ตอนที่ 85-3
รักครั้งใหม่ของมู่ชิงเกอ
ยิ่งเป็นอาชามากด้วยความสามารถ ก็ยิ่งยากที่จะทำให้เชื่อง แต่หากทำให้มันเชื่องแล้ว มันก็จะกลายเป็นความซื่อสัตย์อันถ่องแท้
พญาอาชายิ่งต่อต้านมากเพียงใด สายตาของมู่ชิงเกอก็ยิ่งสาดส่องประกายอันร้อนแรงมากขึ้นเพียงนั้น!
เมื่อไม่สามารถสะบัดมู่ชิงเกอให้หลุดร่วงลงไปได้ เปลวเพลิงแห่งโทสะของพญาอาชาก็พลันครอบงำสติปัญญา มันเงยหัวขึ้นคำราม ขนสีดำของมันพลันมีเปลวเพลิงสีดำลุกโชติช่วงในทันที
และเปลวเพลิงที่ว่านั้นคือที่มาของชื่ออาชาเพลิง
เปลวเพลิงที่สามารถลุกออกมาจากร่างกายได้เช่นนี้ สามารถทำลายล้างทุกอย่างที่เข้าใกล้อาชาเพลิงเพื่อปกป้องไม่ให้ตัวของมันได้รับอันตรายใดๆ ในชั่วขณะที่เปลวเพลิงสีดำปรากฏขึ้น รอบตัวของมู่ชิงเกอเองก็พลันเกิดประกายแสงสีเขียวเพื่อคุ้มกันนางเอาไว้ และเปลวเพลิงสีดำนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรนางได้แม้แต่ น้อย
มู่ชิงเกอกระตุกยิ้มอย่างรับรู้ถึงชัยชนะที่กำลังจะมาถึง ทันใดนั้นนางก็หยิบกริชอันแหลมคมเล่มหนึ่งออกจากอก
ชูขึ้นสูงเหนือหัวและแทงมันลงอย่างสุดกำลัง!
นางแทงกริชเข้าไปยังสะโพกของพญาอาชาเพลิง โลหิตสีแดงสดที่มีสีดำปะปนอยู่ไหลทะลักออกมาในทันใด
พญาอาชาเองกรีดร้องคำรามโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเพราะพิษบาดแผลที่ถูกแทง
เพลิงสีดำนั้น สามารถสกัดกั้นการโจมตีจากภายนอกได้
แต่อย่าลืมว่า นางนั่งอยู่บนหลังอาชา พลังที่ปล่อยออกมาได้สลายเพลิงสีดำบางส่วน ทำให้กริชของนางสามารถแทงเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
“ยอมสยบ ก็อยู่ต่อ ไม่ยอมก็ตายเสีย” ในขณะที่พญาอาชากำลังบ้าคลั่งเพราะความเจ็บปวดแสนสาหัส เสียงที่ประดับด้วยเย็นเยียบไร้ที่เปรียบก็ดังขึ้นมาจากส่วนหัวของมัน
ราวกับว่า หากมันยังกล้าแสดงท่าทางอันแสดงถึงการต่อต้าน มนุษย์ที่จ้องจะทำให้มันเชื่องก็จะลงมือสังหารมันอย่างไม่ลังเล
ไอสังหารอันเต็มเปี่ยม ทำให้พญาอาชาได้สติกลับมาในทันที !
เป็นไอสังหารที่น่าหวาดหวั่นนัก!
