ตอนที่ 764
เข้าถิ่นภูติภูเขา หล่อเหลางดงามราวปีศาจ
“อะไรนะ!”
มู่ชิงเกอ เบิกตาทั้งคู่ออกกว้างด้วยความตกใจยิ่ง
กินผลไม้ลูกเดียวสามารถเพิ่มตบะบำเพ็ญได้หมื่นปี ข่าวนี้ช่างชวนสั่นสะท้านนัก ทำให้มู่ชิงเกออดกลืนนํ้าลายไม่ได้ ผลประโยชน์เช่นนี้ถ้าบอกว่าไม่ตาลุกวาวนั้นคงโกหกแน่นอน
มู่ชิงเกอไม่รู้ว่าการเพิ่มตบะบำเพ็ญหมื่นปีนั้นทำได้อย่างไร แต่นางรู้ว่าเมื่อครั้งอยู่ที่หลินชวน ซือมั่วเคยใช้ตบะบำเพ็ญหมื่นปีมาแลกกับการหมุนย้อนเวลาหนึ่ง ครั้ง
“ผลภูตินี้ต้องทำอย่างไรจึงจะได้มา” มู่ชิงเกอถามเสียงเครียด ที่นางคิดไว้อย่างแรกก็คือไม่ว่าอย่างไรหากได้มาสักผลก็จะให้ซือมั่วกิน เช่นนี้แล้วจะชดเชยพลังที่เขาสูญสิ้นไปครั้งที่ใช้ศาสตร์ต้องห้ามหวนคืนกลับมาได้
โห่วแยกเขี้ยวยิ้ม “ผลภูติเป็นผลไม้มหาเทพของเผ่าภูติภูเขา พันปีสุกครั้งหนึ่ง สุกครั้งหนึ่งเพียงสิบลูก ของหายากเช่นนี้จะยกให้ใครง่ายๆ ได้อย่างไร แต่เผ่าภูติ ภูเขารู้ถึงผลร้ายของการครอบครองสิ่งลํ้าค่า ดังนั้นจึงประกาศต่อโลกภายนอกตั้งแต่เจ็ดพันปีก่อนว่า ต้นไม้ต้นกำเนิดนี้ไม่ได้ผลิดอกออกผลอีกแล้ว ใช้วิธีนี้ตัดความคิดละโมบของผู้คนให้หมดสิ้น”
“ดังนั้น…” มู่ชิงเกอหรี่ตาถาม
โห่วว่า “พวกเราไปพื้นที่เผ่าภูติภูเขาก่อน ขอให้เข้าไปได้แล้วค่อยหาโอกาสสืบหาผลภูติกัน”
“ในเมื่อผลภูติมีความวิเศษเช่นนี้พวกเราคงเข้าไปได้ยาก” มู่ชิงเกอพูดอย่างตรึกตรอง
โห่วเลิกคิ้วด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง “หลายปีก่อนเผ่าภูติภูเขาติดค้างบุญคุณข้า คงถึงเวลาทวงคืนแล้ว”
เห็นท่าทีของเขามู่ชิงเกอก็เลิกคิ้วนิดหนึ่งแล้วหัวเราะอย่างสบอารมณ์
ป่าอสูรกว้างใหญ่มาก มีเหล่าสัตว์ต่างๆ อาศัยอยู่มากมาย
แต่เมื่อมีโห่วนำทางพวกเขาจึงเดินทางได้โดยสะดวก นอกจากบางครั้งที่มีกลิ่นอายของเผ่ามังกรโฉบผ่านไป นอกนั้นก็ไม่พบอันตรายใดๆ พวกเขามาถึงพื้นที่ที่ภูติภูเขาอาศัยอยู่ตั้งแต่ครั้งบรรพชน
มู่ชิงเกอจ้องมองทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่จนไม่เห็นขอบเขตแล้วรู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง เหนือยอดหญ้าเขียวขจีเหล่านี้ มีแสงระยิบระยับทั่วไปหมด ตามพงหญ้ายังมีแมลงเรืองแสงตัวเล็กๆ มากมายบินไปบินมา
ระยะไกลสุดที่เห็นเป็นแนวเขียวเข้มยาวเหยียดคดเคี้ยวนั้นคือป่าไม้รกทึบเต็มไปด้วยความลี้ลับ หลังป่าไม้นั้นคือเทือกเขาที่เข้ากันได้อย่างเหมาะเจาะ
เทือกเขานั้นมีรูปร่างน่าประหลาดราวกับเป็นสัตว์มหึมานั่งอยู่ ก้มมองจับจ้องผืนป่าอสูรทั้งหมด
“จากทุ่งหญ้านี้ไปก็ถือเป็นอาณาจักรภูติภูเขาแล้ว ผ่านทุ่งหญ้าเข้าไปในป่าแล้วทะลุตรงไปเทือกเขานั้นก็คือถิ่นที่พักอาศัยของภูติภูเขา” โห่วอธิบายให้มู่ชิงเกอกับหยินเฉินฟัง
“พวกเราไป” โห่วหันหลังมองฟ้า หรี่ตาสองข้างลงแล้ว แค่นยิ้มบอกทั้งคู่ เห็นท่าทีของเขาเช่นนี้แล้ว ไม่ต้องพูดมากมู่ชิงเกอกับหยินเฉินก็รู้ว่าเผ่ามังกรไล่ตามกลิ่นอายของโห่วมาแล้ว พวกเขาไม่เสียเวลา ทั้งสามคนเข้าไปในทุ่งหญ้าทันที พอเข้าไปในทุ่งหญ้า เหล่าแมลงเรืองแสงที่บินว่อนอยู่ในทุ่งหญ้าก็ตกใจจนบินหายไปหมด
ทั้งสามคนเดินผ่านทะลุทุ่งหญ้าด้วยความรวดเร็วจนมาถึงชายป่า
โห่วก้าวเท้า เข้าไปทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่นิด
พอเข้าไปในป่าแล้วท้องฟ้าก็มืดลงมาทันที
เดิมทีภายนอกยังเป็นช่วงพลบคํ่า ท้องฟ้ายังไม่ทันมืดสนิท แต่ภายในป่านั้นกลับมืดราวกับยามราตรี มองเห็นเพียงเงาวูบวาบที่เกิดจากต้นไม้ในป่า
มู่ชิงเกอกับหยินเฉินเงยหน้ามองไปโดยไม่รู้ตัว จึงพบว่าที่ป่ามืดสนิทเช่นนี้ก็เพราะต้นไม้ขึ้นหนาแน่นมาก ใบไม้ที่ดกทึบทับซ้อนกันปิดบังแสงจากภายนอกจนหมด
“ตามติดข้าไว้ที่นี่ดูคล้ายปกติธรรมดา แต่ความจริงราวกับเขาวงกต ยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งหลงทางได ง่าย จะต้องติดอยู่ในป่าไปตลอดชีวิต ป่านี้นับว่าเป็นกำแพงธรรมชาติของเผ่าภูติภูเขา” โห่วกำชับมู่ชิงเกอกับหยินเฉิน
มู่ชิงเกอกับหยินเฉินพอรู้แล้วก็ยิ่งตามติดใกล้ชิดขึ้น
มู่ชิงเกอถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้าเคยมาที่เผ่าภูติภูเขาหรือ”
โห่วยิ้มว่า “ไม่ใช่บอกว่าภูติภูเขาเคยติดหนี้บุญคุณข้าหรือ เผ่าภูติภูเขาไม่เคยออกไปภายนอก พวกเขามีอายุขัยยืนยาวมาก รูปโฉมงดงามทั้งหญิงชาย อาศัยอยู่ ในนี้มาตลอด นานจนป่านนี้คงมีสักคนสองคนที่รู้สึกเบื่อหน่ายและสนใจโลกภายนอก พอดีมีครั้งหนึ่ง หญิงภูติภูเขานางหนึ่งแอบหนีออกมาแล้วประสบอันตราย บังเอิญข้าผ่านมาจึงช่วยนางไว้และคุ้มครองนางกลับมา”
“ที่แท้เป็นเรื่องวีรบุรุษช่วยสาวงาม” มู่ชิงเกอเย้าเล่น
หยินเฉินก็พูดเล่นอย่างหาได้ยาก “หรือหญิงสาวนางนั้นชอบพี่โห่วเข้าแล้ว”
