ตอนที่ 99-4
เจ้าสองคนนี้ เป็นบ้าหรือไร?
“ที่จวนของท่านต้องการดอกทานตะวันลั่วรื่อจำนวนมาก เพราะมีคนได้รับบาดเจ็บที่เส้นชีพจรหรือ” มู่ชิงเกอรู้สึกฉงนใจ จึงได้ถามขึ้น นางจำได้ว่าจากข้อมูลที่รู้มาจากโย่วเหอภรรยาของเว่ยหลินหลางกำลังป่วยหนัก ไม่มีทางรักษาได้และได้แต่พยายามยื้อชีวิตไว้ในแต่ละวัน หรือว่าดอกทานตะวันลั่วรื่อสดพวกนี้จะเป็นยาที่ใช้ช่วยชีวิตภรรยาของเว่ยหลินหลาง จึงได้เป็นเหตุให้สองพี่น้องคู่นี้ตึงเครียดได้มากถึงเพียงนี้
ทั้งสองพยักหน้าโดยไม่ได้นัดหมาย
อาการป่วยของท่านแม่ของพวกเขา ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร จึงได้เล่าความจริงทั้งหมดออกมาและก็เป็นอย่างที่มู่ชิงเกอคาดเอาไว้ไม่มีผิด สิ่งเดียวที่คาดเคลื่อน นั่นคืออาการป่วยของภรรยาของเว่ยหลินหลาง ไม่เพียงแค่ไม่มียาที่สามารถรักษาได้ แต่แม้จะเชิญปรมาจารย์ที่ชำนาญการในการปรุงยามาสักกี่คน ก็ไม่อาจหาวิธีรักษาได้ทำได้เพียงแค่ลดความทรมานของฮูหยินเว่ยลง “มู่เกอ ในเมื่อท่านมีความรู้ด้านการแพทย์ท่านจะกลับจวนไปพร้อมกับเรา เพื่อดูอาการของท่านแม่ของข้าได้หรือไม่” อยู่ๆ เว่ยกว่านกว่านก็ได้พูดขึ้นพร้อมความตื่นเต้น
เว่ยฉีรีบปรามว่า “กว่านกว่านเจ้าอย่าทำให้มู่เกอลำบากใจเลย อาการป่วยของท่านแม่ แม้แต่ปรมาจารย์ก็ยังไม่สามารถรักษาได้” พูดจบ เขาก็รู้สึกว่า การใช้คำของตนเองไม่ถูกต้อง จึงรีบอธิบายว่า “มู่เกอ ท่านอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้หมายความว่าท่านไม่มีความสามารถ แต่ข้าไม่อยากให้ท่านต้องรู้สึกกดดัน เพราะอายุท่านยังน้อย ในอนาคตไม่แน่ว่าอาจจะรักษาท่านแม่ของข้าได้ โอ๊ย! ข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรแล้ว ขอเพียงท่านเข้าใจความหมายของข้าก็พอแล้ว”
มู่ชิงเกอพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีกต่อไป
ในความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้นางก็ยังไม่กระจ่างในอาการป่วยของฮูหยินเว่ยและแน่นอนว่าจะไม่ตกปากรับคำอะไรแน่นอน
คำพูดของพี่ชาย ทำให้เว่ยกว่านกว่านตระหนักว่าตนเองใจร้อนมากเกินไป จึงรีบพูดว่า “ใช่ๆ อาการป่วยของท่านแม่ของข้า แม้ปรมาจารย์ยังไม่อาจหาวิธีรักษาได้ ข้าไม่ควรจะทำให้มู่เกอต้องลำบากใจ”
มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ เพื่อบอกว่าไม่เป็นอะไร ท้ายที่สุดแล้ว เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านได้เข้ามามีส่วนร่วมในขบวนของมู่ชิงเกอชั่วคราว เพื่อออกจากผืนป่าลั่ว รื่อไปพร้อมๆ กัน
