงเกอจึงรีบพากำลังคนมุ่งหน้าไปยังพื้นที่อาชาเพลิง อาชาเพลิงที่ว่านี้เป็นเพียงแค่ชื่อเรียกขานของพื้นที่ที่อยู่ในแผนที่เท่านั้น
ทว่าความเป็นจริงแล้วคือสถานที่ที่มีอาชาเพลิงอาศัยอยู่
อาชาเพลิงนั้นมีอุปนิสัยคล้ายคลึงกับม้าทั่วไปนั้นก็คือ ชอบอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นฝูงและมีพญาอาชาเป็นผู้นำ
พื้นที่อาชาเพลิงที่อยู่ในแผนที่เป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยหญ้าสีเขียวอันสมบูรณ์แน่นอนว่าเป็นพื้นที่อันโปรดปรานของอาชาเพลิง
อาชาเพลิง เป็นสัตว์พลังวิญญาณที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์
โดยปกติแล้วจะมีหญ้าเป็นอาหารหลักและนานๆ ครั้งจึงจะจับเหยื่อเล็กๆ ที่อ่อนแอมาเป็นอาหารชั่วครั้งคราว เพื่อเสริมกำลังภายใน
ทุ่งหญ้าแห่งนี้ ห่างจากบริเวณรอบนอกของเทือกเขาฉินไม่มากนัก
ทั้งห้าร้อยกว่าคน เดินทางอย่างเปิดเผย แต่กลับไม่ได้พบเจอกับการคุกคามของสัตว์ป่าแต่อย่างใด
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเขาโชคดีหรือเป็นเพราะการสู้รบในคราก่อน ทำให้สัตว์ป่าต่างเข้าสู่การพักฟื้นไม่ได้ออกมาเพ่นพ่าน
แต่ก็มีบางคราวที่หมูป่าและกระต่ายป่าหลายตัวพุ่งเข้ามายังขบวนโดยบังเอิญ
องครักษ์เขี้ยวมังกรจึงเก็บพวกมันไว้เป็นมื้ออาหารเย็นในคลังเก็บเสบียงอย่างไม่เกรงใจ
สำหรับเรื่องนี้มู่ชิงเกอไม่ได้พูดอะไรมากนัก
เมื่อท้องฟ้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีรัตติกาล ในที่สุดมู่ชิงเกอก็พาองครักษ์เขี้ยวมังกรมาอยู่ในพื้นที่ที่ใกล้เคียงกับพื้นที่อาชาเพลิง บริเวณรอบนอกทุ่งหญ้า มู่ชิงเกอสั่งการให้ตั้งค่ายพัก ม้าที่พาเข้ามาด้วยถูกจูงให้ไปอยู่บริเวณใต้ต้นไม้ กอง ทหารต่างทำการกันอย่างเป็นระบบและจัดสรรงานกัน ตระเตรียมการทุกอย่างเพื่อพักที่นี่ในคืนนี้ โย่วเหอไปช่วยจัดการกับสัตว์ป่าที่ถูกนำมาระหว่างทาง ฮวาเยวี่ยเองก็ไปช่วยตักนํ้าเพื่อปรนนิบัติมู่ชิงเกอ ในชั่วพริบตาเดียวกลิ่นหอมของหมูย่างและกระต่ายย่างก็หอมฟ้งกระจายไปทั่วทุกสารทิศ
หลังจากที่ทุกคนแบ่งสรรอาหารกันเสร็จสิ้นแล้ว มู่ชิงเกอสั่งให้องครักษ์เขี้ยวมังกรจัดกำลังคนออกไปสอดส่อง ตรวจตราว่ามีร่องรอยของอาชาเพลิงหรือไม่
องครักษ์เขี้ยวมังกรที่ถูกส่งออกไปกลับมาพร้อมข่าวดีอย่างรวดเร็ว
พอเขาเห็นรอยเกือกอาชาบนผืนทุ่งหญ้า คล้ายจะเป็นรอยเท้าที่เพิ่งประทับใหม่เมื่อไม่นานมานี้และตรงบริเวณทุ่งหญ้ายังหลงเหลือหญ้าสีเขียวอีกเป็นจำนวนมาก โดยอุปนิสัยของอาชาเพลิงแล้ว พวกมันจะยังมาปรากฏตัว จนกว่าจะกินหญ้าที่นี่จนหมด ถึงจะไปหาผืนทุ่งหญ้าแห่งใหม่
พอทราบข่าวที่เป็นที่น่าพึงพอใจ มู่ชิงเกอก็กระตุกยิ้ม และหลังจากที่จัดเวรยาม จึงให้ทุกคนไปพักผ่อนเพื่อสะสมกำลังเอาไว้แล้ววันพรุ่งนี้จะไปล่าอาชากัน
ในค่ำคืนนี้มู่ชิงเกอหลับสนิทมาก
จนกระทั่งเข้าสู่ยามวิกาลกลางดึก นางก็ถูกเสียงร้องโหยหวนดังสนั่นของม้าปลุกให้ตื่นจึงเดินออกจากกระโจมไป ภายนอกกระโจมตกอยู่ในสภาพอลหม่าน ม้าหลายร้อยตัวที่นางพามาด้วยนอนจมอยู่ในกองโลหิต ไร้ซึ่งลมหายใจ ร่างกายของพวกมันมีร่องรอยของการถูกฉีกเนื้อจนเป็นชิ้นๆ
สีหน้านางเคร่งขรึม พลางพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น”
