ตอนที่ 771
เผ่ามังกรไล่ตามมาถึง
“แล้วผลภูติที่แปลงกายไม่ได้เหล่านั้น พวกท่านจัดการอย่างไร” มู่ชิงเกอถามอีก
อินเจวี๋ยไม่ได้ตอบทันที แต่หันไปมองอินเล่อ
ราวกับว่าคำถามของมู่ชิงเกอนั้น มีเพียงราชินีผู้นี้เท่านั้นที่สามารถตอบได้
มู่ชิงเกอมองไปทางอินเล่อ ไม่ได้เร่งรัดไม่ได้บีบคั้น เรื่องความลับเหล่านี้ถูกนางรับรู้เข้าแล้ว อย่างนั้นความลับที่เหลืออีกเล็กน้อยนี้ภูติภูเขาจะยินยอมบอก
หรือไม่ ทุกอย่างพวกเขาเป็นผู้เลือกเอง
โห่วได้สติจากความตกตะลึงมองไปทางอินเล่อเช่นกัน เวลานี้พวกเขาต่างรอการตัดสินใจของอินเล่อ
ภายใต้การจับจ้องของทั้งสามคนอินเล่อหลุบตาลงแล้วพูดเสียงเครียดว่า “ผลภูติที่ไม่ได้แปลงกาย ล้วนถูกเก็บไว้เป็นอย่างดี หากมีคนในเผ่าบาดเจ็บ พวกมันจะเป็นยารักษาชั้นดีที่สุด ไม่ว่าบาดเจ็บหนักขนาดไหนก็จะสามารถฟื้นคืนได้ทันที”
อินเจวี๋ยหลุบตาลงไม่ได้ขัดขวางการตัดสินใจของอินเล่อ
ความลับสุดท้ายของภูติภูเขาถูกเปิดเผยต่อหน้ามู่ชิงเกอและโห่วแล้ว
“ยาวิเศษที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บ?” มู่ชิงเกอแปลกใจเล็กน้อย แต่นางก็เข้าใจถึงสาเหตุในทันที ภูติภูเขาแปลงกายมาจากผลภูติ มีรากเหง้าเดียวกับผลภูติ ที่แปลงกายไม่ได้ ผลภูติเหล่านั้นแม้แปลงเป็นมนุษย์ไม่ได้ แต่ก็มีพลังบริสุทธิ์ซุกซ่อนอยู่ หากภูติภูเขาบาดเจ็บแล้วได้กินหนึ่งผลก็จะหายในพริบตา ก็มีความเป็นไปได้ เช่นนี้
“ผลการรักษานี้มีผลเฉพาะกับเผ่าภูติภูเขาเท่านั้น” อินเจวี๋ยราวกับเกรงว่ามู่ชิงเกอกับโห่วจะเกิดความโลภอีกจึงรีบอธิบายเพิ่มเติม
มุมปากของมู่ชิงเกอเกิดรอยยิ้มขึ้นแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ที่แท้ผลภูติมีประโยชน์ต่อเผ่าภูติภูเขามากถึงเพียงนี้ มิน่าพวกท่านจึงเก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวังเช่นนี้” คำพูดเสียดสีชัดเจนเช่นนี้ของนางทำให้อินเจวี๋ยกับอินเล่อสีหน้าเปลี่ยนไป
อินเล่อพูดเสียงเบาว่า “ผลภูติเก็บไว้ห้าพันปีก็จะสลายไปหมด ในเมื่อใช้ช่วยชีวิตได้เหตุใดจะไม่ใช้เล่า”
“ใช่แล้ว ในเมื่อใช้ช่วยชีวิตได้เหตุใดจะไม่ใช้ ปล่อยทิ้งให้เสียของเพียงเพื่อสงเคราะห์จิตใจแม่พระของตัวเองเท่านั้นหรือ” มู่ชิงเกอพูดเยาะเย้ย
ที่นางเยาะเย้ยเพราะอินเจวี๋ยชอบอ้างเหตุผลเรื่องความโลภตลอดเวลา บอกพวกเขาว่าภูติภูเขานั้นมีเหตุจำเป็นทำให้ต้องทำเช่นนั้น ไม่ได้ต้องการกินผลภูติเพื่อช่วยชีวิต
หากผลภูติไม่ได้มีประโยชน์ต่อภูติภูเขาเลยแม้แต่นิด ภูติภูเขายังจะปกป้องใส่ใจมากถึงเพียงนี้ไหม