โห่วมีสีหน้าเคอะเขินบอกทั้งคู่ว่า “อย่าพูดพล่อยๆ นี่เป็นเรื่องหลายหมื่นปีก่อน ไม่แน่ว่านางแต่งงานมีบุตรไปนานแล้ว”
มู่ชิงเกอนึกขำ รู้จักโห่วมานานเพียงนี้ยังไม่เคยเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้เลย
เพียงแต่ คำหยอกล้อโห่วของนางยังไม่ทันออกจากปาก รอยยิ้มที่ปากก็นิ่งไป แววตานางเครียดขึ้น ร่างกายเอนไปด้านหลังแล้วดึงหยินเฉินถอยออกไป ลำแสงวาบที่พุ่งผ่านหน้านางไปถูกนางยื่นมือไปคว้าไว้ ลำแสงเย็นเยียบนั้นทรงพลังมาก อีกทั้งรวดเร็ว จึงทำให้เส้นผมของมู่ชิงเกอปลิวสะบัดขึ้นตามทิศทางของมัน
นางคว้าลำแสงนั้นเอาไว้จึงพบว่าเป็นธนูที่มีลักษณะพิเศษ ยังไม่ทันที่นางจะดูชัดเจนก็มีลำแสงวาบเข้ามาอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ตํ่ากว่าหนึ่งสาย
โห่วเองก็หลบออกไป ทั้งสามคนหลบหลีกอย่างรวดเร็วในป่า เพิ่งหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ได้ ก็มีลำแสงระดมยิงมาอย่างหนาแน่น
“นี่เป็นธนูของภูติภูเขา พวกเราปะทะกับหน่วยลาดตระเวนของภูติภูเขาเข้าแล้ว” โห่วเอียงกายหลบอยู่หลังต้นไม้บอกมู่ชิงเกอกับหยินเฉิน
มู่ชิงเกอพูดเสียงเครียด “ไหนเจ้าว่ามีความสัมพันธ์กับภูติภูเขาไม่ใช่หรือ ยังไม่ออกไปบอกกล่าวอีก”
เวลานี้เองเสียงน่าฟังของชายผู้หนึ่งก็ดังขึ้น นํ้าเสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ “ทุกท่าน ที่นี่เป็นเขตหวงห้ามของป่าอสูร ผู้บุกรุกต้องตาย รีบถอยออกไปเสีย เพื่อไม่ให้เกิดพลั้งมือจนต้องบาดเจ็บ”
มู่ชิงเกอส่งสายตาให้โห่ว โห่วเข้าใจความนัยรีบตะโกนทันทีว่า “เพื่อนเก่ามาเยือน จะขอพบแม่นางอินเล่อ”
พอเขาพูดจบ ลำแสงที่เหี้ยมโหดเหล่านั้นก็หยุดลง ทั้งป่าราวกับเงียบสงบลงทันที
ความเงียบโดยฉับพลันทำให้มู่ชิงเกอกับโห่วต่างส่งสายตาไปมา คาดเดาความหมายของฝ่ายตรงข้าม
“ท่านเป็นใคร” ไม่นานนักเสียงที่น่าฟังนั้นก็แว่วมาจากในป่าอีก
โห่วมองมู่ชิงเกอแล้วจึงตะโกนเสียงดังว่า “ข้าชื่อ ข่งเซวียน!”
ข่งเซวียน?
มู่ชิงเกอชะงักแล้วพยายามนึกทบทวนจึงนึกขึ้นได้ว่าชื่อนี้โห่วตั้งเอง เพียงแต่ ถูกนางวิจารณ์ถากถาง ดังนั้นนางรวมทั้งคนใกล้ชิดนางต่างเรียกเขาว่าท่านโห่ว ไม่เคยเรียกชื่อโห่วเลย
โห่วพูดอีกว่า “ครั้งนั้นแม่นางอินเล่อบอกว่าติดหนี้บุญคุณข้า ครั้งนี้ข้าต้องการความช่วยเหลือ ไม่รู้ว่าบุญคุณนี้ยังนับอยู่หรือไม่!”
ในป่าเงียบลงอีกครั้ง
โห่วกับมู่ชิงเกอและหยินเฉินสามคนรออย่างกระวนกระวายอยู่พักหนึ่งจึงมีคนตอบว่า “เชิญพวกท่านออกมา พวกเราจะพาพวกท่านเข้าไปในภูเขา”
ได้ยินคำตอบนี้แล้ว โห่วก็ราวกับโล่งอก แต่นัยน์ตามู่ชิงเกอยังคงมีความระแวดระวัง ส่ายหน้าให้โห่วเงียบๆ
โห่วบอกนางว่า “ภูติภูเขาไม่โกหก”
พูดจบเขาก็นำหน้าออกไปก่อน มู่ชิงเกอไม่มีทางเลือกจึงลุกออกไปตาม พอออกไปแล้ว ภาพที่เห็นก็ทำให้นัยน์ตานางผุดแววชื่นชมออกมา
มีห้าคนที่ยืนอยู่ในป่า
ทั้งห้าคนนี้ต่างมีรูปร่างสูงโปร่งเป็นที่โดดเด่น ที่สำคัญที่สุดคือสีผมพวกเขาเป็นสีหมึกเขียว ต่างกับสีหมึกดำทั่วไป ทำให้คนเกิดความรู้สึกว่าเป็นภูติในป่าเขา
‘เอลฟ์!’ หลังจากเห็นชัดเจนถึงใบหน้าคนทั้งห้าแล้ว สมองมู่ชิงเกอก็มีคำนี้โดดออกมา
ห้าคนเบื้องหน้ามีผิวพรรณขาวละเอียด ใบหน้างดงามผมยาวเหยียดตรง สวมเสื้อคลุมสีหมึกเขียวทับด้วยชุดนักรบสีเงิน ในมือถือคันศรยาว
ความรู้สึกของมู่ชิงเกอคือ ภูติภูเขาต่างกับเอลฟ์เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั้นคือภูติภูเขาไม่มีใบหูแหลม
ต้องยอมรับว่าในกลุ่มห้าคนนี้ไม่ว่าเลือกใครออกมาหนึ่งคนไปที่โลกภายนอกก็ล้วนเป็นความงามระดับหนึ่งในหมื่น ความงามนี้ราวกับว่าขณะที่เทพผู้สร้างโลก สร้างโลกนั้นได้ทำสีแดงหยดลงไปโดยไม่ตั้งใจ
เหล่าภูติภูเขานี้ต่างยังเยาว์วัย อ่อนเยาว์จนดูไม่ออกว่ามีอายุจริงเท่าไรกันแน่
แต่โห่วก็ถ่ายทอดเสียงบอกมู่ชิงเกอว่าแม้ภูติภูเขาจะดูวัยเยาว์มากเช่นนี้ แต่ความจริงแต่ละคนล้วนมีอายุหลายร้อยปีแล้ว
มู่ชิงเกอลอบเก็บความรู้สึกประหลาดใจและเก็บงำแววตาตกตะลึงในความงามลงไป
“ผูใดคือใต้เท้าข่งเซวียน” ในห้าคนนั้น คนที่ยืนอยู่ตรงกลางถามขึ้นมา
ใต้เท้าข่งเซวียน?
สายตามู่ชิงเกอย้ายไปที่โห่ว ประหลาดใจในความสุภาพที่ภูติภูเขามีต่อเขา
ตามปกติฐานะของภูติภูเขาในป่าอสูรอยู่ในระดับสูงส่ง แต่ภูติภูเขาเหล่านี้กลับรักสงบอย่างมาก ทั้ ยังแสดงท่าทีเคารพต่อโห่วเมื่อรู้ถึงความประสงค์ของโห่วอีกด้วย
นัยน์ตาโห่วก็ผุดความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดภูติภูเขาจึงได้แสดงท่าทีเคารพเขา
แต่เขาก็ก้าวออกมาบอกภูติภูเขาคนนั้นว่า “ข้าก็คือข่งเซวียน”
หัวหน้าภูติภูเขามองเขาทั้งร่างแล้วผงกศีรษะนิดๆ “เชิญตามข้ามา”
พวกมู่ชิงเกอทั้งสามคนสบตากันแล้วตามไปด้วย
ห้าภูติภูเขานำทางอยู่ข้างหน้าโดยมีพวกมู่ชิงเกอสามคนตามอยู่ข้างหลัง โห่วเดินตรงกลาง มองดูแล้วราวกับมู่ชิงเกอและหยินเฉินเป็นผู้อ่อนอาวุโสหรือลูกน้องของเขาอย่างนั้น
หมอกจางๆ ลอยผ่าน มู่ชิงเกอได้ยินเสียง ‘ครืนๆ’ ที่ข้างหู เสียงพื้นดินสั่นสะเทือนดังขึ้น จากนั้นนางก็เห็นต้นไม้ที่ขวางอยู่เบื้องหน้าพวกเขาค่อยๆ ถอยออกไปอยู่ด้านข้าง เปิดทางให้พวกเขาเดินเข้าไป
นัยน์ตาคนทั้งสามผุดความตื่นเต้น โห่วถ่ายทอดเสียงมาว่า ‘ครั้งก่อนที่ข้ามา ไม่มีแบบนี้’
พวกเขาเดินตามภูติภูเขาไปเงียบเชียบ ผ่านป่าไปได้สบายๆ จนมาถึงเทือกเขาศักดิ์สิทธิ์นั้น ภูเขานี้มองไกลๆ คล้ายกับเผ่าอสูรชนิดหนึ่ง แต่เป็นสัตว์อะไรนั้นไม่มีใครบอกได้ถูก
แต่เมื่อเดินเข้าไปจนถึงเบื้องหน้ากลับเห็นเป็นภูเขาธรรมดา
ต่างกันอย่างเดียวคือ นอกภูเขามีตราผนึกป้องกันไว้ชั้นหนึ่ง คุ้มครองภูเขานี้ ตัดขาดการสอดแนมจากภายนอก
เพราะมีการนำของภูติภูเขา พวกมู่ชิงเกอสามคนจึงเข้าไปในภูเขาได้อย่างสบายใจ
ทันใดนั้นเบื้องหน้าของพวกเขาก็เปิดโล่ง ได้เห็นสถานที่ซึ่งภูติภูเขาอยู่มาตั้งแต่ครั้งบรรพกาลว่าเป็นอย่างไรกันแน่
โห่วยังดีหน่อย เพราะหลายปีก่อนนั้นเขาเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง
แต่มู่ชิงเกอกับหยินเฉินเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก ภาพตรงหน้านั้นชวนให้ใจสั่นสะท้านนัก
เดินตามต้นไม้ที่ขึ้นเขียวครึ้ม สิ่งที่ปรากฎตรงหน้าพวกเขาคือหน้าผาที่ขาวดังหินหยก จากยอดเขามีเถาวัลย์นับไม่ถ้วนห้อยอยู่ที่หน้าผาดูสวยงามยิ่งนัก ที่หน้าผาถูกเจาะเป็นถํ้ามากมาย บ้างคล้ายประตูบ้างคล้ายหน้าต่าง นอกจากนั้นบนต้นไม้ใหญ่ยักษ์โบราณ บริเวณใกล้ภูเขายังมีบ้านรูปร่างพิสดารมากมายบนต้นไม้ในภูเขายังเต็มไปด้วยไม้ดอกสีสันสดใสสวยงาม
ที่นี่ราวกับเป็นอีกโลกหนึ่งที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่ถูกทำให้แปดเปื้อน
ส่วนต้นไม้ที่โห่วพูดถึงรวมทั้งผลภูตินั้นมู่ชิงเกอยังไม่เห็น แต่คิดว่าต้นไม้ลํ้าค่าเช่นนี้คงไม่อยู่ด้านนอกให้เห็นชัดเจนแน่ จะต้องซุกซ่อนอยู่ในที่ใดที่หนึ่งซึ่งเป็น เขตหวงห้าม
“โปรดตามข้ามา” หัวหน้าภูติภูเขาเอียงคอมองดูพวกโห่วสามคน นํ้าเสียงเคารพนี้คงพูดกับโห่วเท่านั้น
จนเวลานี้โห่วก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดภูติภูเขาจึงได้เคารพเขาปานนั้น ถึงแม้เขาจะเคยช่วยเหลือคนเผ่าภูติภูเขาไว้ แต่ก็คงจะไม่ได้รับการต้อนรับถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่ผ่านมาแล้วหลายปี
ทั้งที่ไม่เข้าใจเหตุผล แต่ไหนๆ ก็เข้ามาในพื้นที่ของเผ่าภูติภูเขาแล้ว โห่วสบตามู่ชิงเกอ ฝ่ายหลังพยักหน้าน้อยๆ
ทั้งสามคนเดินตามภูติภูเขาไปอย่างสงบ เข้าไปในถํ้าผนังเขาสีขาวนั้น
แม้จะบอกว่าเป็นถํ้าแต่มองไปแล้วคล้ายกับป้อมมากกว่า เพียงแต่องค์ประกอบของภูเขานั้น ประกอบกันจนดูคล้ายภูเขาแต่ก็ไม่ใช่ภูเขา หรือดูคล้ายเมืองแต่ก็ไม่ใช่อีก
ขณะเข้าไปในป้อม คนเฝ้าป้อมที่ได้พบก็ยังมีหน้าตางดงาม รูปร่างสูงโปร่ง
มู่ชิงเกออดไม่ได้นึกสะท้อนใจถึงความอยุติธรรมของผู้สร้างสรรพสิ่ง
เผ่าภูติภูเขานี้ราวกับเกิดมาดึงดูดความดีงามของฟ้าดินมาจนหมดสิ้น ทำให้เผ่าอื่นได้รับแต่สิ่งเหลือเดน
เข้าไปในถํ้าแล้วจึงได้รู้ว่าป้อมถํ้านี้มีความใหญ่โตเท่าไรกันแน่
ภูติภูเขานำคนทั้งสามไปที่ตำหนักใหญ่แห่งหนึ่ง ตำหนักใหญ่นี้มีเพดานโค้ง บนเพดานนั้นมีเสาทรงกระจับยื่นออกมามากมาย เปล่งแสงสีนวลรับกับเสาตะเกียงไข่มุกเรืองแสงบนพื้นให้แสงสว่างทั้งตำหนักราวกับกลางวัน สอดรับกันได้ราวกับสวรรค์สรรค์สร้าง
ในตำหนักไม่ได้มีภูติภูเขามากนัก
พูดได้ว่านอกจากทหารองครักษ์ภูติภูเขาแล้ว ในตำหนักมีคนอยู่เพียงสองคนเท่านั้น
หญิงหนึ่งชายหนึ่ง หนึ่งนั่งหนึ่งยืน
ที่นั่งนั้นเป็นหญิง ที่ยืนนั้นเป็นชาย พวกเขาต่างมีความงามสุดแสนทั้งรูปร่างหน้าตา มีผมยาวสยายสีหมึกเขียวแบบพิเศษ ผิวพรรณขาวละเอียดไม่มีไฝฝ้าใดๆ
ตลอดทางที่เดินมา มู่ชิงเกอได้รับรู้ในความงามของเผ่าภูติภูเขาอยู่แล้ว
แต่เมื่อเห็นชายหญิงคู่นี้แล้ว นางก็ยังอดไม่ได้ต้องตะลึงอีกครั้ง
“พี่ข่ง ในที่สุดท่านก็มาแล้ว!” เวลานี้เองหญิงที่นั่งอยู่ก็เปิดปากพูด เสียงของนางช่างน่าฟังนัก แฝงด้วยความยินดีปรีดาอย่างยิ่ง
มู่ชิงเกอสังเกตเห็นว่า ขณะที่นางมองโห่วนั้นสายตาแฝงไปด้วยแววตื่นเต้นดีใจ
“เจ้าคือ…แม่นางอินเล่อ?” โห่วชะงัก รู้สึกถึงความคุ้นเคยบางอย่างจากใบหน้าที่งดงามจนหาที่ติไม่ได้ดวงนั้น
รอยยิ้มบนใบหน้าหญิงคนนั้นชัดเจนมากขึ้น เมื่อนางลุกขึ้นยืนก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสูงโปร่งอรชรของเรือนร่าง ชุดสีเงินที่นางสวมใส่มองดูแล้วช่างบริสุทธิ์สูงส่งยิ่งนัก
นางเดินลงจากบัลลังก์ชายคนที่อยู่ข้างๆ ก็เดินตามนางเข้ามาใกล้โห่ว
จนเข้ามาใกล้แล้ว มู่ชิงเกอจึงสังเกตเห็นว่าบนศีรษะที่มีผมหมึกเขียวยาวสยายนั้นสวมมงกุฎเล็กๆ ส่วนหน้าผากของชายร่างสูงโปร่งแสนงามนั้นก็สวมสร้อยอัญมณีที่แสดงฐานะของเขา
ไม่ต้องแนะนำตัว มู่ชิงเกอก็รู้สึกแล้วว่าฐานะของสองคนนี้ไม่ใช่ธรรมดา ‘ท่านโห่วคงไม่โชคดีถึงขนาดนั้นกระมัง วีรบุรุษช่วยสาวงาม แต่ที่ช่วยดันเป็นถึงราชินีเผ่าภูติภูเขาทีเดียวเชียวนะ!’
มู่ชิงเกอเพิ่งนึกสะท้อนใจจบ ขณะที่อินเล่อใกล้จะถึงตัวโห่ว ก็เห็นชายคนที่ตามมายื่นมือมาขวางนางไว้และเรียกว่า “ฝ่าบาท”
อินเล่อหยุดลงมองเขาแล้วพูดอย่างงุนงงว่า “องค์ชาย?”