ตอนที่ 780
ตระกูลมู่ที่ไม่เหมือนเดิม
วันรุ่งขึ้นพอฟ้าเริ่มสาง พวกมู่ชิงเกอก็จากไป
บนหลังเสี่ยวไฉ่ หยินเฉินมองมู่ชิงเกอที่ยังนิ่งเงียบ “ชิงเกอ เจ้าคิดอะไรอยู่”
ขณะที่หยินเฉินถาม โห่วก็มองมาที่มู่ชิงเกอ
คำพูดผู้เฒ่าเหนือมังกรเมื่อคืนนี้ แรกเริ่มทุกคนต่างฟังเป็นเรื่องตลก แต่มู่ชิงเกอกลับยิ่งฟังยิ่งสงบนิ่ง ราวกับดื่มดํ่าอยู่ในความคิดของตัวเอง
“ไม่ได้คิดอะไร” มู่ชิงเกอพูดเรียบๆ
แต่ใครก็รู้ว่าคำตอบของนางนั้นตอบอย่างขอไปที
ผู้เฒ่าเหนือมังกรกับสวี่สวี่ไม่ได้ตามพวกเขาไปด้วย ทุกคนมีทางเลือกต่างกัน ชะตาชีวิตก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นมู่ชิงเกอจึงไม่ฝืนและไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
เสี่ยวไฉ่มุ่งไปทางเฉาลู่ มู่ชิงเกอนั่งขัดสมาธิ อยู่บริเวณคอของมัน สีหน้าสงบนิ่งจนทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว
โห่วมองเงาหลังนางและพูดว่า “คำพูดของตาเฒ่านั่น เจ้าอย่าได้ไปถือเป็นจริงจังเลย’’
มู่ชิงเกอเม้มปาก
ผู้เฒ่าเหนือมังกรบอกว่า เขาสังเกตดวงดาวยามราตรีก็พบว่ามีเค้าลางดาวราชาร่วงหล่น ทั้งบอกว่าดาวราชานั้นราวกับมีชะตาชีวิตเชื่อมโยงกับนาง ดาวราชาเป็นตัวแทนบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในใต้ฟ้านี้ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง
อีกทั้งมีชะตาชีวิตเชื่อมโยงกับนาง ก็หมายความว่าคนคนนี้เกี่ยวข้องกับนางทั้งยังต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
คนที่มีอำนาจสูงสุดในบริเวณหนึ่ง ทั้งมีความสัมพันธ์กับนางไม่ได้มีมาก หลังจากผู้เฒ่าเหนือมังกรพูดจบ คนแรกที่แวบขึ้นมาในสมองมู่ชิงเกอก็คือ ซือมั่วที่กำลังปิดประตูบำเพ็ญเพื่อสำรวจหาหนทางก้าวสุดท้าย
เป็นซือมั่วหรือ
ดาวราชานั้นเป็นตัวแทนซือมั่วหรือ
เคราะห์กรรมเป็นตายของซือมั่วนั้นติดอยู่ในใจของมู่ชิงเกอมาตลอด คำพูดของผู้เฒ่าเหนือมังกรทำให้นางโยงทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันทันทีจนรู้สึกปั่นป่วนยิ่งนัก
“หยินเฉิน” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นกะทันหัน
หยินเฉินมองนาง รอฟังคำสั่ง
มู่ชิงเกอพูดเสียงเครียดว่า “คิดหาวิธีติดต่อไป่สือให้เร็วที่สุด ข้าอยากรู้เหตุการณ์ทางโน้น ดีที่สุดก็คือให้กู่เย่หรือกู่หยาใครก็ได้สักคนหนึ่งมาพบข้า”
“ได้” หยินเฉินพยักหน้า
ใจคอมู่ชิงเกอตึงเครียด คิดอยู่แต่ว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่างจึงจะสามารถทำให้จิตใจสงบลงได้
เสี่ยวไฉ่ร่อนลงนอกเมืองเฉาลู่
ที่นี่เป็นเมืองมนุษย์ธรรมดา หากทำอะไรให้เอิกเกริกจะถูกชาวบ้านจับจ้องเอาได้โดยง่าย