มั่วหยางพลันปรากฏตัวขึ้นที่ข้างๆ นางในทันที สีหน้าของเขาดูไม่สู้ดีนักเช่นกัน “คุณชาย เป็นการลอบโจมตีจากอาชาเพลิง ม้าของเราถูกฆ่าและบางส่วนก็ถูกอาชาเพลิงกินไปแล้ว”
สายตาของมู่ชิงเกอฉายแววเยือกเย็นในทันที
มั่วหยางพูดต่ออีกว่า “อาชาเพลิงพวกนี้มีสติปัญญา พวกมันถือโอกาสที่เรากำลังผลัดเปลี่ยนเวรยาม ในการโจมตีและยังว่องไวเป็นอย่างมาก หลังจากที่ถูกจับได้ก็รีบถอยร่นกลับไปไม่สู้ต่อ เพื่อป้องกันแผนลวงข้าเลยไม่ให้องครักษ์เขี้ยวมังกรตามไป”
มู่ชิงเกอเงียบไปนานจึงพูดออกมาอย่างเย็นเยียบว่า “เจ้าทำดีมาก ท้องฟ้ายามวิกาลมืดสนิทเช่นนี้มองเห็นอะไรไม่ชัด หากออกไปตามแน่นอนว่าง่ายต่อการเกิด อันตราย”
แต่ว่านางคิดไม่ถึงว่าในขณะที่นางคิดไม่ซื่อกับเหล่าอาชาเพลิง พวกอาชาเพลิงเองก็คิดไม่ซื่อกับม้าของนางเช่นกัน
ดีมาก! หากฆ่าและกินม้าของพวกนางจนหมดสิ้นแล้ว ก็มีเหตุผลที่จะมาเป็นพาหนะให้แก่องครักษ์เขี้ยวมังกรแล้วสินะ
“สั่งให้ทุกคนไปพักก่อน พรุ่งนี้เช้าเราจะไปทวงความยุติธรรมจากอาชาเพลิงกัน!” หลังจากที่มู่ชิงเกอออกคำสั่งเสร็จ ก็หันหลังกลับเข้าไปในกระโจม
ม้าพวกนี้ตายอย่างน่าสังเวช องครักษ์เขี้ยวมังกรทุกคนราวกับมีเปลวเพลิงลุกโหมก่อขึ้นในใจ
ในใจของมู่ชิงเกอยิ่งเย็นเยียบมากขึ้นกว่าเดิม
นางคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะถูกเอาเปรียบโดยม้าฝูงหนึ่ง เพิ่งจะรุ่งสาง องครักษ์เขี้ยวมังกรก็เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางพร้อมกับกลิ่นไอแห่งสงคราม เพื่อที่จะไปแก้แค้นให้กับเหล่าม้าของตนเอง !
มู่ชิงเกอสั่งให้คนออกไปดูลาดเลาบริเวณทุ่งหญ้า ส่วนกองกำลังคนที่เหลือให้แสร้งทำเหมือนกำลังจะออกไปจากพื้นที่นี้ อาชาเพลิงเหล่านั้นมีสติปัญญา ไม่แน่ว่าอาจจะสอดส่องดูพวกเขาอยู่ หากไม่แสดงเช่นนี้ แล้วจะล่ออาชาเพลิงพวกนี้ให้ติดกับได้อย่างไรกัน?
เมื่อเดินอ้อมมาหนึ่งรอบและแน่ใจว่าข้างหลังไม่มีอะไรติดตามมาแล้ว มู่ชิงเกอก็พาองครักษ์เขี้ยวมังกรกลับไปยังรอบนอกของทุ่งหญ้าเพื่อใชพื้นที่นี้ในการอำพรางตัว
การอำพรางตัว การหาที่ช่อนก็เป็นสิ่งที่นางต้องสอนให้กับองครักษ์เขี้ยวมังกร
ทันใดนั้น ทหารขององครักษ์เขี้ยวมังกรกลุ่มหนึ่งที่ออกไปดูลาดเลาก็กลับมาและบอกข่าวล่าสุดแก่มู่ชิงเกอ
อาชาเพลิงนั้นมีสติปัญญามากจริงๆ หลังจากที่พวกเขาออกมาพวกมันจึงปรากฏตัวขึ้น และมีหลายตัวที่กลับไปสำรวจดูที่ตั้งค่ายของพวกเขาอย่างละเอียดแล้วจึงกลับไป
หลังจากนั้นอาชาเพลิงฝูงใหญ่จึงปรากฏตัวขึ้นบนทุ่งหญ้าโดยมีพญาอาชาเป็นผู้นำและเริ่มเสพความหอมหวานของหญ้า
มู่ชิงเกอฟังแล้วพลันหัวเราะอย่างเยือกเย็น ก็แค่อาชาฝูงหนึ่งไม่ว่าจะมีสติปัญญาและฉลาดมากเพียงไหน จะไปสู้มนุษย์ที่กลายเป็นผู้มีสติปัญญามาแล้วนับร้อยปีหมื่นปีได้อย่างไรกัน เมื่อค่อยๆ แฝงตัวเข้าไป ไม่นานทุกคนก็เห็นฝูงอาชาเพลิงที่ลอบโจมตีม้าของพวกเขา
มู่ชิงเกอกวาดสายตามองอาชาเพลิงจำนวนห้าถึงหกร้อยตัว ถือว่าเพียงพอสำหรับการแก้แค้นให้กับเรื่องเมื่อคืนก่อนนี้ยึดครองอาชาเพลิงพวกนี้เสีย แล้วมอบให้กับ องครักษ์เขี้ยวมังกรคนละตัวที่เหลือก็เอากลับไปยังค่ายทหารตระกูลมู่ เพื่อเป็นของกำนัล
แล้วคัดเลือกอีกจำนวนหนึ่งส่งกลับไปยังลั่วตูให้ท่านปู่เป็นคนจัดการ
สำหรับเจ้าอ้วนเช่านั้น…