ระหว่างทาง มู่ชิงเกอก็ยังคงไม่ลืมตามหาข่าวคราวเกี่ยวกับมู่ยี่ เพราะอย่างไรก็ตาม นางก็ได้รับผลตอบแทนจากฟ่งเหนียงมาแล้ว อาวุธกึ่งเทพนั่นเพียงพอที่นางจะลงทุนลงแรง
และทั้งสองพี่น้อง ระหว่างทางก็ได้หาดอกทานตะวันจำนวนหนึ่ง เมื่อเป้าหมายสำเร็จแล้ว ความกังวลที่ฉายอยู่บนใบหน้าของทั้งสองก็ได้จางหายไปมาก เมื่อสำเร็จเป้าหมายหลัก ทั้งสองก็กลับมาอารมณ์ดีและไม่มีสาระเหมือนดั่งที่พบกันครั้งแรก
สำหรับเพศของมู่ชิงเกอ กลายเป็นประเด็นที่พวกเขาให้ความสนใจมากที่สุด
ใครใช้ให้ใบหน้าอันงดงามของมู่ชิงเกอ สมบูรณ์แบบได้มากถึงเพียงนี้ แม้จะมีเครื่องมือมายาคอยช่วย แต่ก็ยังคงสร้างความคลุมเครือเกี่ยวกับเพศเป็นอย่างมากอยู่ดี
สำหรับเรื่องนี้ มู่ชิงเกอได้อธิบายให้กับเว่ยฉีฟังหลายรอบแล้วว่าตนเองนั้นเป็น ‘ชาย’ แต่สุดท้ายเจ้านั่นก็ยังคงไม่เชื่อ มักจะจ้องมองมู่ชิงเกอในทุกๆ เวลา ราวกับ กำลังพยายามจับผิดว่านางกำลังปลอมตัวอยู่
สำหรับความดื้อรั้นของเจ้านั่นในตอนแรกมู่ชิงเกอก็ยังคงไม่ชินมากนัก แต่หลังๆ ก็พบว่าไม่ได้เป็นการกวนใจตนเองจนมากเกินไป จึงไม่ได้ใส่ใจ
ในทางกลับกัน หลังจากที่รู้ว่ามู่ชิงเกอเป็น ‘ชาย’ เว่ยกว่านกว่านก็ราวกับได้รับชัยชนะ และไม่ชอบใจที่สายตาของพี่ชายคอยจับจ้องที่มู่ชิงเกออยู่ตลอดเวลา จึงได้ กลายร่างเป็นแม่เสือและวิ่งไล่ทำร้ายร่างกายพี่ชายตนเองอยู่ทุกวัน
พี่น้องคู่นี้ราวกับเป็นตัวสร้างสีสันให้กับขบวน ทำให้ทุกคนค่อยๆ ยอมรับในตัวพวกเขา
“ท่าน อีก 1 ชั่วยาม เราก็จะออกจากผืนป่าลั่วรื่อแล้ว หากเร่งการเดินทางจะสามารถไปรวมตัวกับกลุ่มของพี่มั่วที่เมืองจื้อก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน” องครักษ์เขี้ยวมังกรนายหนึ่งเดินเข้ามาอยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอแล้วพูด
ทันใดนั้นแผนที่ในมือก็พลันถูกยื่นมาไว้ในมือของนาง
มู่ชิงเกอก้มสายตามองแผนที่ นางพยักหน้าและพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น สั่งให้ทุกคนเร่งเดินทาง”
อยู่ในผืนป่าลั่วรื่อมาก็เป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการต่อสู้อะไรเกิดขึ้น ทำให้นางคิดถึงอาหารและเหล้าอันเลิศรสเป็นอย่างมาก
คนในขบวนเร่งเดินทาง และออกจากผืนป่าลั่วรื่อภายในเวลาอันสั้น
ในขณะที่องครักษ์เขี้ยวมังกรยื่นมือไปจรดปากเพื่อส่งเสียงสัญญาณ ทันใดนั้น อาชาเพลิงหลายตัวก็ได้วิ่งออกจากผืนป่า โดยมีเพลิงรัตติกาลเป็นผู้นำ——————
“อา….อาชาเพลิง…!” เว่ยฉีมองอาชาเพลิงที่พุ่งตัวออกมาอย่างตื่นตระหนกและร้องอุทานเสียงหลง
เว่ยกว่านกว่านมองมู่ชิงเกอด้วยสายตาที่เป็นประกายแล้วพูดว่า “ว้าว! มู่เกอ พาหนะของพวกท่านคืออาชาเพลิงหรือ?”
