ตอนที่ 774
ผลภูติ! ผลภูติ!
“เจ้าว่าอะไรนะ เจ้ารักษาได้หรือ” อินเจวี๋ยร้องเสียงหลง อาการตื่นเต้นของเขาชัดเจนเช่นนี้ ทำลายภาพลักษณ์ความงามที่อ่อนโยนสง่างามของเขาลง “ข้าออกจากป่าอสูรลับๆ ไปหาอาจารย์ปรุงยายิ่งใหญ่ทั่วแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร พวกเขาต่างก็ไม่มีวิธีแม้แต่นิด”
“โรควิญญาณดับรักษายากก็จริง แต่ไม่ใช่จะไม่มีวิธีเลย” มู่ชิงเกอเอ่ย
การที่นางเอ่ยถึงชื่อโรคตรงๆ ทำให้ตาดำอินเจวี๋ยหดลงทันที สีหน้าเขาเครียดขึ้นเล็กน้อย หันมองห้องบรรทมอินเล่อแต่ไม่ได้เดินเข้าไป เพียงบอกมู่ชิงเกอว่า
“ตามข้ามา”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วเล็กน้อย ตามอินเจวี๋ยเดินเข้าไปในตำหนักอีกแห่งพร้อมโห่ว
จำนวนเผ่าภูติภูเขามีไม่มาก ที่พักอาศัยก็ไม่ใหญ่โตนัก แม้เป็นเช่นนี้ ตำหนักที่คล้ายภูเขาคล้ายป้อมปราการนี้ก็ยังดูเหมือนว่างเปล่า
อินเจวี๋ยนำมู่ชิงเกอกับโห่วสองคนเข้ามา เสียงฝีเท้าทั้งสามคนสะท้อนไปมาในตำหนัก
หลังยืนนิ่งในตำหนักแล้ว อินเจวี๋ยก็หันไปมองมู่ชิงเกอ แววตาเครียดลงหลายส่วน “ที่เจ้าเพิ่งพูดนั้น เป็นความจริงหรือ”
มู่ชิงเกอผงกศีรษะตอบว่า “หากไม่แน่ใจข้าจะไม่พูด”
โห่วที่อยู่ข้างๆ บอกว่า “ชิงเกอเป็นอาจารย์ปรุงยาที่ร้ายกาจมาก”
อาจารย์ปรุงยา!
เมื่ออินเจวี๋ยได้ยินคำคำนี้นัยน์ตาของเขาก็พลันเปล่งประกาย ความเครียดลดลงทันที
“เจ้าเป็นอาจารย์ปรุงยาหรือ” อินเจวี๋ยถามมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอพยักหน้าอีกครั้ง “ถูกต้อง”
“ระดับจอมเทพ” มู่ชิงเกอขยับริมฝีปากแดง ค่อยๆ พูดคำนี้ออกมา
ไม่เพียงแต่อินเจวี๋ยสั่นสะท้าน โห่วเองก็สั่นสะท้านด้วยเช่นกัน
โห่วมองมู่ชิงเกออย่างตะลึงงันว่า “เจ้าเลื่อนระดับอีกตั้งแต่เมื่อไร!”
หลังจากตกใจแล้ว เขาก็พูดอย่างอดไม่ได้อีกว่า “เจ้ามันปีศาจแท้ๆ!”