อินเจวี๋ยกล่าวหาว่าโลกภายนอกนั้นละโมบโลภมาก แต่ความจริงภูติภูเขาก็ใช่ว่าจะไม่ได้คิดเพื่อตัวเอง
ที่นางหัวเราะเยาะก็เพียงแค่จุดนี้ แน่นอนนางเองก็ยอมรับกับการกระทำของอินเจวี๋ย ทั้งหมดนี้ไม่อาจตำหนิเขาได้ หากเปลี่ยนเป็นนางก็คงทำเช่นเดียวกัน
อินเจวี๋ยกับอินเล่อไม่เข้าใจความหมายคำว่าจิตใจแม่พระที่มู่ชิงเกอพูด แต่เห็นด้วยกับคำพูดของนาง ที่ว่าในเมื่อช่วยชีวิตได้แล้วเหตุใดจะไม่ใช้
ทั้งสองคนผงกศีรษะ
สี่คนที่ยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้โบราณเงียบไปอีกครั้งหนึ่ง
โห่วมองซ้ายมองขวา ไม่ค่อยเข้าใจความคิดมู่ชิงเกอนัก เขาอยากเอ่ยปาก แต่ก็เกรงว่าความทะเล่อทะล่าของตัวเองจะทำให้มู่ชิงเกอเสียเรื่อง
ตามความเข้าใจของเขาต่อมู่ชิงเกอ เมื่อมู่ชิงเกอเชื่อว่าผลภูติมีประโยชน์ต่อนาง จะไม่มีทางยอมเลิกล้มความตั้งใจเพราะคำพูดของภูติภูเขาเพียงไม่กี่คำแน่
อีกครู่หนึ่งอินเจวี๋ยก็เอ่ยขึ้น “พวกเจ้ารู้ไหม แต่ไหนแต่ไรมามีคนน้อยมากที่จะเข้ามาในพื้นที่เผ่าภูติภูเขา ถึงแม้เข้ามาได้แล้วก็ไม่มีโอกาสได้ออกไปอีกเพื่อรักษาความลับของภูติภูเขา ส่วนพวกเจ้า…,”
สายตาเขาตกไปที่ตัวโห่ว แววตาเย็นเฉียบ พูดต่อว่า “หากไม่ใช่องคราชินียืนยัน พวกเจ้าก็ยากที่จะเข้ามาได้ ไม่ว่าพวกเจ้าจะหวังในผลภูติหรือไม่ เรื่องเหล่านี้เมื่อเจ้าอยู่นานเข้าแล้วก็จะได้รู้เอง”
นํ้าเสียงอินเจวี๋ยค่อนข้างเย็นเยียบ
แววตามู่ชิงเกอกับโห่วเคร่งเครียดขึ้น
โห่วเดินหน้าขึ้นหนึ่งก้าว ปกป้องมู่ชิงเกอไว้ข้างหลัง บอกอินเจวี๋ยว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร จะฆ่าพวกเราปิดปากหรือ”
อินเจวี๋ยสั่นศีรษะช้าๆ บอกโห่วว่า “หากพวกเจ้าสามารถอยู่ที่นี่ได้ก็จะดีที่สุด…”
“เป็นไปไม่ได้ อย่างไร ไม่ฆ่าพวกเรา แต่จะขังพวกเราไว้ที่นี่หรือ” โห่วตัดบทอินเจวี๋ย กลิ่นอายดุร้ายแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา
“ท่านพี่โห่ว อย่าเข้าใจผิด” อินเล่อรีบอธิบาย
“โห่ว” มู่ชิงเกอก็เอ่ยปากด้วย หยุดยั้งความวู่วามของโห่ว
เมื่อโห่วได้ยินเสียงของมู่ชิงเกอ โทสะในร่างก็ลดลงในทันที เขามองอินเจวี๋ยแล้วแค่นเสียง ถอยกลับไปอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอดังเดิม
เมื่อเห็นว่ามู่ชิงเกอพูดเพียงคำเดียวก็ส่งผลต่อโห่วมากมายเช่นนั้นอินเล่อก็รู้สึกอิจฉา นัยน์ตาผุดแววหมองหม่น
