ตอนที่ 798
เบาะแสของธงวิญญาณมาร
พวกเราล้วนไม่ต้องตาย…
ได้ยินคำพูดที่เชื่อมั่นเหลือแสนของซือมั่วแล้วมู่ชิงเกอก็ไม่มีอะไรจะพูด
ภาพของสายธารแห่งอนาคตผุดขึ้นมาในสายตา ปัดเป่าเท่าไรก็ไม่หาย อนาคตนั้นไม่ใช่อนาคตที่นางต้องการ หากนางสามารถกุมชะตาชีวิตได้นางอยากไปแก้ไข เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้น
แต่วิถี เหตุและผลลัพธ์ในเวลานี้ก็ทำให้นางเข้าใจขึ้นมาบ้าง การเลือกที่ต่างกันจะทำให้ต้นเหตุและผลลัพธ์แตกต่างกันออกไป บางครั้งทั้งๆ ที่พยายามแก้ไขแล้วผลที่ได้ก็ยังคงเหมือนเดิม
ดังเช่นครั้งนี้นางพยายามทุ่มเทสุดกำลังเพื่อคลี่คลายเคราะห์กรรมเป็นตายของซือมั่ว แต่ก็ยังคงพลาดไปหนึ่งก้าว ไม่ได้คาดถึงคนเผ่าอี้ที่ลักลอบเข้ามา
หากไม่มีเหลียนเฉียวสละร่างตัวเอง ครั้งนี้ซือมั่วจะต้องสิ้นชีพอย่างแน่นอน
แต่ต้นเหตุผลลัพธ์ของเหลียนเฉียวกับนาง และความสัมพันธ์ของนางกับซือมั่ว ต้นเหตุผลลัพธ์ที่นับไม่ถ้วนเหล่านี้สามารถบอกชัดได้หรือไม่ว่าถึงแม้จะมีผลสุด ท้ายที่แน่นอนแล้ว แต่ก็ยังมีทางรอดสุดท้ายหลงเหลืออยู่
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ” ซือมั่วเห็นมู่ชิงเกอเหม่อลอยไปจึงถามดู
มู่ชิงเกอเก็บงำความคิดแล้วสั่นศีรษะนิดๆ นางสบตาเขาแล้วยิ้ม “ดี พวกเราล้วนไม่ต้องตาย พวกเราต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีเพื่ออีกฝ่าย”
ซือมั่วผงกศีรษะนิดๆ
แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามู่ชิงเกอแปลกไป ราวกับมีเรื่องอะไรที่นางยังไม่ได้พูดออกมา
มู่ชิงเกอนึกขึ้นได้“จริงด้วย คนเผ่าอี้ผู้นั้น ข้าสังหารเขาไปแล้ว…”
“นั่นเป็นเพียงร่างแยกของเขา” ซือมั่วแก้ไขคำพูดของมู่ชิงเกอ
“ร่างแยก!” มู่ชิงเกอค่อนข้างประหลาดใจอยู่บ้าง
ซือมั่วเอ่ยว่า “วิชาของคนผู้นั้นไม่ธรรมดา การที่เขาสามารถแบ่งร่างแยกเสมือนจริงได้เช่นนี้ก็ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว ไม่รู้ว่ามีฐานะอะไรในเผ่าอี้ แต่เจ้าทำลายร่างแยกของเขาได้ แรงสะท้อนกลับที่เขาจะต้องรับก็จะรุนแรงมาก น่ากลัวในช่วงนี้เขาคงต้องปิดประตูบำเพ็ญ ไม่อาจวางแผนชั่วได้อีก”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” มู่ชิงเกอเพิ่งจะเข้าใจ นางยังนึกประหลาดใจอยู่เลยว่าเหตุใดคนเผ่าอี้จึงถูกสังหารได้ง่ายดายนัก
ร่างแยกสังหารได้หรือ ความจริงแล้วไม่ใช่ ไม่เช่นนั้นก็คงถูกซือมั่วสังหารไปนานแล้ว เพียงแต่ปัญญาเทวะของมู่ชิงเกอนั้นแข็งแกร่งมหาศาล ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทวะจนใช้โจมตีได้อีกทั้งนางยังใช้วิธีพิเศษ โจมตีโดยใช้ปัญญาเทวะและเป็นจุดตายของร่างแยกนี้พอดีก็เท่านั้น
“มือของเขาดูเหมือนถืออะไรอยู่” มู่ชิงเกอนึกทบทวน
ซือมั่วว่า “เป็นธงวิญญาณมาร ก็คือของวิเศษที่เจ้านำกลับมาจากซากปรักหักพังซ่างกู่เมื่อครั้งนั้น”
“ใช่แล้ว! แต่มันหายไปแล้ว” มู่ชิงเกอแววตาเย็นวาบ
“อืม ก่อนที่ร่างแยกจะสลายไปข้าก็รู้แล้วล่ะ” ซือมั่วพูดเรียบๆ
มู่ชิงเกอรู้สึกถึงความสงบนิ่งของเขาจึงมองเขาด้วยแววตาสงสัย
ซือมั่วเห็นท่าทีของนางแล้ว หัวใจก็กระตุกขึ้นมา ยื่นมือไปบีบปลายจมูกนาง “ไม่ต้องห่วง ต่อให้ธงวิญญาณมารถูกเขาแย่งไป พวกเขาก็ใช้ไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจช่วยนำทางข้าจนหารังใหญ่ของพวกเขาพบก็ได้ เรื่องที่เผ่าอี้จู่โจมข้าครั้งนี้จะยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ ได้อย่างไร”
สองตามู่ชิงเกอเปล่งประกาย นางเข้าใจความหมายของซือมั่วแล้ว