มู่ชิงเกอยิ้มมุมปาก บอกโห่วว่า “ไม่นานนี้เอง”
หลังจากเข้ามาในแผ่นดินเทพมารแล้ว การปรุงยาของนางล้วนทำในช่องว่าง ดังนั้นจึงทำได้โดยเงียบสงบ ถึงแม้จะเลื่อนเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับจอมเทพ นางก็ไม่ได้ทำใหใครตื่นตกใจ
หลังจากพบเหลียนเฉียวแล้ว มู่ชิงเกอก็รีบรับรู้เคล็ดวิชาเทวะส่วนล่าง ดังนั้นจึงไม่ได้ปรุงยาต่อหน้านางเลย ขณะที่นางปรุงโอสถระดับจอมเทพได้ในช่องว่างจึง
ทำให้เหลียนเฉียวตื่นตกใจ
“อายุเจ้าน้อยเพียงนี้กลับเป็นถึงอาจารย์ปรุงยาระดับจอมเทพ!” อินเจวี๋ยได้สติจากความสั่นสะท้าน ยังไม่อยากจะเชื่อนัก
มู่ชิงเกอไม่พูดอะไรเพียงหยิบยาเม็ดระดับจอมเทพกำไว้ในฝ่ามือ พลังที่ซุกซ่อนอยู่ในยาเม็ดจอมเทพ ทั้งกลิ่นหอมที่ไม่เหมือนใครทำให้อินเจวี๋ยยอมรับความจริงที่มู่ชิงเกอเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับจอมเทพ
เขาสูดลมหายใจลึกๆ ให้อารมณ์มั่นคงแล้วบอกมู่ชิงเกอว่า “ในหมื่นปีนี้ทุกครั้งที่อินเล่อนอนไม่ได้สติ ล้วนทำให้ข้ากังวลยิ่งนัก ขณะที่นางเป็นปกติ ข้าจะออกไปภายนอกหาอาจารย์ปรุงยาเผ่ามนุษย์เพื่อช่วยรักษาโรคให้นาง แต่ที่พวกเขาทำได้ก็เพียงแค่ยืดเวลาหมดสติของนางให้ห่างออกไปนานขึ้นเท่านั้น”
มู่ชิงเกอไม่ได้พูด เพียงฟังอินเจวี๋ยพูดเงียบๆ เขาพูดต่อว่า “เจ้าพูดถูกต้อง อินเล่อเป็นโรควิญญาณดับ ส่วนที่ว่าทำไมจึงเป็นโรคนี้นั้นข้าไม่รู้ นางเองก็ไม่รู้ มันเกิดขึ้นโดยไม่มีเค้าลางบอกเหตุอะไรเลยแม้แต่นิด จนปัจจุบันข้าเองก็ยังคิดไม่ตก ว่าทำไมโรคนี้จึงปรากฎในตัวภูติภูเขาได้”
“ภูติภูเขาความจริงไม่ได้ต่างอะไรกับเผ่ามนุษย์ นอกจากลักษณะภายนอกที่แตกต่างเพียงเล็กน้อยแล้ว ภายในนั้นล้วนเหมือนกันทั้งหมด”
อินเจวี๋ยกะพริบตา สีหน้าเปลี่ยนไป เขามองมู่ชิงเกอแล้วว่า “เจ้าว่าเจ้าสามารถช่วย อินเล่อได้ ข้าหวังว่าจะไม่ใช่เพียงคำอวดอ้าง ที่ข้าต้องการไม่ใช่เพียงแค่ผ่อนคลายอาการป่วย แต่ต้องการรักษาให้หายขาด”
“ได้” มู่ชิงเกอยังคงผงกศีรษะอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิด
อินเจวี๋ยขมวดคิ้ว เขาพูดเสียงเครียดว่า “ทำไมเจ้าจึงเชื่อมั่นตัวเองนัก ทำไมจึงกล้ารับรองเช่นนี้ ถึงแม้เจ้าเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับจอมเทพ แต่ที่ข้าเคยไปหา เมื่อก่อนนั้นก็เป็นอาจารย์ปรุงยาระดับจอมเทพ แต่ก็ไม่เคยมีใครเชื่อมั่นเหมือนเจ้าเลยสักคน”
“คนพื้นๆ พวกนั้นจะเทียบกับชิงเกอได้หรือ” โห่วที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้นมา
มู่ชิงเกอมองโห่วแล้วจึงมองอินเจวี๋ย “เพราะข้าได้รับการสืบทอดจากเทพโอสถ”
“เทพโอสถ! ผู้ที่สามารถปรุงยาราชันย์โอสถจอมเทพ คนเดียวในแผ่นดินเทพมารคนนั้น!” อินเจวี๋ยพูดด้วยความตื่นเต้น “เขาหายสาบสูญไปนานแล้ว เจ้าเป็นลูกศิษย์ของเขา!”