“ฟังข้าพูดให้จบก่อน” อินเจวี๋ยว่า “หากเป็นคนอื่น พวกเราไม่ยอมแน่นอน แต่เจ้าเคยช่วยอินเล่อ ทั้งเป็นท่านพี่โห่วที่นางเฝ้าคิดถึงมานานหลายปีเช่นนี้ ดังนั้นพวกเราจะไม่ฝืนใจพวกเจ้า เรื่องเผ่ามังกร พวกเราภูติภูเขาจะจัดการช่วยเต็มที่ จากนั้นแล้วพวกเจ้าจะอยู่หรือไปก็แล้วแต่ เพียงแต่เรื่องที่วันนี้พวกเราพูดออกมาอย่างจริงใจ แม้พวกเจ้าจากไปก็ขอให้ปิดปากให้สนิท”
มู่ชิงเกอเข้าใจความหมายของอินเจวี๋ย ว่าไปแล้วก็คือให้รักษาความลับของเผ่าภูติภูเขานั่นเอง
“ได้” มู่ชิงเกอผงกศีรษะอย่างไม่ลังเล
พูดจบโห่วก็พูดอย่างร้อนรน “ชิงเกอ”
เขาเกรงว่ามู่ชิงเกอจะละทิ้งผลภูติง่ายๆ มู่ชิงเกอจะต้องทำอะไรต่อนั้นเขาเข้าใจดีที่สุด จะต้องสู้รบฆ่าฟันกับกลุ่มอิทธิพลสูงสุดของแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร ความเสี่ยงและอันตรายนั้นไม่ต้องคิดก็รู้ได้
และผลภูติสามารถเพิ่มตบะบำเพ็ญได้หมื่นปี เป็นสิ่งที่นางกำลังต้องการ มิฉะนั้นเขาจะพานางมาที่นี่ทำไม
มู่ชิงเกอส่ายหน้าช้าๆ ให้โห่ว ทำให้คำพูดที่โห่วอยากบอกต้องกลืนกลับเข้าไป
‘เรื่องพบไม่ได้’ มู่ชิงเกอคิดในใจ เรื่องผลภูตินางย่อมไม่ละทิ้งเช่นนี้ เดิมทีในใจยังนึกรังเกียจอยู่บ้าง แต่หลังจากรู้ว่าภูติภูเขาก็ยังกินเอง ความคิดนั้นก็จางหายไป ที่นางอยากได้ผลภูตินั้นต่างกับที่โห่วคิด นางไม่ได้อยากได้เพื่อตัวเองแต่เพื่อซือมั่วต่างหาก
ทันใดนั้น ก็มีภูติภูเขามุ่งหน้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว
มู่ชิงเกอมองไป เขาก็คือมือธนูภูติภูเขาที่นางพบในป่า ขณะที่พวกนางเข้ามาที่นี่เมื่อสามวันก่อน
เขาเดินเฉียดผ่านร่างของมู่ชิงเกอไปถึงเบื้องหน้าอินเล่อกับอินเจวี๋ยแล้วคุกเข่าข้างเดียวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพลางพูดว่า “องค์ราชินี องค์ชาย มีเผ่ามังกรกลุ่มใหญ่กำลังเข้ามาใกล้เขาศักดิ์สิทธิ์พะย่ะค่ะ”
ใบหน้าแสนงามของอินเล่อเครียดลง ท่าทีเย็นชา
ใบหน้าแสนหล่อเหลาของอินเจวี๋ยเองก็เย็นเฉียบลง นํ้าเสียงที่อ่อนนุ่มเปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นมา
“เผ่ามังกรถึงขนาดกล้ามารบกวนเขาศักดิ์สิทธิ์เลยหรือ” นํ้าเสียงอินเจวี๋ยมีความเย็นเฉียบเจือปนอยู่
มู่ชิงเกอแค่นหัวเราะว่า “ดูแล้ว เผ่ามังกรคงจะโกรธเข้าจริงๆ แล้ว”
“มาก็มาสิ จะได้สังหารมังกรเพิ่มอีก” โห่วกำลังอัดอั้นไม่มีที่ระบาย เวลานี้เผ่ามังกรไล่ตามมาก็สมใจเขาพอดี
“พวกเจ้าไม่ต้องออกไป” อินเจวี๋ยบอกโห่ว