ในสายตาของพญาอาชาค่อยๆ แปรเปลี่ยนมีความเข้าใจแจ่มแจ้งเข้ามาแทนที่ความบ้าคลั่ง มันคิดไม่ตกว่า มนุษย์ตัวเล็กๆ ที่ขี่อยู่บนหลังของมันนี้เหตุใดถึงได้มีไอสังหารที่น่ากลัวมากถึงเพียงนี้
ทว่า มันไม่ทันที่จะคิดทบทวนอย่างละเอียดมากนัก เสียงที่เย็นเยือกมากกว่าเดิมได้ดังขึ้นอีกหนประหนึ่ง เสียงนั้นได้ฝังลึกเข้าไปในหัวของมันดั่งหยาดนํ้าแข็งอันหนาวเหน็บ
“จะอยู่หรือจะตายเจ้าคงคิดดีแล้วสินะ หากติดตามข้า เจ้าจะไม่ถูกเอาเปรียบแน่”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความกลัวตายหรือเชื่อในคำพูดประโยคสุดท้ายของมู่ชิงเกอ ความบ้าคลั่งของพญาอาชาค่อยๆ สงบลง และไม่พยายามสะบัดมู่ชิงเกอให้ตก จากหลังอีก
จากที่บ้าคลั่งกลายเป็นเดินอย่างเชื่องข้า
ในที่สุด พญาอาชาก็ก้มหัวอันแสนหยิ่งผยองของมันลง นัตน์ตาสีดำดั่งเพทายของมันฉายแววเชื่อฟัง
“พญาอาชาเหมือนจะเชื่องแล้ว” องครักษ์เขี้ยวมังกรที่แอบมองอยู่ไกลๆ มองความเปลี่ยนแปลงของมนุษย์เและ ม้าคู่นี้อย่างตกตะลึง
บนหลังอาชาสีดำเงาดุจกำมะหยี่แวววาวอันแสนงดงาม ขนอาชาปลิวสลวยพลิ้วไหวไปมา ชายหนุ่มในชุดสีแดงเจิดจ้างามสง่ากำลังล้วงอะไรบางอย่างและเทลงตรงบริเวณสะโพกของอาชา เสมือนดั่งการรักษาแผลให้แก่พญาอาชา
ภาพอันเล็กน้อยแต่กลับยิ่งใหญ่เช่นนี้ช่างงดงามไร้ที่ติยิ่งนัก!
หลังจากที่เทผงยาในขวดออกมาจนหมดแล้ว แผลตรงสะโพกของพญาอาชาพลันหายเป็นปลิดทิ้งในชั่วพริบตา
มู่ชิงเกอโยนขวดใบนั้นไปด้านหลังด้วยท่าทางอันเย้ายวนน่าดึงดูด ตบหลังพญาอาชาเบาๆ พลางพูดว่า “สั่งให้พรรคพวกของเจ้าสงบลงเสีย ต่อจากนี้ให้ทำงานตามคำสั่งของลูกน้องของข้า เรามาร่วมเดินทางข้ามผ่านภูเขาลำธารอันงดงามและก้าวผ่านเรื่องราวอันดีงามไปพร้อมๆกันเถิด”
ราวกับเข้าใจในสิ่งที่นางพูด พญาอาชาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง พลันส่งเสียงร้องคำรามไปทางฝูงอาชาสองครั้ง หลังจากที่สิ้นเสียงคำราม ฝูงอาชาที่บ้าคลั่งก็พลันเงียบลงในทันที ทำให้สายตาของพญาอาชาเพลิงฉายแววผยองแสดงความยิ่งใหญ่ของการเป็นผู้นำอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอาชาฝูงนี้ไม่มีท่าทีจะต่อต้าน มู่ชิงเกอก็กระตุกยิ้มเบาๆ พลันตะโกนไปยังทิศทางที่องครักษ์เขี้ยวมังกรอำพรางตัวอยู่ : “ออกมาเลือกอาชากันได้แล้ว!” องครักษ์เขี้ยวมังกรที่รอจนเริ่มรู้สึกร้อนใจอยู่นานแล้ว เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งเสียงนี้ ก็พุ่งตัวออกจากทุ่งหญ้าไปยังฝูงอาชาเพลิงด้วยความตื่นเต้นดั่งสายรุ้งที่เชิดฉายงดงามหลังฝนตก
ติดตามคุณชายไม่มีอดตายจริงๆ!
