Skip to content

พลิกปฐพี 99-3

ตอนที่ 99-3

เจ้าสองคนนี่ เป็นบ้าหรือไร?

มู่ชิงเกอยังคงไม่หยุดเดินและหลังจากที่โย่วเหอได้ยินเสียงที่ดังมาจากข้างหลัง ก็พลันเม้มปากและเดินเข้ามาหา พร้อมพูดว่า “คุณชาย เหมือนว่าสองคนนั้นจะตาม มาอีกแล้ว” ครู่หนึ่งผ่านไป เมื่อเห็นว่าคุณชายไม่มีปฏิกิริยาอะไร นางจึงพูดต่ออีกว่า “เมื่อครู่นี้สองคนนั้น อ้างว่าตนเองชื่อเว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่าน จะว่าไปแล้ว ชื่อนี้ก็ดูคล้ายกับชื่อองค์หญิงและองค์ชายคู่ฝาแฝดชายหญิงของเมืองถัวแห่ง แคว้นลี่เสียจริง”

ในที่สุดมู่ชิงเกอก็หยุดฝีเท้าลงและคิดทบทวนคำพูดของโย่วเหอ

เมืองถัวแห่งแคว้นลี่ นับว่าเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็เป็นที่ที่พวกเขาต้องผ่าน เพราะเช่นนี้โย่วเหอที่รับหน้าที่ค้นหาข้อมูลข่าวสาร จึงได้รู้ว่า เจ้าเมืองของเมืองถัวเป็นใครและมีบุตรธิดาชื่ออะไร หากสองคนที่สติไม่สมประกอบเมื่อครู่นี้เป็นลูกของเจ้าเมืองถัวจริงๆ แล้วพวกเขาจะปรากฏตัวภายในผืนป่าลั่วรื่อเพียงลำพังโดยไม่มีองครักษ์หรือทหารแม้แต่นายเดียวเลยได้อย่างไรกัน

ความสงสัยภายในใจ ทำให้มู่ชิงเกอเปลี่ยนแผน นางอยากจะรู้ว่าผู้ที่อาจจะสูงศักดิ์ทั้งสองที่ไม่ละความพยายามที่จะตามนางนั้น ทำไปเพื่ออะไรกัน

พอนางหยุดฝีเท้าลงเว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านจึงตามมาจนทันในที่สุด

“ในที่สุดก็ตามทันเสียที” เว่ยกว่านกว่านอุทาน

ราวกับว่าแม่เสือตัวนี้จะแสดงด้านที่ดุร้ายเฉพาะต่อหน้าพี่ชายของตนเองเท่านั้น เพราะต่อหน้ามู่ชิงเกอ ผู้ที่ออกคำสั่งให้โยนตัวนางออกมา นางกลับไม่ได้แสดง ความไม่พอใจออกมาเลยแม้แต่น้อย

นางเดินเข้ามาหามู่ชิงเกออย่างระมัดระวัง มองมู่ชิงเกอด้วยใบหน้าอันร่าเริง พลางพูดอย่างอ่อนแอว่า “พี่ชายคนงาม ข้าได้สั่งสอนไอ้เจ้าเว่ยฉีเรียบร้อยแล้ว เรา เดินทางไปพร้อมกันดีไหม”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะคำพูดของนาง จึงทำให้ต้องเคลื่อนสายตาไปมองเว่ยฉีที่ตอนนี้เงียบสงบลงแล้ว

และก็เป็นอย่างที่นางพูด บนตาซ้ายของชายหนุ่มผู้งดงาม มีรอยชํ้ารอยหนึ่งเพิ่มเข้ามา รวมทั้งตาซ้ายก็หยีลงจนกลายเป็นเส้นตรง ท่าทางในขณะนี้กำลังพยายามปกปิดความเจ็บปวด ราวกับกลัวว่าจะมีคนเห็นสภาพแย่ๆ ของตนเอง

เมื่อรับรูได้ว่ามู่ชิงเกอกำลังกวาดสายตาผ่าน เว่ยฉีก็รีบยืดตัวตรง และค่อยๆ ปิดตา เพื่อปกปิดตาซ้ายของตนเอง พลันมอบรอยยิ้มอันสดใสให้แก่มู่ชิงเกอ

