ตอนที่ 737
ใบหน้าเจ้านี้ช่างงามล้ำ
ดินแดนเฟิ่งเทียนเมื่อมองจากที่ไกลๆ ก็ราวกับเฟิ่งหวงที่กำลังกระพือปีกเตรียมโผบิน เพียงแต่ภาพนกเฟิ่งหวงนี้เกิดจากภูเขาและแม่นํ้าที่ต่อเนื่องทอดยาวต่อกัน
มันอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกรายล้อม คล้ายภาพจริงแต่ก็ราวกับเป็นเพียงภาพมายา งดงามเพริศแพร้ว แฝงด้วยความหยิ่งทะนงที่อยู่เหนือโลกทั้งปวง
มู่ชิงเกอนั่งอยู่ในรถเทียมนกหลวนมุ่งสู่ดินแดนเฟิ่งเทียน ที่ลากรถนั้นคือนกเทพชิงหลวนสีเขียวทั้งตัว หน้าผากมีขนฟูสีขาว
ประทุนรถทำจากทองคำบริสุทธิ์ เปิดโล่งทั้งสี่ด้านมีหลังคาด้านบน หลังคานั้นห้อยม่านแพรไว้กันสายตาจากภายนอกไม่ให้สามารถมองเห็นภายในได้
มู่ชิงเกอนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในซึ่งจุดเครื่องหอมไว้
ภายนอกมีสี่ลูกศิษย์หญิงดินแดนเฟิ่งเทียนตามมาด้วย ซึ่งก็คือสี่คนที่นางเคยพบแล้ว
สองคนนำทางข้างหน้าอีกสองคนตามอยู่ด้านหลัง พวกนางสวมกระโปรงสีสันงดงามชายเสื้อปลิวสะบัดไปตามแรงลม เคลื่อนที่ไปบนท้องฟ้าด้วยท่วงท่างดงามดูน่าอภิรมย์
นี่ทำให้มู่ชิงเกออดนึกถึงภาพนางฟ้าบินเหินที่นางเคยเห็นซึ่งแกะสลักในผนังถํ้าทะเลทรายเมื่อชาติก่อนไม่ได้
นกชิงหลวนมุ่งหน้าสู่เขาเฟิ่งหวง
นกชิงหลวนร้องเสียงใสตลอดทางไม่ได้หยุด
แต่แรกนั้นมู่ชิงเกอไม่ทันสังเกตถึงเสียงร้องใสนี้ จนเมื่อใกล้ถึงดินแดนเฟิ่งเทียนนางจึงรู้ว่าที่แท้เสียงร้องใสของนกชิงหลวนนั้นเป็นการบอกให้คนในดินแดนเฟิ่งเทียนรู้ว่ามีแขกสำคัญมาเยือน
ขณะที่นกชิงหลวนร่อนลง มู่ชิงเกอก็มองผ่านผ้าม่านและเมฆหมอกเห็นทางเข้าดินแดนเฟิ่งเทียน ส่วนปากของเฟิ่งหวงมีหญิงสาวร่างอรชรกลุ่มหนึ่ง พวกนางถือตะกร้าดอกไม้แยกออกเป็นสองฝั่ง คุกเข่าข้างเดียวบนพื้นด้วยท่าทางเคารพนบนอบ
มู่ชิงเกอเดินทางผ่านดินแดนเทพมาแล้วหลายแห่ง ไม่มีดินแดนไหนที่มีการจัดการต้อนรับเอิกเกริกเท่ากับดินแดนเฟิ่งเทียน
นางแค่นยิ้มในใจเก็บงำแววตาเย้ยหยันลง ในเมื่อมาแล้วก็ต้องทำใจ นางมาเพื่อจะได้ดูด้วยตาตัวเองว่าหลียวนนั้นเป็นเช่นไรกันแน่ ถือโอกาสดูว่าจะเก็บดอกเบี้ย ล่วงหน้าได้บ้างหรือไม่
ในเมื่อคนดินแดนเฟิ่งเทียนต้อนรับนางอย่างเอิกเกริก เช่นนี้นางย่อมจะแสดงท่าทีประหม่าไม่ได้
นกชิงหลวนแหงนหน้าร้องเสียงยาวแล้วหยุดลงอย่างนิ่มนวลที่ทางเข้าดินแดนเฟิ่งเทียน
ทางเข้าดินแดนเฟิ่งเทียนคล้ายกับปากของเฟิ่งหวงทำให้ มู่ชิงเกอออกจะประหลาดใจเล็กน้อย นางใช้ปัญญาเทวะสำรวจภายนอกดินแดนเฟิ่งเทียนดูก็พบว่านอกจากทางเข้านี้แล้วก็ไม่มีจุดอื่นที่สามารถเข้าถึงได้อีก ลักษณะพิเศษเช่นนี้ทำให้ดินแดนเฟิ่งเทียนทั้งหมดกลายเป็นดินแดนปิด รักษาง่ายโจมตียาก