ยังไม่ทันได้เข้าไปยังเทือกเขาฉิน ก็ได้สัตว์วิญญาณอย่างอาชาเพลิงมาเป็นพาหนะแล้ว
จู่ๆ ก็มีคนมากมายโผล่ออกมาแบบนี้ นอกจากพญาอาชาที่มีการเตรียมใจไว้แล้ว ในแววตาของอาชาเพลิง ตัวอื่นๆ ก็ปรากฏความตื่นตัวระวังระไวขึ้นมาในทันที กระทั่งพญาอาชาส่งเสียงคำรามอีกครั้ง อาชาเพลิงเหล่านั้นถึงจะยอมสงบลงจริงๆ
ภายใต้สายตาให้คำสั่งของมู่ชิงเกอ โย่วเหอและฮวาเยวี่ยจึงเดินไปเลือกอาชาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
มู่ชิงเกอมองภาพนี้ด้วยด้วยความยินดีอยู่บนหลังพญาอาชา
สักพัก นางก็จัดขนอันเงาดำแวววับตรงแผงคอที่ดูเป็นธรรมชาติแล้วพูดข้างหูอาชาว่า “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าเรียกเจ้าว่าเพลิงรัตติกาลเป็นอย่างไร”
พญาอาชายกจมูกขึ้นอย่างรังเกียจ ราวกับว่ากำลังหัวเราะเยาะเย้ยเจ้าของผู้นี้ที่เลือกสรรตั้งชื่อได้ธรรมดายิ่งนัก
มู่ชิงเกอเหมือนเริ่มสัมผัสได้ถึงความรังเกียจ จึงจับปลายจมูกของตนเองอย่างขวยเขิน แล้วหัวเราะ ‘เหอะๆ’ ต้องยอมรับเรื่องนี้อย่างไม่อาจปฏิเสธได้
สักพักหลังจากนั้นเมื่อองครักษ์เขี้ยวมังกรได้เลือกอาชาของตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็เข้าไปใกล้ชิดอาชาเพลิงของตนเองอย่างรักใคร่
มู่ชิงเกอพูดเสียงดังว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกมันจะเป็นเพื่อนในการทำสงครามเคียงคู่กับพวกเรา เป็นเพื่อนตายในสงครามของพวกเจ้า หากมีผู้ใดกล้ากลั่นแกล้ง รังแกพวกมัน จะลงโทษตามกฎกองทัพ!”
“รับทราบ! คุณชาย!”
ทุกคนต่างยืดอกและพูดอย่างพร้อมเพรียงกัน
พวกเขาไม่ใช่มือใหม่ รู้ถึงความสำคัญของอาชาในการทำสงคราม อีกอย่างนี่เป็นอาชาเพลิงที่หายาก จะกล้ากลั่นแกล้งได้อย่างไร?
มู่ชิงเกอพยักหน้า
แล้วสายตาก็หันไปมองอาชาเพลิงเจ็ดถึงแปดสิบตัวที่
เหลือจากการเลือก
อาชาเพลิงที่เหลือนี้ไม่ใช่อาชาเพลิงที่อ่อนแอที่สุดในฝูง แต่กลับกันส่วนมากเป็นตัวที่ดูแข็งแรงลํ่าสันเป็นอย่างมาก ที่เหลือเอาไว้เพราะองครักษ์เขี้ยวมังกรต่างก็เข้าใจ ความคิดของมู่ชิงเกอเป็นอย่างดี
เป็นเพราะรู้ว่านางมีแผนไว้สำหรับอาชาที่เหลือแล้ว จึงตั้งใจไม่เลือกอาชาเหล่านั้น
องครักษ์เขี้ยวมังกรและอาชาเพลิงต่างอยู่ร่วมกันอย่างสงบและมีความสุขตลอดระยะเวลาสามวัน
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และอาชาเกิดความสนิทสนมกันมากขึ้นและทำให้องครักษ์เขี้ยวมังกรค่อยๆ ปรับตัวกับการฝึกพลังในเทือกเขาฉิน
ได้มากขึ้น บรรยากาศภายในเทือกเขาฉินแห่งนี้ดีกว่าภายนอก อยู่ที่นี่การฝึกพลังของทุกคนต่างก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็วกว่าที่เคย
สามวันหลังจากนั้น มู่ชิงเกอสั่งให้เพลิงรัตติกาลนำฝูงของตนเองคอยอยู่บริเวณนั้น จนกว่าพวกเขาจะออกจากเทือกเขาฉิน แล้วจะพาพวกมันกลับไปด้วย
ด้านในของเทือกเขาฉิน
“เร็ว โจมตีจากทางขวาไปด้านบน”
“พวกข้าเป็นเหยื่อล่อ พวกเจ้าโอบล้อมจากด้านหลัง! ย่ามันเถอะ วันนี้จะต้องกำจัดฝูงหมาป่าฝูงนี้ให้ได้!”
“เวรเอ๊ย! หากไอ้พวกข้างนอกรู้ว่าหมาป่าสายเขียวเป็นคู่ซ้อมให้พวกเรา ไม่รู้ว่าจะทำให้ลูกตากี่ดวงต้องหลุดออกมา”
“อย่ามัวเจี๊ยวจ๊าวรีบเร่งมือเข้า”
ด้านในป่า มนุษย์และหมาป่ากำลังสู้รบกันอย่างวุ่นวาย แต่กลับไม่เห็นความตื่นตระหนกของฝั่งมนุษย์เลยแม้แต่น้อย กลับเป็นฝั่งหมาป่าที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า