สายตาเขากวาดผ่านโห่วกับมู่ชิงเกอแล้วว่า “ข้าจะไปพบเผ่ามังกรเอง พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ หากเผ่ามังกรรู้กาลเทศะ ถอยกลับไปก็จะจบเรื่องลงได้ แต่หากไม่ยอมจบ ยังจะตามตอแยไม่เลิก พวกเราภูติภูเขาเองก็ใช่ว่าจะยอมให้ข่มเหงกันได้ง่ายๆ”
“ชิงเกอ พวกเราจะรออยู่ที่นี่เฉยๆ หรือ” ในห้องของภูติภูเขา โห่วถามมู่ชิงเกอ อย่างไม่ยินยอม
ในห้องมีเพียงพวกเขาสองคน หยินเฉินถูกมู่ชิงเกอเก็บกลับเข้าไปในช่องว่างแล้ว เพื่อให้เขาหลอมรวมเลือดมังกรแท้
เวลานี้มู่ชิงเกอกำลังยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองทิวทัศน์ภายนอก ส่วนโห่วก็ยืนอยู่ข้างกายนางอย่างหงุดหงิดและเอาแต่ดึงทึ้งผมตัวเอง
“พวกเขาบอกเองว่าปล่อยให้พวกเขาจัดการนี่” มู่ชิงเกอพูดอย่างเยือกเย็น
“แต่…แต่…” โห่วพูดอยู่พักใหญ่ก็ยังพูดไม่ออก
ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกาย ใบ หน้าตื่นเต้นยินดี “ข้ารู้แล้ว เจ้าจะรอให้ภูติภูเขาออกไปก่อนแล้วค่อยไปขโมยผลภูติใช่ไหม”
มู่ชิงเกอมองเขา แววตามีความประหลาดใจ
แต่ยังไม่ทันที่นางจะเอ่ย โห่วก็พูดด้วยความยินดีว่า “เยี่ยมยอดๆๆ! เป็นโอกาสที่ดีจริงๆ! พวกภูติภูเขาไปจัดการพวกไส้เดือนโสโครกกันหมด ส่วนพวกเราก็ไปขโมยผลภูติ ช่างเป็นเรื่องที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็นจริงๆ!”
มู่ชิงเกอกระตุกมุมปากพร้อมกับสาดนํ้าเย็นรดลงบนหัวเขา “เจ้ารู้ว่าผลภูติเก็บอยู่ที่ไหนหรือ”
เอ่อ…
ความยินดีปริดาบนใบหน้าโห่วชะงักไปในทันที
“ถ้ารู้ข้ายังจะรออยู่ที่นี่หรือ” โห่วร้องโวยวาย
มู่ชิงเกอยิ้ม แววตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “คนเขาวางกับดักไว้เจ้ากลับไม่รู้อะไรเลย”
“กับดักอะไร” โห่วมองมู่ชิงเกอด้วยแววตางุนงง
มู่ชิงเกอว่า “อินเจวี๋ยบอกความลับเรื่องภูติภูเขาให้เราฟังอย่างง่ายดายไม่ใช่เพราะรู้อยู่แล้วว่าท่านโห่วอย่างเจ้ามีคุณธรรมในใจ ให้พวกเราล่าถอยไปเองหรือ คนเขาเปิดใจให้เราเต็มที่แล้ว เวลานี้ยังต้องเป็นศัตรูกับเผ่ามังกรเพราะเราอีก พวกเรายังจะมีความคิดโลภในผลภูติอีกได้อย่างไร ไม่เพียงเท่านั้น ต่อไปเมื่อจากไปแล้วยังต้องช่วยรักษาความลับให้ภูติภูเขาอีก เดิมคนเขาติดหนี้บุญคุณเจ้าแต่เวลานี้กลายเป็นเราติดหนี้บุญคุณภูติภูเขาแทนแล้ว”
จากที่มู่ชิงเกออธิบาย โห่วก็เริ่มรู้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใน แววตาเขาค่อยๆ ยิ้มขึ้น “ดี เขากล้าทำเช่นนี้ เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!”