“ราชาเทวะน้อย เชิญ”
มู่ชิงเกอเก็บงำความคิดแล้วมองไปเบื้องหน้า
หลังจากมู่ชิงเกอเดินลงมาจากรถ เหล่าลูกศิษย์หญิงที่คุกเข่าข้างหนึ่งทั้งสองข้างทางนั้นก็เริ่มหยิบกลีบดอกไม้ในตะกร้าโปรยขึ้นไปบนท้องฟ้า
กลีบดอกไม้เหล่านั้นค่อยๆ ปลิวไปตามลมน่าดูยิ่งนัก
เพียงแต่สำหรับมู่ชิงเกอแล้ว กลิ่นเครื่องประทินโฉมค่อนข้างแรงไปเสียหน่อย
เมื่อเดินตามคนเข้าไปในดินแดนเฟิ่งเทียนแล้ว เหล่าหญิงสาวที่โปรยดอกไม้ต่างก็พากันลุกขึ้นเดินตามมู่ชิงเกอเข้าไป
จนเมื่อพวกเขาออกมาจากปากทางเข้าออก ขณะที่ทัศนวิสัยเปิดโล่ง หญิงสาวเหล่านี้ต่างก็กระโดดขึ้นฟ้า แล้วลอยตัวราวกับนางฟ้า โปรยดอกไม้อยู่บนอากาศ แทน
กลีบดอกไม้ตกลงมาดังสายฝน บางส่วนตกบนศีรษะมู่ชิงเกอบางส่วนตกบนเสื้อผ้า ทำให้นางต้องคอยยกมือปัดกลีบดอกไม้เหล่านี้
การต้อนรับเช่นนี้..
มู่ชิงเกอหัวเราะเสียงเย็นในใจ พิศมองรอบบริเวณ
พอเข้ามาใน ‘ปากนก’ ที่คับแคบ เมื่อทัศนวิสัยเปิดกว้าง ก็ทำให้รู้สึกราวกับว่าได้มาถึงโลกใบใหม่ ที่นี่มีทิวทัศน์งดงามดั่งตกอยู่ในห้วงความฝัน
นํ้าตกที่ตกลงมาจากบนฟากฟ้า สระนํ้าสวยงามดังชามหยก ภูเขาที่ผุดรัศมีสีเงิน งดงามราวกับภาพมายาในฝัน สวยงามตระการตายิ่งนัก
หากเรียกที่นี่ว่าแดนเทพก็ไม่ได้มากเกินไปแม้แต่นิด
สตรีที่นำมู่ชิงเกอเข้ามาเห็นนางมองดูทิวทัศน์รอบๆ ก็มีท่าทางภูมิอกภูมิใจยิ่งนัก “ราชาเทวะน้อย ทิวทัศน์ดิ แดนเฟิ่งเทียนของพวกเราเมื่อเทียบกับทิวทัศน์ในดิน แดนฮ่วนเยวี่ยพวกท่านแล้ว ที่ใดงามมากกว่ากันหรือ”
ท่ามกลางแววตาเฝ้ารอมู่ชิงเกอหันไปมองนางแล้วตอบ เรียบๆ ว่า “ดินแดนเฟิ่งเทียนมีกลิ่นอายเซียนรายล้อม ทิวทัศน์งดงาม ดินแดนฮ่วนเยวี่ยอยู่ท่ามกลางผืนนํ้าเซียนมองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด พูดได้ว่าต่างมีความงามเฉพาะของตัวเอง ล้วนงดงามทั้งสิ้น”
“ราชาเทวะน้อยช่างเข้าใจเอ่ย” สตรีนางนั้นปิดปากหัวเราะ
หลังจากเข้ามาแล้วมู่ชิงเกอจึงพบว่า ลูกศิษย์หญิงโฉวอวี๋ที่เคยมีเรื่องกระทบกระทั้งกับนางนั้นหายตัวไปแล้ว ที่อยู่ข้างกายนางคงเหลือเพียงลูกศิษย์หญิงฐานะสูงส่งที่เข้ามายังแผงนํ้าชาทีหลังเท่านั้น
“ราชาเทวะน้อย ราชาเทวะของพวกเรากำลังคอยอยู่ในวังราชาเทวะแล้ว พวกเราไปพบก่อนเถอะ” หลังจากคุยเล่นกันครู่หนึ่ง หญิงนางนั้นก็เอ่ยขึ้น
นางไม่ได้แจ้งชื่อตัวเอง มู่ชิงเกอก็คร้านที่จะถาม
อีกทั้งคนเหล่านี้ในสายตานางก็เป็นเพียงคนที่บังเอิญผ่านเข้ามา ไม่จำเป็นต้องรู้มากนัก
ตลอดทางมู่ชิงเกอไม่ได้เป็นฝ่ายชวนคุย กลับเป็นหญิงนางนั้นที่ถามถึงเหตุการณ์ภายนอกไม่หยุด จนท้ายสุดมู่ชิงเกอก็อดถามออกไปด้วยความแปลกใจไม่ได้ว่า “แม่นางไม่ได้ออกจากดินแดนเฟิ่งเทียนนานเท่าไรแล้ว”
หญิงนางนั้นชะงักแล้วตอบด้วยความเขินอายว่า “ตั้งแต่ข้าเข้าสู่ดินแดนเฟิ่งเทียนเมื่ออายุร้อยปีก่อนก็ไม่เคยออกจากอาณาเขตดินแดนเฟิ่งเทียนอีกเลย”
“พวกเจ้าลูกศิษย์ดินแดนเฟิ่งเทียน ไม่ออกไปฝึกซ้อมหาประสบการณ์ภายนอกกันหรือ” มู่ชิงเกอถามอย่างอดไม่ได้
“ราชาเทวะพวกเราบอกว่าภายนอกอันตรายชั่วร้าย ใจคนยากที่จะหยั่งถึง พวกเราต่างเป็นสตรี ถึงแม้มีฝีมือป้องกันตัวเองแต่ยากที่จะแยกแยะใจคน เกรงว่าพวกเรา จะถูกคนหลอกลวง ดังนั้นหากไม่มีเรื่องที่จำเป็นจริงๆ ก็จะไม่ออกจากดินแดนเฟิ่งเทียน” หญิงคนนั้นพูด
มู่ชิงเกอพูดไม่ออก สำหรับคำพูดของหลียวนนี้นางไม่รู้จะนิยามว่าอย่างไรจริงๆ นางสั่งสอนลูกศิษย์ในดินแดนตัวเองให้บริสุทธิ์เช่นนี้ไม่ยอมให้รู้จักเรื่องราวในโลกภายนอก แต่อีกด้านหนึ่งนั้นกลับชั่วร้ายอย่างยิ่ง คิดจะให้ซือมั่ววางมือจากทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเข้าสู่วังราชาเทวะของนาง หลังจากถูกปฏิเสธแล้วยังทำเรื่องชั่วร้ายผนึกคาถาสาปแช่งใส่เขา มีเรื่องไหนบ้างที่หญิงสาวบริสุทธิ์ราวเทพธิดาควรทำ
มู่ชิงเกอมองขอบฟ้าดินแดนเฟิ่งเทียนอย่างไร้คำจะเอ่ย นางไม่อาจเข้าใจจิตใจของหญิงสาวจอมเสแสร้งมากแผนการที่ต้องการจะเป็นทั้งหญิงโคมเขียวและยังต้อง
การป้ายเชิดชูเกียรติคุณนางนี้นักว่าภายในจิตใจคิดเช่นไร
เมื่อเทียบกันแล้ว นางยินดีที่จะสัมผัสกับดอกอิงซู่ที่มีรูปลักษณ์เดียวกันทั้งภายนอกและภายในมากกว่า
‘หญิงใสซื่อ หญิงจอมเสแสร้ง จิตใจแม่พระรีบถอยออกไป!’ มู่ชิงเกอนินทาในใจ
เห็นมู่ชิงเกอเงียบไป หญิงนางนั้นจึงอธิบายเพิ่มเติม “ราชาเทวะหวังดีต่อพวกเราจึงคิดแทนพวกเรา”
‘หึๆ เจ้าชอบก็ดีแล้ว’ มู่ชิงเกอเหน็บแนมในใจ ยิ้มน้อยๆ
แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย ระหว่างพูดคุยกันนั้น ทั้งคู่ก็เดินมาถึงวังราชาเทวะ
หญิงสาวที่โปรยดอกไม้บนฟ้าได้แยกย้ายจากไปแล้ว หลังจากกลีบดอกไม้สุดท้ายหมดลง มู่ชิงเกอก็ถอนหายใจ ‘หมดจนได้’
“เชิญราชาเทวะน้อย” หญิงนางนั้นนำมู่ชิงเกอเข้าไปในวังราชาเทวะ
วังราชาเทวะในดินแดนเฟิ่งเทียนนั้น ก่อสร้างจนมีรูปร่างเหมือนกับเฟิ่งหวง
หลังมู่ชิงเกอเข้าไปแล้วก็ไม่พบใคร แต่ข้างหูกลับมีเสียงสูงส่งไพเราะลอยแว่วเข้ามา “ใบหน้าเจ้านี้ช่างงามลํ้านัก”