ไอ้เจ้าสองคนนี้…

มู่ชิงเกอเห็นแล้วก็อดที่จะรู้สึกตลกไม่ได้ เท่าที่นางได้สัมผัสมา น้อยมากที่จะเจอกับคนที่บ้าๆ บอๆ ดั่งเช่นสองคนนี้

“เว่ยฉี เว่ยกว่านกว่าน เจ้าเมืองเมืองถัวเป็นอะไรกับพวกเจ้า” อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็ได้เอ่ยถามขึ้น

คำถามที่ตรงไปตรงมาของนาง ทำให้ทั้งสองตกใจ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ฉายแววระแวดระวังในทันที แต่กลับเก็บอาการไว้ได้อย่างรวดเร็ว

เว่ยกว่านกว่านมองเว่ยฉี พลางกัดริมฝีปาก

ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ราวกับนางจะเชื่อใจในตัวพี่ชายมากขึ้น ไม่ใช่เอาแต่ทะเลาะกับเขา

เว่ยฉีก็เก็บอาการและความขี้เล่นของตนเอง พลันเดินเข้าไปหามู่ชิงเกอ เขามองนางพร้อมพูดอย่างจริงจังว่า “หากข้าบอกว่า เจ้าเมืองเมืองถัวเป็นท่านพ่อของเรา เจ้าจะว่าอย่างไร”

ดวงตาอันสว่างและสดใสคู่นั้น ไม่มีความตกใจอีกต่อไป กลับแปรเปลี่ยนเป็นความเคร่งขรึมและชัดเจน มู่ชิงเกอผุดรอยยิ้มจางๆ คำสรรพนามที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย นางมิได้ตอบคำถามของเว่ยฉีเพียงพูดต่อว่า “หากไม่อยากจะเปิดเผยฐานะของตนเอง ก็ควรจะใช้วิธีการเปลี่ยนชื่อ”

‘คำเตือนที่แฝงความหวังดี’ ทำให้ใบหน้าของเว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านแดงกํ่าขึ้นมาในทันที พวกเขายิ้มอย่างอึดอัดใจ

พวกเขากระจ่างเป็นอย่างดีแล้วว่า คนตรงหน้าที่งดงามจนหาที่เปรียบไม่ได้ จนทำให้เพศดูไม่ชัดเจนผู้นี้กำลังหัวเราะเยาะคำข่มขู่ของพวกเขา

ไม่ใช่หรือไง? ตนเองเป็นคนเปิดเผยฐานะของตนเอง แล้วจะมีสิทธิ์อันใดไปโทษความคิดของผู้อื่น

เมื่อกระจ่างในเหตุผลประการนี้แล้ว เว่ยฉีจึงประสานมือและพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ขออภัยที่ข้าเสียมารยาทเมื่อครู่ที่ผ่านมา ข้าขออนุญาตแนะนำตัวใหม่ ข้าชื่อเว่ยฉี ส่วนนางเป็นน้องสาวของข้าชื่อเว่ยกว่านกว่าน ท่านพ่อของเราทั้งสองเป็นเจ้าเมืองเมืองถัวที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับสองของแคว้นลี่นามว่าเว่ยหลินหลาง”

เว่ยหลินหลางหนึ่งในยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นลี่ เจ้าเมืองเมืองถัว หล่อเหลาสง่างาม เข้าสู่สายนํ้าเงินขั้นสูงสุดตั้งแต่อายุยังไม่ย่าง 40 และพร้อมที่จะทะลวงสู่สายม่วงได้ตลอดเวลา อุปนิสัยตรงไปตรงมามีคุณธรรม

กตัญญู ภักดี มนุษยสัมพันธ์กว้างขวาง ในหัวของมู่ชิงเกอ มีเรื่องราวเกี่ยวกับเว่ยหลินหลางปรากฏขึ้นในทันที แม้เรื่องราวจะไม่มากนัก แต่ก็ไม่ยากที่จะเห็นตัวตนที่แท้จริงของคนผู้นี้ในตอนนี้ได้พบกับบุตรและธิดาของเขา ยิ่งทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกว่าเรื่องที่เล่ากันมานั้นเป็นความจริง