คนที่มาต้อนรับพวกมู่ชิงเกอยังคงเป็นมั่วหยาง รถที่มั่วหยางขับยังคงเป็นคันที่เหมือนกับตระกูลมู่ที่หลินชวน
ขึ้นรถแล้ว มั่วหยางก็ขับรถเทียมสัตว์เขาเดียวมุ่งหน้าไปยังเฟิงหลินเยี่ยตู้ พร้อมกันนั้นก็รายงานสถานการณ์ต่างๆ “พอรู้ว่าคุณชายจะกลับมา คนสำคัญจากแต่ละ สถานที่ต่างมาคอยกันอยู่ที่เมืองเฉาลู่ ข้อมูลสำคัญในหลายปีนี้ได้ตระเตรียมแล้วเสร็จเก็บไว้ที่ลิ้นชักลับในรถ ขอให้คุณชายตรวจดู”
มู่ชิงเกอยื่นมือไปเปิดลิ้นชักลับ หยิบข้อมูลที่วางไว้อย่างเรียบร้อยภายในนั้นมากวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว รับรู้เรื่องราวต่างๆ ที่นางไม่อยู่ในช่วงสิบกว่าปีนี้
เวลาสิบกว่าปี เฟิงหลินเยี่ยตู้ในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร สามารถเข้าถึงทุกระดับชั้นในแผ่นดินเทพได้สำเร็จ
ไม่ใช่ว่าร้ายกาจมากแค่ไหน แต่ไม่ว่าความเคลื่อนไหวใดๆ ในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรต่างไม่สามารถหลบพ้นสายตาของเฟิงหลินเยี่ยตู้ไปได้
เครือข่ายข่าวสารข้อมูลของมู่ชิงเกอได้มาถึงจุดสมบูรณ์แบบเต็มที่แล้ว
นอกจากนั้น ข่าวสารข้อมูลได้เน้นจุดสำคัญของสถานการณ์ที่สำคัญในแผ่นดินเทพตะวันตกไว้อย่างเป็นปัจจุบัน หลังจากมู่ชิงเกอดูจบแล้วก็เผาข่าวสารข้อมูลนั้นทิ้งไป ขณะที่ขี้เถ้าจากการเผาร่วงหล่นลง นางก็ถามว่า “คนเหลือเดนตระกูลมู่เป็นอย่างไรแล้ว”
“พวกเขาปรับตัวกับความเป็นอยู่ที่เปิดเผยได้แล้ว เวลานี้สามารถสอดรับกับการเคลื่อนไหวของเฟิงหลินเยี่ยตู้ได้” มั่วหยางตอบ
มู่ชิงเกอพยักหน้านิดๆ คนเหลือเดนตระกูลมู่หลบซ่อนในถํ้าเพื่อหลบหนีการล่า สังหารและจับกุม เวลานี้พวกเขากลับมาปรับตัวรับกับสภาพชีวิตภายใต้แสงอาทิตย์ได้สำเร็จ นี่คือการเปลี่ยนแปลง
คนคนหนึ่งจะต้องเรียกคืนความกล้าหาญกลับคืนมาจึงจะสามารถถืออาวุธเข้าไปในสนามรบได้
มิฉะนั้น สู้อย่าไปเพิ่มความยุ่งยากจะดีกว่า มู่ชิงเกอนอนอย่างเกียจคร้านในตู้รถหลับตาพักผ่อน หว่างคิ้วนั้นมีความอ่อนเพลียซ่อนอยู่
สิบกว่าปีนี้ ดูเหมือนนางอยู่ในระหว่างบำเพ็ญตลอดเวลา แต่ความจริงแล้ว ไม่ว่าการบำเพ็ญ หรือการสู้รบ นางล้วนผ่านมาด้วยความตึงเครียด ไม่เคยมีเวลาผ่อน คลายเลยแม้แต่นิด
นางที่เป็นเซ่นนี้ชวนให้คนเป็นห่วงนัก
ในตู้รถ หยินเฉินกับโห่วนั่งเงียบๆ ไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของมู่ชิงเกอ
มั่วหยางมองนางแวบหนึ่งแล้วหันหน้ากลับไป ขับรถให้นิ่มนวลมากขึ้น เรื่องทั้งหมดต่างถูกมู่ชิงเกอซ่อนไว้ในใจ โดยทนแบกรับไว้เอง แต่นางเองก็เหนื่อยเป็น ล้าเป็น
ท่ามกลางการสะลึมสะลือนั้น มู่ชิงเกอราวกับฝันไป
นางกลับไปยังโลกแห่งยุคกลาง กลับไปยังหลินชวน ได้เห็นสถานที่ที่คุ้นเคยและเห็นคนที่คุ้นเคย