มู่ชิงเกอกลับสั่นศีรษะอย่างเยือกเย็น “ว่า เขาเจ้าเล่ห์ไม่ได้ นี่เป็นแผนที่เปิดเผย ต้องดูว่าจะต้องรับมืออย่างไร”
“เช่นนั้นแล้วจะทำอย่างไรดี หากเขาทำได้ตามที่หวัง แล้วเราจะได้ผลภูติไปได้อย่างไร” โห่วร้อนรน ทันใดนั้นเขาก็ถลึงตาบอกมู่ชิงเกอว่า “พวกเราออกไป ตอนนี้เลย ไม่ต้องให้ภูติภูเขาจัดการเผ่ามังกรแล้ว พวกเราออกไปสู้เอง! ไม่ต้องรับบุญคุณพวกเขา อย่าไปหลงกลพวกเขา” พูดจบเขาทำท่จะพุ่งออกไปจริงๆ
“กลับมา” แต่พอเขาขยับตัวก็ถูกมู่ชิงเกอเรียกไว้
โห่วกลับมาอย่างไม่เต็มใจ บอกนางว่า “ว่ากันว่าภูติภูเขาใสชื่อบริสุทธิ์ ถูกจัดว่าเป็นเซียนในป่า ไม่นึกว่าที่แท้แล้วเจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอก”
มู่ชิงเกอส่ายหน้าอย่างขบขัน “พวกเขามีชีวิตยืนยาวขนาดนั้น หากไม่มีกลอุบายบ้างเลยต่างหากที่ไม่ปกติ”
อารมณ์ของโห่วสงบลงพลางพยักหน้าว่า “เจ้าพูดมีเหตุผล”
ทั้งสองคนคุยกันอยู่ ใจของโห่วร้อนรุ่มจะถามถึงแผนรับมือของมู่ชิงเกอก็กลับได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาจากภายนอก
หยินเฉินไม่ได้อยู่ในห้อง หากถูกคนอื่นล่วงรู้เข้า ความลับเรื่องช่องว่างของมู่ชิงเกอจะถูกเปิดเผย
ดังนั้นมู่ชิงเกอจึงสบตากับโห่วแล้วเดินออกไปที่ประตูด้วยกัน ยืนอยู่ที่ชานนอกประตูมองดูคนที่มา
“องค์ราชินี” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วแล้วยิ้มให้คนที่มา
คนที่มาคืออินเล่อ ข้างหลังนางมีหญิงสาวภูติภูเขาตามมาด้วยสองตน หากว่าอยู่ที่โลกภายนอก แล้วล้วนงามเหนือผู้ใด
อินเล่อผงกศีรษะให้มู่ชิงเกออย่างมีมารยาท แล้วมองโห่วพร้อมยิ้ม “ท่านพี่โห่ว”
“ฮึ” โห่วยังโกรธอินเจวี๋ยอยู่จึงแค่นเสียงใส่อินเล่ออย่างแสนงอน
รอยยิ้มของอินเล่อค้างอยู่ที่ใบหน้าและเอ่ยถามว่า “ท่านพี่โห่ว เป็นอะไรไปหรือ ท่านโกรธข้าหรือ”
โห่วหน้าดำคร่ำเครียดไม่ยอมตอบ แต่พอถูกมู่ชิงเกอจ้องมองมาจึงทำให้เขาต้องฝืนใจตอบไปว่า “เปล่า”
“ถ้าเช่นนั้นท่าน…” อินเล่อถามอย่างเป็นกังวล
“องค์ราชินี ท่านมาด้วยเรื่องอะไรหรือ” มู่ชิงเกอรีบพูดแทรกเพื่อแก้สถานการณ์กระอักกระอ่วนของโห่ว
อินเล่อจึงละสายตาคืนอย่างอาลัยอาวรณ์ มองมู่ชิงเกอและพยักหน้าว่า “ข้ารู้ว่าพวกท่านคงร้อนใจกับเหตุการณ์ภายนอกจึงได้มา”
พูดจบนางกวักมือไปทางด้านหลัง หญิงสาวภูติภูเขาสองตนที่ติดตามนางเดินเข้ามา ในมือพวกนางถือกระจกสูงเท่าตัวคนอยู่ด้วย
เมื่อครู่นี้กระจกถูกอินเล่อบังไว้ มู่ชิงเกอกับโห่วจึงไม่เห็น
“กระจกบานนี้สามารถเห็นเหตุการณ์ภายนอกได้” อินเล่ออธิบายแล้วสะบัดแขนเสื้อที่หน้ากระจก ทันใดนั้นหน้ากระจกที่มัวซัวก็ปรากฎภาพนอกเขาศักดิ์สิทธิ์ ขึ้น