หากตัวตนของเว่ยหลินหลางเป็นคนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจจริงๆ ก็คงจะเลี้ยงลูกทั้งสองใหัมีอุปนิสัยเช่นนี้ไม่ได้

“มู่เกอ” มู่ชิงเกอแนะนำตัวสั้นๆ ราวกับกำลังยืนยันคำพูดก่อนหน้านี้ของตนเองกับทั้งสอง

เมื่อสัมผัสได้ว่า มู่ชิงเกอไม่อยากจะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนเองออกมาเว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านเองก็ไม่ได้บังคับ เพียงแค่เสนอคำขอร้องเหมือนก่อนหน้านี้นั้น คือการออกจากที่นี่ไปพร้อมกับมู่ชิงเกอ

“พวกเจ้าเป็นถึงคุณชายและคุณหนูของเมือง เหตุใดจึงเข้าสู่ผืนป่าลั่วรื่อโดยไม่มีองครักษ์คอยปกป้องเช่นนี้” ในขณะที่เดินทาง มู่ชิงเกอได้เอ่ยถามข้อสงสัยของตนเองออกมา

เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านสบตากับแวบหนึ่ง ในที่สุดเว่ยกว่านกว่านก็พูดอย่างเหลือทนว่า “ไม่ใช่ว่าไม่มี เพียงแค่หากันไม่เจอ”

แท้จริงแล้ว ทั้งสองมีคนใช้และองครักษ์ที่เข้ามาในผืนป่าพร้อมๆ กัน แต่ไม่คิดว่าเว่ยกจ๋านกว่านจะบังเอิญไปแหย่รังหนูหูแดงโดยไม่ได้ตั้งใจ และบังเอิญที่สองพี่น้องนี้มีโรคเดียวกัน นั้นคือ กลัวสัตว์ประเภทหนู เพราะฉะนั้นจึงตกใจจนวิ่งหนีไปทั่ว เพราะความวุ่นวายถึงหลงกับบริวารที่พามาด้วย

“ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วพวกเจ้าไม่ต้องไปหาพวกเขาแล้วหรือ” โย่วเหอยื่นหน้าออกมาถาม

เว่ยฉีส่ายหน้า : “ผืนป่าลั่วรื่อกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้ หากันไปมาจะพบกันเมื่อไหร่ ก่อนจะเข้ามาภายในผืนป่า เราได้คุยกันไว้แล้วว่า หากหลงกัน เราจะไปเจอกันที่ เมืองจื้อ เพราะอย่างไรเสีย ความสามารถของสัตว์ป่าในผืนป่าลั่วรื่อไม่ได้มากนักและก็ยากที่จะทำร้ายเราได้”

คำอธิบายของเขา ทำให้โย่วเหอและฮวาเยวี่ยกระตุกยิ้มตรงมุมปาก แอบส่ายหน้าในใจไม่หยุด

ดูเหมือนว่า คนตระกูลเว่ยนั้นไม่เพียงแค่เจ้านายที่สติปัญญาไม่สมประกอบ รวมทั้งสาวใช้และองครักษ์เองก็บ้าไม่ต่างกัน

ทั้งสองคนนี้ แม้พลังเวทจะอยู่ในระดับที่ไม่ถือว่าตํ่า ทว่าประสบการณ์จริงล่ะ ถึงแม้ว่าสัตว์ที่มีพลังเวทจะทำอะไรพวกเขาไม่ได้ แต่ทว่า ในผืนป่าลั่วรื่อแห่งนี้นอกจากสัตว์ที่มีพลังเวทแล้ว ยังมีนักผจญภัยอีกจำนวนนับไม่ถ้วน

อย่างไรก็ตาม มนุษย์เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุด!

ปัญหาที่โย่วเหอและฮวาเยวี่ยคิดไม่ตก มู่ชิงเกอกลับไม่ได้สงสัยอะไร ตั้งแต่ตอนที่เห็นความว่องไวในการวิ่งหนีของทั้งสองนางก็กระจ่างทั้งหมดแล้ว

หากเปรียบกันแล้ว เหตุผลที่องครักษ์ที่ติดตามมาด้วยกล้ากระทำเช่นนี้ ก็เพราะรู้ว่าความว่องไวของเจ้านายตนเองนั้นหาที่เปรียบไม่ได้อีกประการหนึ่ง เป็นถึงลูก หลานเจ้าเมือง อาวุธและทักษะป้องกันตัวจะน้อยได้อย่างไร

ทั้งสองที่ตรงไปตรงมา บ้าๆ บอๆ ก็ใช่ว่าจะสติปัญญาไม่ ประกอบจริงๆ

“เมื่อครู่นี้พวกเจ้าบอกว่า ที่เข้ามาภายในผืนป่าลั่วรื่อ เพื่อตามหายาสมุนไพรที่มีเพียงในผืนป่าแห่งนี้อย่างนั้นหรือ” มู่ชิงเกอพูดขึ้นอย่างกะทันหัน

เว่ยฉีพยักหน้า

ประเด็นนี้ทำให้ใบหน้าเรียวเล็กและงดงามของเว่ยกว่านกว่านฉายแววเศร้าหมอง

“ยาสมุนไพรที่มีเพียงในผืนป่าลั่วรื่อ ก็มีเพียงดอกทานตะวันลั่วรื่อ ดอกทานตะวันมีสรรพคุณเพียงรักษาความอบอุ่นและช่วยให้อ่อนเยาว์ไม่ใช่ยาวิเศษมีคุณสมบัติในการช่วยชีวิตแต่อย่างใด นับได้ว่าเป็นเพียงยาเสริม ร้านขายยาทั่วไปก็มี ไม่ได้หายากมากนัก” มู่ชิงเกอพูด

“มู่เกอ ท่านมีความรู้ด้านการรักษาหรือ” เว่ยกว่านกว่านกะพริบตาอย่างตะลึง

เว่ยฉีเองก็มองนางอย่างตื่นตะลึงเช่นกัน แต่ทว่า สิ่งที่ซ่อนอยู่ในสายตานั้นต่างจากน้องสาว

มู่ชิงเกอพยักหน้ารับ “รู้นิดหน่อย” ที่นางอธิบายสรรพคุณของดอกทานตะวันลั่วรื่อเมื่อครู่นี้ ก็เพื่อที่จะย้อนถามสองพี่น้องนี้ว่ายาสมุนไพรชนิดนี้หา ซื้อได้ทั่วไป เหตุใดจึงต้องเข้ามาตามหาภายในผืนป่าลั่วรื่อด้วย

พวกเขาทั้งสองเองก็ไม่ได้โง่ และรู้ถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของนาง

หลังจากที่พี่ชายแอบส่งสัญญาณให้ เว่ยกว่านกว่านจึงพูดว่า “เราต้องการดอกทานตะวันสดๆ ที่มีขายในร้านยานั้นทั้งเหี่ยวและแห้ง แต่ก่อนมีกลุ่มนักผจญภัยที่ทำสัญญากับเรามาโดยตลอดและดอกทานตะวันลั่วรื่อสดๆ เราล้วนได้มาจากพวกเขา แต่ทว่าในครั้งนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตอนนี้ก็ล่วงเลยเวลานัดหมายการซื้อขายมานานแล้ว ดอกทานตะวันลั่วรื่อในตำหนักก็ใกล้จะหมด เราจึงต้องออกมาหาด้วยตัวเอง”

“พวกข้าหลงกับองครักษ์ พวกเขาคงจะไปตามหาดอกทานตะวันลั่วรื่อแน่ ในตอนนี้พวกข้าก็เด็ดตามทาง พอหลังจากที่ไปรวมตัวกับพวกเขาที่เมืองจื้อก็จะเดินทางกลับเมืองถัว” เว่ยฉีพูดเสริม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version