ผู้ที่สามารถใช้อาชาเพลิงเป็นพาหนะและยังมีหน้าตางดงามได้มากถึงเพียงนี้ มันช่างสมบูรณ์แบบเสียจนไม่มีใครเทียบได้!
มู่ชิงเกอพยักหน้า และเดินเข้าไปหาเพลิงรัตติกาล ยกมือขึ้นลูบขนของมัน
เพลิงรัตติกาลพ่นไอร้อนออกจากจมูก พลันขยับใบหน้าไปสัมผัสกับฝ่ามือของมู่ชิงกเอ ท่าทางอันสง่างามนั่นไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งในตอนแรกเลยแม้แต่น้อย
อาชาเพลิงที่มั่วหยางเตรียมเอาไว้ เท่ากับจำนวนคนและเขาคาดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะมีพี่น้องตระกูลเว่ยเพิ่มเข้ามา
เพราะฉะนั้น มีสองคนที่จำเป็นต้องนั่งบนหลังม้าตัวเดียวกัน
มู่ชิงเกอยังไม่ทันจะพูดอะไร เว่ยฉีก็รีบจัดแจง “กว่านกว่านเจ้าไปขี่กับแม่นางโย่วเหอ ส่วนข้าจะขี่ตัวเดียวกับมู่เกอ”
“มีสิทธิ์อะไรกัน! ข้าจะขี่ตัวเดียวกับมู่เกอ!” เว่ยกว่านกว่านต่อต้านในทันที
เว่ยฉีใบหน้าดำมืด ท่าทางได้ใจก็แวบหายไปในทันที พลันกัดฟันพูดกับเว่ยกว่านกว่านว่า “ชายหญิงนั้นต่างกัน เข้าใจไหม?”
เว่ยกว่านกว่านกลับไม่สนใจ เงยหน้าขึ้นพูดว่า “หึ เจ้าบอกว่ามู่เกอเป็นหญิงมิใช่หรือ เจ้าอยากขี่ตัวเดียวกับเขา มีจุดประสงค์อันใดกัน? คิดจะเอาเปรียบผู้หญิงรึ?”
“อย่ามาพูดจาไม่มีเหตุผลเช่นนี้” สายตาของเว่ยฉีมีความตื่นตระหนกแวบขึ้น ราวกับถูกเว่ยกว่านกว่านเดาความคิดของตนเองออก
เว่ยกว่านกว่านกลอกตารอบหนึ่ง พลันยิ้มและพูดว่า “หากไม่อยากให้ข้าพูดจาไม่มีเหตุผลเช่นนี้ ก็อย่ามาแย่งมู่เกอกับข้า !”