ภาพที่ปรากฎขึ้นมาก่อนก็คือเผ่ามังกรที่ยกพลมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
‘กระจกนี้คล้ายคลึงกับกระจกส่องเทพ!’ มู่ชิงเกอแอบชื่นชมในใจ ทุ่มความสนใจไปยังภาพที่อยู่ในกระจก
เผ่ามังกรรูปร่างมหึมา ลำตัวยาวเหยียดวนเวียนอยู่บนท้องฟ้า ปิดบังแสงอาทิตย์ดาวเดือนไปจนหมดสิ้น
“ส่งมังกรชรามาถึงยี่สิบกว่าตัวเชียวรึ!” เสียงเคร่งเครียดของโห่วลอดออกมาจากไรฟัน
“ท่านพี่ข่งไม่ต้องกังวล” อินเล่อมองโห่วอย่างเยือกเย็นพลางพูดคำนี้ออกมา
ภาพนั้นนอกจากเผ่ามังกรที่ไล่ตามมาแล้ว ยังมีภูติภูเขาที่นำโดยอินเจวี๋ย เขานำภูติภูเขาไปราวสามร้อยกว่าคน ยืนอยู่อย่างเป็นระเบียบในป่าประจันหน้ากับเผ่ามังกร
เผ่ามังกรนั้นวนเวียนอยู่บนท้องฟ้า ที่นำกลุ่มมานั้นถึงขนาดเป็นราชามังกรเองเลยทีเดียว
“เจ้าไส้เดือนเฒ่าอย่างราชามังกรมาด้วยตัวเองเลยรึ!” โห่วพูดจบก็แค่นหัวเราะอย่างเย้ยหยัน
“ราชามังกร?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว สายตามองไปที่มังกรทองตัวเดียวในกระจก
“ราชามังกร วันนี้พวกท่านมากันอย่างเอิกเกริก ไม่เกรงว่าจะรบกวนเขาศักดิ์สิทธิ์หรือไร” อินเจวี๋ยแหงนหน้าพูดกับมังกรทองห้าเล็บบนท้องฟ้า
ราชามังกรก้มมองไปที่อินเจวี๋ยแล้วพูดด้วยเสียงทรงอำนาจว่า “รบกวนเขาศักดิ์สิทธิ์ รบกวนเผ่าภูติภูเขานั้นไม่ใช่ความคิดข้า ขอเพียงเผ่าภูติภูเขามอบตัวโห่วพร้อมทั้งผู้สมรู้ร่วมคิดของเขาออกมา เผ่ามังกรย่อมล่าถอยไปเอง”
ใบหน้าแสนงามของอินเจวี๋ยยิ้มอย่างเย็นเยือก “ในเมื่อโห่วอยู่กับเผ่าภูติภูเขาของข้าก็ถือเป็นแขกของเผ่าภูติภูเขา พื้นที่อื่นพวกเราจะไม่ยุ่ง แต่ที่นี่ไม่มีใครทำอะไรเขาได้”
“พูดเช่นนี้แล้ว พวกเจ้าเผ่าภูติภูเขาคิดจะยื่นมือมายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้แน่แล้วหรือ” นัยน์ตาราชามังกรฉายแววโหดเหี้ยม นํ้าเสียงเย็นเฉียบ
เขากริ่งเกรงภูติภูเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากลัว
ฐานะของภูติภูเขาในป่าอสูรนั้นเหนือกว่าสรรพสิ่ง แต่ไม่ได้เหนือกว่าคู่ต่อสู้ใดๆ
อินเจวี๋ยสั่นศีรษะช้าๆ ยังคงมีรอยยิ้มประดับที่มุมปาก “เผ่าภูติภูเขาปกป้องเขาศักดิ์สิทธิ์มาทุกชั่วอายุคน ไม่เกี่ยวข้องกับโลกภายนอก เผ่ามังกรบุกรุกอุกอาจ เป็นการทำผิดข้อห้ามของป่าอสูร ราชามังกร หากท่านยังไม่ยอมล่าถอยไปอีกก็อย่าได้มาโทษข้า”
ราชามังกรตวาดว่า “แล้วเจ้าจะทำอะไรได้”
อินเจวี๋ยอมยิ้มไม่พูด แต่ภูติภูเขาสามร้อยตนด้านหลังพลันใช้ธนูในมือยิงขึ้นฟ้าพร้อมกัน ทันใดนั้นท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี…