ตอนที่ 799
ใครจึงเป็นศัตรูที่แท้จริง
คำพูดของชายงามทำให้คนที่เพิ่งเข้ามาขมวดคิ้ว “ในเมื่อคนที่คิดสังหารไม่ตาย แล้วจะส่งสัตว์เลี้ยงของเราไปตายด้วยเหตุใด การเลี้ยงดูพวกเขา ต้องสิ้นเปลืองนํ้าพักนํ้าแรงเรามากทีเดียว” ชายงามพูดอย่างอ่อนแรง
พอพูดจบ บนฝ่ามือของเขาก็ปรากฎธงที่ม้วนเก็บอย่างเรียบร้อยขึ้น
บนธงนั้น ยังมีกลิ่นอายมารสีดำคละคลุ้ง ดูสงบนิ่งมาก
“องค์ราชา นี่เป็น…” ผู้รับใช้ถามอย่างสงสัย
แม้แต่ชายที่เข้ามาใหม่เองก็มองธงวิญญาณมารในมือของเขาด้วยความประหลาดใจ
ชายงามวางธงวิญญาณมารพาดไว้ที่ตัก สองมือลูบคลำ ผ่านกลิ่นอายมารอย่างระมัดระวัง ดวงตาสาดประกายความโลภและความหวังออกมา “นี่เป็นของวิเศษของคนผู้นั้น มันร้ายกาจมาก ในนั้นเลี้ยงจอมมารไว้เก้าตน ต้องใช้เลือดเนื้อวิญญาณในการบ่มเพาะ หากพวกเราควบคุมมันได้ถึงเวลาที่บุกเข้าไปในโลกนั้นก็จะสามารถใช้ของวิเศษของพวกเขาเข่นฆ่าพวกเขาได้ใช้เป็นทัพหน้า
ให้พวกเรา ให้พวกเขาตายเพราะของวิเศษของตัวเอง เจ้าว่า นี่คู่ควรให้คาดหวังหรือไม่”
คำพูดของเขาทำให้อีกสองคนในห้องสายตาเป็นประกาย
“องค์ราชา นี่เป็นของวิเศษในโลกนั้น พวกเราจะควบคุมมันได้หรือ” ฝ่ายหลังที่เข้ามาถามอย่างอดไม่ได้
ปัญหานี้ทำให้ชายงามคิ้วขมวดมุ่น อักขระกะพริบถี่ ครู่หนึ่งเขาจึงพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ในเมื่อข้าแย่งชิงมาได้ก็ ต้องควบคุมมันได้”
“ถ้าเช่นนั้นแผนครั้งนี้…” คนคนนั้นลองถามดู
แผนเดิมคือ ราชาของพวกเขาจะใช้ร่างแยกเข้าไปทางด้านนั้น ลอบสังหารคนผู้นั้น หลังจากกำจัดพลังบารมี แล้วก็จะยกทัพใหญ่บุกเข้าไป ถือโอกาสเข่นฆ่าแย่งชิง
หากสามารถเปลี่ยนแปลงแดนมารให้กลายเป็นปศุสัตว์พวกเขาได้ก็จะเป็นผลดีที่สุด
แต่เวลานี้…
ความเจ็บปวดที่หน้าอกของชายงามแล่นขึ้นมาเป็นระลอก เขาพูดเสียงเครียดว่า “พักไว้ก่อนชั่วคราว รอให้อาการบาดเจ็บของข้าหายดีเสียก่อน จนคิดหาวิธีควบ คุมธงนี้ได้แล้วจึงจะเป็นเวลาที่จะยกทัพเข้าโจมตี”
“ขอรับ องค์ราชา”
สองคนในห้องต่างรับคำพร้อมกัน
ในแดนมาร โห่วยังคงรออยู่ที่สนามรบเดิม ทันใดนั้น เบื้องหน้าเขาก็พลันปรากฎคนสองคนที่จูงมือเดินเคียงกันมา หนึ่งแดงหนึ่งดำ สองสีต่างสอดรับกัน โห่วชะงัก เผยท่าทีหยอกล้อเหมือนก่อนออกมาทันที “ข้ายังเข้าใจว่าพวกเจ้าจะปลอบประโลมใจกันสักพักค่อยออกมาเสียอีก”
มู่ชิงเกอกับซือมั่วได้เปลี่ยนไปใส่ชุดที่ซักสะอาดแล้ว คราบเลือดบนตัวก็หายไปจนหมด สองคนเกาะกุมมือ ฟังคำหยอกล้อจากโห่ว แต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร
ความจริงแล้ว พวกเขาก็ไม่มีเวลาปลอบประโลมอะไรเลยแม้เพียงเดี๋ยวเดียว
สถานการณ์ภายนอกยังไม่แน่ชัด ก่อนที่นางจะมาช่วยซือมั่วนั้นราวกับแว่วเสียงระเบิดวิญญาณดังขึ้น แสดง ว่าเผ่าอี้ได้เริ่มต้นบุกโจมตีแล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเขายังจะไม่รู้กาลเทศะมัวแต่อ้อยอิ่งอยู่ในช่องว่างได้อย่างไร
ยังดีที่ซือมั่วเคยอาศัยอยู่ในช่องว่างนางช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในนั้นจึงยังมีเสื้อผ้าเขาเหลืออยู่ ไม่เช่นนั้นก็ยังไม่รู้จะหาเสื้อผ้าที่ไหนเปลี่ยนให้เขาได้
“ริมแม่นํ้าเมิ่งหลานเป็นอย่างไรแล้ว” มู่ชิงเกอถามทันที โห่วชะงัก ส่ายหน้าว่า “ข้าไม่รู้พวกเขากลับไปแล้ว ข้าอยู่ที่นี่รอพวกเจ้า”
“ตอนนี้ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว” ซือมั่วมองไปไกลในทิศทางริมแม่นํ้าเมิ่งหลาน ที่นั่นเวลานี้ไม่มีเสียงสู้รบแว่วมาอีกแล้ว ราวกับทุกอย่างได้สงบลงแล้ว
“ท่าทางกองทัพเผ่าอี้ถอยไปแล้ว” มู่ชิงเกอเม้มปากพูด
โห่วมองนางอย่างไม่เข้าใจ ถามว่า “เหตุใดเป็นเผ่าอี้ที่ถอยไป ไม่ใช่เผ่ามารพ่ายแพ้หรือ”
พอเขาพูดจบ สายตาที่เย็นเฉียบของซือมั่วก็กวาดไปที่ตัวเขาทันที
ซือมั่วนุ่มนวลต่อมู่ชิงเกอ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะนุ่มนวลต่อคนอื่นโดยเฉพาะโห่วรีบร้อนมาขึ้นเขียงเช่นนี้
แววตาโหดร้ายเย็นชาของเขาตกอยู่ที่ร่างโห่ว ทำให้เขารู้สึกถึงพลังกดดันที่น่าหวาดหวั่น สีหน้าพลันเปลี่ยนไป ถามอย่างหวาดผวาว่า “ตบะบำเพ็ญเจ้าสูงขึ้นอีกแล้ว! ไม่ใช่เคราะห์กรรมเป็นตายหรือ ไม่ตายก็ถือว่าดีแล้ว นี่ยังเปลี่ยนเป็นร้ายกาจยิ่งขึ้นอีก!”
“เพราะเสี่ยวเกอเอ๋อร์” ซือมั่วยกมือที่เกาะกุมกันของทั้งสองขึ้น ให้หลังมือของมู่ชิงเกอแนบชิดอยู่ที่หน้าอกตัวเอง
มุมปากโห่วกระตุกขึ้นอย่างแรง คิดในใจว่า ‘ทารุณโห่วแท้ๆ’
มู่ชิงเกอปล่อยมือทั้งสองลงแล้วพูดอย่างเคร่งเครียดว่า “หากเผ่ามารพ่ายแพ้จะเงียบสงบเช่นนี้ได้อย่างไร อาศัยความเร็วของเผ่าอี้ เวลานี้ทุกแห่งคงมีแต่ตัวประหลาดเล็กสีเขียวแล้ว เพียงแต่…การบุกรุกโจมตีครั้งนี้ เกิดจากการวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบของพวกเขา เหตุใดจึงได้ละทิ้งไปง่ายๆ เช่นนี้นะ”
มู่ชิงเกอเข้าใจดีว่า ยุทธวิธีที่นางวางไว้รีมแม่นํ้าเมิ่งหลานสามารถหยุดยั้งอีกฝ่ายได้เพียงชั่วขณะ ไม่สามารถขัดขวางได้นาน การรบของเผ่าอี้กับเผ่ามารนั้นต้องเกิดขึ้นแน่นอน
แต่เหตุใดเผ่าอี้ราวกับถอยทัพไปแล้วเล่า
“ไม่แน่ว่าอาจเกี่ยวข้องกับการชิงสังหารร่างแยกของเสี่ยวเกอเอ๋อร์” ซือมั่วให้คำตอบที่ใกล้เคียงความจริงออกมา
มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างเห็นด้วย มองซือมั่วว่า “พวกเราไปดูสถานการณ์ก่อนค่อยว่ากัน”
“ดี” ซือมัวพยักหน้านิดๆ ขอเพียงเป็นเรื่องที่มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นมา เขาไม่เคยมีความ เห็นเป็นอื่น
ซือมั่วจูงมือนางเดินผ่านร่างโห่วราวกับลืมเขาไปแล้ว
โห่วชะงักอยู่ที่เดิม มองเงาหลังทั้งคู่อย่างงุนงงด้วยตา ปริบๆ เขาตัวโตขนาดนี้ยังถูกมองข้าม ทั้งยังเป็นการมองข้ามอย่างสมบูรณ์แบบเสียด้วย
“เหตุใดยังไม่ไปอีก” มู่ชิงเกอเดินไปไม่กี่ก้าวก็รู้สึกได้ว่าโห่วไม่ได้ตามมา จึงหันมามองแล้วเอ่ยเร่ง
โห่วราวกับถูกคลายจุด ได้สติกลับคืนมา รีบตามไปด้วยทันที
เผ่าอี้ได้ถอนทัพแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องรีบ ดังนั้นซือมั่วจึงจูงมือมู่ชิงเกอเดินอย่างสบายอารมณ์ราวกับกำลังเดินเล่น ค่อยๆ มุ่งหน้าสู่ริมฝังแม่นํ้าเมิ่งหลาน
โห่วเดินตามพวกเขาอยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าภาพสิบนิ้วเกาะกุมกันข้างหน้า ช่างขัดลูกตามากๆ ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินแท้ๆ
สุดท้ายแล้วเขาทนไม่ไหวเอ่ยว่า “พวกเจ้าค่อยๆ ไปกันเถอะ ข้าไปก่อนแล้ว จะได้บอกพวกเขาว่าพวกเจ้าไม่เป็นไรด้วย”
พูดจบเงาร่างเขาแวบเหินฟ้าออกไป ความเร็วนั้นว่องไวจนน่ากลัว
“ฮึ นับว่าเขารู้กาลเทศะ” ซือมั่วจ้องดูทิศทางที่โห่วเผ่นไป แค่นเสียงออกมา
มู่ชิงเกอส่ายหน้าเงียบๆ ไม่ได้ถูกคำพูดซือมั่วทำให้ความคิดไขว้เขว เอ่ยถามอย่างจริงจังว่า “ครั้งนี้ทั้งเผ่าเทพเผ่าอี้วางแผนเล่นงานเจ้าพร้อมกัน ถึงแม้ว่าเป็นเพราะ เคราะห์กรรมเป็นตาย แต่เรื่องนี้น่ากลัวจะไม่จบง่ายๆ เหล่าราชาเทวะเป็นอย่างไรกันแล้ว”
“ตายไปสามพิการไปหนึ่ง ตกใจแทบเสียสติอีกหนึ่ง อีกสองคนไม่เป็นอะไร แต่ขณะที่เขาหลบหนี ข้าคงทำให้บาดเจ็บ แต่ไม่รู้คนไหนโชคร้ายโดนเข้าไป” ซือมั่วตอบเรียบๆ
หนึ่งต่อเจ็ด ผลการสู้รบเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วกลับไม่มีอะไรสมควรโอ้อวดแม้แต่นิดเดียว
ไม่ใช่ว่าเขาอวดตัวโอหังแต่เพราะเขารู้จักตัวเองดี อย่าว่าแต่ราชาเทวะไม่กี่คนเลย วันนี้ต่อให้เผ่าเทพมาอยู่เบื้องหน้าเขาทั้งเผ่าต้องการเอาชีวิตเขา เขาก็ยังคงยืน อย่างมั่นคงไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
“สบายพวกเขามากไปแล้ว” มู่ชิงเกอกัดฟันพูด
“ไม่เป็นไรหรอก วันหน้ายาวไกล ที่ติดหนี้พวกเราจะต้องเรียกคืนมาทั้งต้นทั้งดอกแน่” ซือมั่วเอ่ยปลอบ