“เจ้า! เจ้ามันหน้าไม่อาย! เป็นสาวเป็นนางพูดจาเช่นนี้โดยไม่รู้จักอายได้อย่างไรกัน!” เว่ยฉีทั้งโกรธทั้งแค้นใจจนกระทืบเท้าและชี้หน้าเว่ยกว่านกว่าน
เว่ยกว่านกว่านแลบลิ้นให้เขา “ชายหนุ่มผู้งดงาม มีไว้สำหรับสาวงาม”
ศึกการแย่งชิงตัวมู่ชิงเกอของทั้งสองราวกับว่า จะต้องเกิดขึ้นวันละ 1 รอบ องครักษ์เขี้ยวมังกรรวมทั้งโย่วเหอชินแล้ว ในขณะเดียวกันก็แอบถอนหายใจกับความน่าดึงดูดของเจ้านายของตนเอง ที่แม้จะปลอมตัวเป็นผู้ชาย แต่ก็ยังคงสามารถเรียกร้องความรักจากผู้ชายด้วยกันได้
ท่ามกลางการต่อล้อต่อเถียงของทั้งคู่ มู่ชิงเกอได้นั่งรอบนหลังเพลิงรัตติกาลแล้ว
เมื่อเห็นว่าทั้งสองยังคงถกเถียงกันไม่เลิก นางก็ลูบแผงคอของเพลิงรัตติกาลเบาๆ พร้อมพูดอย่างสุขุมว่า “เพลิงรัตติกาลไม่ชอบให้ผู้อื่นนอกจากข้าเข้าใกล้” ความ หมายของสิ่งที่พูดนั้นชัดเจน และเพลิงรัตติกาลก็ให้ความร่วมมือโดยการแสดงท่าทางอันเย่อหยิ่งออกมา
ไม่รอรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วทั้งสองต้องขี่ม้าตัวเดียวกับใคร มู่ชิงเกอก็ได้จากไปเป็นคนแรก
มองแผ่นหลังอันสง่าผ่าเผยของนาง เว่ยกว่านกว่านและเว่ยฉีก็ได้แสดงท่าทางเศร้าใจออกมาทางใบหน้า และแอบนํ้าตาตกเพราะความเสียดาย
จนกระทั่งองครักษ์เขี้ยวมังกรเองก็จากไปอย่างสง่างามดังเช่นมู่ชิงเกอ ทั้งสองจึงได้สติกลับคืนมา และเดินเข้าไปหาม้าอย่างตื่นตระหนก สุดท้ายเว่ยกว่านกว่านได้นั่งอยู่บนม้าของโย่วเหอ และเว่ยฉีกลับไปเบียดบนหลังอาชาเพลิงขององครักษ์เขี้ยวมังกรนายหนึ่ง
และแล้วคนกว่าสิบคนได้ออกเดินทางไปยังเมืองจื้ออย่างเกรียงไกร
เพราะความว่องไวของอาชาเพลิง ดวงตะวันยังไม่ทันได้พ้นขอบฟ้า พวกเขาก็เห็นเมืองจื้อที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง
“อา! ในที่สุดก็ถึงตัวเมืองแล้ว ไปกินอาหารอันเลิศรส อาบนํ้าและพักผ่อนได้เสียที!” เว่ยฉีที่นั่งอยู่บนหลังม้า บิดขี้เกียจทีหนึ่งด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความผ่อน คลาย
สำหรับคำพูดของเขาแล้ว มู่ชิงเกอเองก็เห็นด้วย พลางพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว
เมืองจื้อ เป็นเมืองที่ใกล้กับผืนป่าลั่วรื่อมากที่สุด ทันทีที่เข้ามาภายในนี้ ก็ทำให้สัมผัสได้ถึงความแตกต่างของแคว้นฉินและแคว้นลี่
สิ่งแรกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แน่นอนว่าคือ ความแตกต่างในเรื่องของรายละเอียดของการตกแต่ง