ในความฝันนั้น นางไม่แน่ใจว่าสิ่งต่างๆ เบื้องหน้าเป็นจริงหรือไม่ สติบอกนางว่านางยังอยู่ที่แผ่นดินเทพมารห่างไกลจากโลกแห่งยุคกลางมากมายนักและยิ่งห่าง จากหลินชวนมากกว่าเสียอีก
แต่นางก็หาเหตุผลให้ตัวเองยอมรับว่า ‘ข้าอยู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงแล้ว มีความสามารถในการฉีกช่องว่างได้ ดังนั้นข้าจึงกลับมาได้’
นางเห็นลั่วซิงเฉิง มองเห็นทะเลแห่งทุกข์ มองเห็นลั่วตู มองเห็นสนามฝึกทหารของตระกูลมู่ มองเห็นจวนตระกูลมู่
นางยืนอยู่หน้าจวนตระกูลมู่ กำลังคิดจะเข้าไปพบเครือญาติ ภาพเบื้องหน้าก็พลันเปลี่ยนไปกะทันหันราวกับตกลงไปในถํ้าดำมืดที่ใหญ่โตมโหฬาร ลึกจนหยั่งไม่ถึง
‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์…เสี่ยวเกอเอ๋อร์…เสี่ยวเกอเอ๋อร์…’
เสียงเรียกที่คุ้นเคย วนเวียนอยู่ข้างหูมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอพยายามควานหา ปากก็พึมพำไปว่า ‘อามั่ว!’
ทันใดนั้นนางรู้สึกว่ามีลมรุนแรงพัดผ่าน นางมองไปก็เห็นซือมั่วที่สวมชุดสีดำตกลงไปในเหวลึกในสภาพเลือดท่วมตัว เขายื่นมือออกมา ใบหน้าที่แสนงามเต็ม ไปด้วยความสิ้นหวังและอาลัย
มือของเขาเต็มไปด้วยเลือด เขาราวกับนึกอยากจะคว้ามู่ชิงเกอไว้ แต่กลับคว้าอะไรไม่ได้เลย
‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์ช่วยข้าด้วย!’
เสียงร้องโหยหวนทำให้มู่ชิงเกอผวาตื่นขึ้นมาจากความฝัน เสียงหัวใจเต้นราวกับดังอยู่ที่ข้างหู แผ่นหลังโชกเหงื่อจนเปียกชื้น
“นายน้อย” เสียงเซวี่ยนหย่าดังขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง
ใบหน้ามู่ชิงเกอบึ้งตึง เม้มปากสนิท ได้สติจากอาการหายใจไม่ออกอีกทั้งความกลัวและความเจ็บปวด สีหน้านางซีดเผือด เมื่อมองไปรอบๆ จึงนึกขึ้นได้ว่าที่นี่คือ เมืองเฉาลู่ในห้องตัวเองที่เฟิงหลินเยี่ยตู้
เซวียนหย่ายืนอยู่ข้างเตียงมองนางด้วยสีหน้ากังวล
“ข้าไม่เป็นไร” มู่ชิงเกอเลิกผ้าห่มแล้วลุกขึ้นจากเตียง จอนผมนางชื้นเล็กน้อย ดูแล้วผลกระทบจากความฝันนั้นมีมากนัก
ที่ว่าความฝันนั้นเกิดจากความคิดกังวลคงเป็นเช่นนี้เอง
เช็ดหน้าแล้ว มู่ชิงเกอก็ถามว่า “พวกเขาอยู่ไหน”
เซวี่ยนหย่าย่อมรู้ว่านางถามถึงใครจึงผงกศีรษะทันที “พวกเขาต่างรอนายน้อยอยู่ในวังใต้ดินเจ้าค่ะ”
มู่ชิงเกอพยักหน้านิดๆ แล้วเดินไปทางวังใต้ดิน เซวี่ยนหย่าตามหลังไปติดๆ คิดในใจว่า ‘ตบะบำเพ็ญของนายน้อยลึกลํ้าสุดจะหยั่งถึงแล้ว’
ในวังใต้ดินมีคนยืนกันอยู่เต็มไปหมด เพียงแต่ต่างจากก่อนนั้นตรงที่กระดูกสันหลังของพวกเขายืดตรงขึ้น หว่างคิ้วมีความฮึกเหิมเพิ่มขึ้นมา
ซวีซิวกับราชครูล้วนอยู่ด้วย มั่วหยาง หยินเฉิน โห่ว กระทงมู่เฟิงกับซ่งเทียนจี๋ต่างกลับมากันหมดแล้ว