มู่ชิงเกอไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ไม่ได้อธิบาย นางบอกอินเจวี๋ยว่า “การสืบทอดของเทพโอสถได้บันทึกวิธีรักษาโรควิญญาณดับไว้พอดี ข้ากล้าพูดได้ว่า ในแผ่นดินเทพมารปัจจุบันมีเพียงข้าคนเดียวที่มีวิธีรักษาโรคขององค์ราชินีให้หายขาดได้”
“เจ้าอยากได้ผลภูติ” อินเจวิยค่อยๆ ระงับความตื่นเต้น เขาไม่โง่ ที่มู่ชิงเกอบอกว่ามีข้อแม้ เวลานี้พูดมาจนป่านนี้ คิดอยากให้มู่ชิงเกอช่วยเหลือย่อมจะต้องมีข้อ เสนอที่ดึงดูดใจมากพอ
มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ แล้วสั่นศีรษะเอ่ยว่า “องค์ชายคิดมากไปแล้ว องค์ราชินียอมรับพวกเราไว้ทั้งจริงใจต่อพวกเราอย่างถึงที่สุด เวลานี้นางมีโรครุมเร้า ช่วยได้ข้า ย่อมต้องช่วย เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้พวกท่านภูติภูเขาติดหนี้บุญคุณข้าอีก คนอย่างข้าไม่ชอบติดหนี้บุญคุณคนอื่น ทั้งไม่ชอบให้คนอื่นติดหนี้บุญคุณข้าด้วย หากองค์ชายรู้สึกไม่สบายใจ พวกเรามาที่นี่กันสามคน ท่านก็ให้ผลภูติคนละผลเพื่อจบหนี้บุญคุณนี้ แน่นอนว่าหากองค์ชายอาลัยในผลภูติจนหักใจให้ไม่ได้ ข้าก็ยังจะช่วยองค์ราชินีอยู่ดี”
โห่วอ้าปากค้างฟังคำพูดมู่ชิงเกอจนจบ รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ถูกว่ามีอะไรแปลก ราวกับ…ไม่ได้พูดอะไรผิดเลย!
อินเจวี๋ยฟังจบกลับหรี่ตาลงและแค่นยิ้ม “เจ้าเล่ห์จริงๆ เห็นชัดว่าอยากได้ผลภูติ แต่กลับยกตัวเองจนเหมือนมีคุณธรรมนักหนา”
มู่ชิงเกอกลับยิ้มด้วยท่าทีปกติ “ไม่ใช่หรอก ข้าบอกแล้วว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าก็จะช่วยองค์ราชินี แต่ถ้าหากภูติภูเขาต้องการตอบแทนอะไร ข้าไม่ต้องการอย่างอื่น ดีที่สุดมีเพียงผลภูติเท่านั้น”
“ผลภูติบนต้นไม้โบราณ ยังต้องรออีก 826 ปีจึงจะสุก” อินเจวี๋ยว่า
มู่ชิงเกอหัวเราะว่า “พวกผลไม้ที่ยังไม่สุกก็ช่างมันเถอะ หากองค์ชายมีใจก็ใช้ของที่เหลือเก็บไว้ก็ได้ ไหนๆ อีกห้าพันปี พวกมันก็ต้องสูญสลายไปอยู่แล้ว องค์ราชินีพูดได้เยี่ยม อย่าให้ต้องเสียของ”
พูดจบ มู่ชิงเกอก็บอกอินเจวี๋ยอีกว่า “ข้าจะไปเตรียมยาที่จะช่วยองค์ราชินี ไม่รบกวนองค์ชายแล้ว”
นางผงกศีรษะนิดๆ หันกายเดินออกไปข้างนอก
อินเจวี๋ยมองเงาหลังที่สง่างามผึ่งผายของมู่ชิงเกอ แววตาราวกับผุดระลอกคลื่นขึ้น
พอมู่ชิงเกอจากไป โห่วก็ตามไปทันที
เมื่อออกจากตำหนัก เขาจึงกระซิบถามว่า “เจ้าพูดเช่นนี้ หากเขาหน้าด้านไม่ให้จะทำอย่างไร เจ้าควรบอกเขาว่า มือหนึ่งมอบผลภูติ อีกมือหนึ่งมอบยาสิ”
“ไม่หรอก” มู่ชิงเกอพูดด้วยความเชื่อมั่น “หากเขาจะรับยาข้าก็ต้องมอบผลภูติมา” พูดแล้ว นางก็มองโห่ว ยิ้มอย่างมีความหมายว่า “อีกทั้งเพื่อเจ้า ข้าก็ต้องช่วยอินเล่ออยู่ดี”