ประชาชนแคว้นลี่โปรดปรานสีสันที่สดใสเปล่งประกาย ชุดสีแดงของมู่ชิงเกอ ในแคว้นฉินราวกับจะมีแค่นางคนเดียวที่สวม แต่ทว่าในแคว้นลี่กลับสามารถเห็นชุดสีแดงและสีม่วงได้ทุกที่ เพียงแค่รูปแบบและรายละเอียดบนเนื้อผ้าที่แตกต่างกันก็เท่านั้น
ประการถัดมา คือรสชาติของอาหาร
ประชาชนแคว้นฉินชอบทานอาหารที่มีรสเผ็ด แต่ทว่าประชาชนแคว้นลี่นั้นกลับชอบทานอาหารที่มีรสชาติค่อนไปทางหวานและเปรี้ยว
“เดี๋ยวข้าจะไปกินผัดซี่โครงปลาเปรี้ยวหวาน ขาหมูตุ๋นยาจีน ผัดพริกหยวกเนื้อผัดเปรี้ยวหวาน…” เว่ยฉียกนิ้วขึ้นนับอาหารที่ตนเองอยากกิน มุมปากราวกับมีอะไรบางอย่างไหลออกมา
และมู่ชิงเกอที่เดินมาอยู่ข้างหน้า เมื่อได้ยินแล้วกลับรู้สึกเข็ดฟัน อาหารแคว้นลี่ที่ขึ้นชื่อเหล่านี้ทำให้ความอยากอาหารของนางหายไปกว่าครึ่ง
ทันใดนั้น นางก็รู้สึกปลาบปลื้มใจที่ตนเองได้ทะลุมิติมาเกิดที่แคว้นฉิน เพราะว่ารสชาติอาหารที่นางชอบทานเมื่อชาติที่แล้วก็ค่อนไปทางรสเผ็ดจัด หากว่าเกิดที่แคว้นลี่ที่ชอบทานอาหารรสชาติค่อนไปทางหวานและเปรี้ยว นี่อาจจะทำให้เลี่ยนตายหรือไม่ก็อาจจะอดตาย ยิ่งเข้าใกล้เมืองจื้อ คนที่ปรากฏขึ้นรอบๆ ตัวก็มากขึ้นเรื่อยๆ
ระยะทางอันห่างไกล บริเวณประตูเมืองก็สามารถเห็นทั้งผู้คนต่อแถวกันเข้าเมืองและออกจากเมือง ทหารตรวจคนเข้าเมืองล้วนทำตามหน้าที่ของตนเองอย่าง เคร่งครัด ตั้งใจตรวจสอบผู้คนที่เดินทางสัญจรไปมา มู่ชิงเกอถามเว่ยกว่านกว่านว่า “ทหารของแคว้นลี่ต่างก็เคร่งครัดมากถึงเพียงนี้หมดหรือ”
ระหว่างการสนทนาที่ผ่านมา นางได้บอกแล้วว่าตนเองมาจากแคว้นฉิน เว่ยกว่านกว่านส่ายหน้าพลางพูดว่า “ก็ไม่ถึงขนาดนั้น อย่างเมืองถัวของพวกข้าก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะเมืองจื้อนั้นใกล้กับชายแดน อาจเพราะเหตุผลนี้จึงต้องตรวจสอบอย่างละเอียด”
มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วจึงถามต่อว่า “ภายในเมืองจื้อนี้มีหอสรรพสิ่งจริงๆหรือ”
“ใช่ ส่วนหนึ่งของหอสรรพสิ่งอยู่ในเมืองจื้อ มู่เกอท่านกำลังตามหาอะไรอยู่กันแน่ไม่แน่ว่าเราอาจจะรู้ท่านจะได้ไม่ต้องไปเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ที่หอสรรพสิ่ง” เว่ยกว่านกว่านมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
มู่ชิงเกอยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบอะไร
ไม่ใช่เพราะต้องการรักษาความลับ แต่ทว่า เพราะสองพี่น้องแห่งตระกูลเว่ย ไม่มีทางรู้จักพญาเพลิงเป็นแน่ ถามไปก็เปล่าประโยชน์
หากว่าพญาเพลิงหาง่ายถึงเพียงนี้นางยังต้องไปตามหาและเสียเงินซื้อข่าวจากหอสรรพสิ่งที่ไม่มีอะไรที่มันไม่รู้ไปเพื่ออะไรกัน
หอสรรพสิ่ง หน่วยข่าวกรองที่แลกความลับด้วยสิ่งของ เป็นที่ๆ ขายข่าวเป็นหลัก พูดได้ว่า เป็นหน่วยข่าวกรองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหลินชวนก็ว่าได้
ได้ข่าวว่า หน่วยงานใหญ่ของมันอยู่ในแคว้นระดับหนึ่งเซิ่งหยวน
และในแคว้นระดับ 1 และ 2 เองล้วนก็มีหน่วยงานย่อย แคว้นระดับ 3 มีทั้งหมด 4 แห่งหนึ่งในนั้นอยู่ในเมืองจื้อ แห่งแคว้นลี่ เมืองหลวงแคว้นลี่อย่างเมืองฮ่วนก็มีอีกที่หนึ่ง
ข้อมูลพวกนี้ มู่ชิงเกอรวบรวมมาได้ระหว่างทาง จากนั้นก็ได้พบกับสองพี่น้องตระกูลเว่ย จึงได้รับการยืนยันจากพวกเขา จนแน่ใจว่าข้อมูลที่ได้มานั้นเชื่อถือได้
เมื่อเทียบกับการที่เว่ยกว่านกว่านเสียดายที่ตนเองจะเสียเงินแล้ว นางเป็นห่วงว่าหอสรรพสิ่งจะสามารถให้ข่าวที่มีประโยชน์ต่อนางได้หรือเปล่ามากกว่า
“ใช่สิ มู่เกอ ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าจะไปเรียนที่โรงโอสถย่อยที่แคว้นอวี๋ใช่หรือไม่” อยู่ๆ เว่ยกว่านกว่านก็พูดขึ้น
มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ
ในตอนแรก เว่ยฉีถามนางว่าออกจากแคว้นฉินมาเพื่อไปที่แห่งใด นางจึงตอบเป้าหมายของตนเองไป เพียงแต่ว่า เป็นความจริงที่ว่านางจะไปโรงโอสถย่อย แต่ทว่าเป้าหมายที่แท้จริงคือการได้รู้ถึงความห่างชั้นกันระหว่างนักปรุงยากับตัวนางเองต่างหาก และอีกเหตุผลหนึ่งคือกระตุ้นสายโลหิตแห่งปรมาจารย์การหลอมอาวุธให้สำเร็จ
แววตาของเว่ยกว่านกว่านฉายแววเป็นประกาย พลางพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เราได้ปรึกษากันแล้วว่า หลังจากที่นำดอกทานตะวันลั่วรื่อพวกนี้กลับไปยังเมืองถัวแล้ว เราจะไปแคว้นอวี๋เพื่อเรียนรู้ด้านการรักษาที่โรงโอสถพร้อมกับท่าน”
“เพราะอะไร?” มู่ชิงเกอมองนางด้วยความฉงนใจ
“เพราะพวกข้ารู้สึกว่า เมื่อเทียบกับที่พวกข้าจะฝากอาการป่วยของท่านแม่ไว้ในมือคนอื่น ไม่สู้เราสองพี่น้องไปศึกษาด้วยตนเองเลยไม่ดีกว่าหรือ ไม่แน่ว่า อาจจะสามารถช่วยท่านแม่ได้” ในขณะนี้เองเว่ยฉีก็รีบเข้ามาพลันส่งรอยยิ้มให้กับมู่ชิงเกอ เผยให้เห็นฟันขาวกระจ่างใสที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ
มู่ชิงเกอกระตุกยิ้มตรงมุมปากทีหนึ่ง ทำไมนางรู้สึกว่าจุดประสงค์ของสองพี่น้องคู่นี้ไม่ได้เรียบง่ายดังที่พูดนะ
แต่ว่า ไม่ว่าพี่น้องตระกูลเว่ยจะทำอะไร ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนาง
เพราะฉะนั้น นางจึงละสายตากลับมาและเร่งเดินทางต่อ
รอจนเมื่อทุกคนมาถึงเมืองจื้อ คนสองกลุ่มที่รออยู่ที่นี่ก่อนแล้ว ต่างก็รีบเข้ามาต้อนรับพวกเขาจากทิศทางที่ต่างกัน