การที่ธงวิญญาณมารถูกชิงไปนั้นซ่อนเหตุผลไว้ภายใน เกรงว่าซือมั่วคงแกล้งทำเช่นนี้เพื่อจะได้ใช้ธงเป็นเหยื่อจับปลาตัวโตได้
“ถึงเวลานั้น ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” มู่ชิงเกอพูดทันที
ซือมั่วอมยิ้มพยักหน้า “ไม่ต้องรีบ จัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนค่อยว่ากัน”
“ได้” มู่ชิงเกอพยักหน้าโดยไม่ลังเล
ทั้งคู่พูดคุยกันจนความเศร้าโศกเสียใจจากความเป็นความตายที่ผ่านมาจางหายไป เวลานี้ทั้งคู่จึงรู้สึกถึงความอึดอัดจากเสื้อผ้าบนร่างกาย
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ให้ข้าช่วยเจ้าเช็ดตัวเถอะ” ซือมั่วไม่รอให้มู่ชิงเกอปฏิเสธก็อุ้มนางขึ้นแนบอก ลุกขึ้น หมุนตัวหายไปจากห้องปรุงยา
เพียงแต่ก่อนเขาไป สายตาก็กวาดผ่านหม้อผลาญสวรรค์แล้วคิดในใจว่า ‘ในเมื่อเจ้าช่วยชีวิตข้า เช่นนั้นแล้ว แค้นของเจ้าข้าก็จะแบกรับมันไว้ช่างบังเอิญที่พวก เขาเองก็สมควรตาย’
เมื่อพวกกู่หยารีบไปถึงริมฝังแม่นํ้าเมิ่งหลานก็เห็นพวกเผ่าอี้กำลังกลับไปยังเส้นทางทางเดิม หายไปในกระแสปั่นป่วนของช่องว่าง
ทุกคนตะลึงงัน รู้สึกประหลาดใจ
“นี่มันอะไรกัน” กู่หยาเดินเข้าไปข้างกายกู่เย่พลางถาม
เวลานี้ลมปราณในกายกู่เย่ที่ปั่นป่วนเริ่มสงบลงแล้ว เขาค่อยๆ ส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้พวกเราทำตามที่พระชายาบอก ต่อต้านการบุกรุกของเผ่าอี้ ค่ายกลตาข่ายฟ้า เจ็ดดาราสังหารร้ายกาจจริงๆ ต้านกองทัพเผ่าอี้ให้อยู่ภายนอกได้ทั้งหมด แต่จู่ๆ ก็เกิดเสียงแหลมดังขึ้นกะทันหัน กระแทกสิ่งกีดขวางจนแหลกยับเยิน พวกเราคิดว่าเผ่าอี้จะถือโอกาสบุกโจมตีแต่พวกมันกลับถอยกลับไปอย่างไม่มีสาเหตุ”
เล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป อย่างง่ายๆ แล้ว กู่เย่ก็ถามว่า “องค์ราชาเป็นอย่างไร บ้าง”
“องค์ราชาบาดเจ็บ พระชายาพาไปรักษาตัวแล้ว มีพระชายาอยู่น่าจะเรียบร้อย” กู่หยาก็เล่าเหตุการณ์ทางโน้นทันที
“ถึงแม้เผ่าอี้ถอยไปแล้ว แต่พวกเราก็ยังประมาทไม่ได้” ชิงเจ๋อว่า
หวงฝู่ฮ่วนเห็นด้วยกับเขา เขากับเฉินปี้เฉิงมาที่ริมแม่นํ้าเมิ่งหลานครั้งแรก ได้ประจันหน้ากับเผ่าอี้ชัดๆ เช่นนี้ ขณะที่พบว่าแผ่นดินเทพมารมีข้าศึกเช่นนี้แล้ว สายตาของทั้งคู่ก็ฉายแววหนักใจ
“พวกเจ้าไปพักผ่อนกันก่อน พวกเรามาผลัดเวรเฝ้ายามกัน ทุกอย่างรอให้องค์ราชากลับมาก่อนค่อยว่ากัน” สั่วเซิ่งเสนอ
คำพูดเขาได้รับการเห็นชอบจากทุกคน
ในค่ายทหารเผ่ามารริมแม่นํ้าเมิ่งหลาน ทุกอย่างดำเนินไปอย่างมีระเบียบแบบแผน
เวลาเดียวกันนี้ในห้วงเวลานิรนามแห่งหนึ่ง ในโลกที่ต่างออกไป บนหอคอยยอดแหลมสูงลิบแห่งหนึ่ง ชายที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะนิ่มพลันอ้าปากพ่นเลือดออกมาคำใหญ่
“องค์ราชา!” ผู้รับใช้เบื้องหน้าเขาพูดอย่างตื่นตระหนก
เขาส่ายหน้าช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าของเขา
ใบหน้าเขาดูนุ่มนวลลึกลับ ผิวขาวเนียน องคาพยพประณีตสวยงาม โดยเฉพาะริมฝีปากที่แดงเรื่อดั่งเลือด ขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมาก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าที่หว่างคิ้วของเขาจารึกอักขระแถวหนึ่งไว้และอักขระนี้ก็เปล่งรัศมีสีทอง
หว่างคิ้วของผู้รับใช้ที่ยืนเบื้องหน้าเขาเองก็มีอักขระแถวหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่หยาบกว่ากันมากทั้งยังเป็นสีดำ
“องค์ราชา ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม” ผู้รับใช้ถามอย่างไม่วางใจ
ชายคนนั้นใช้นิ้วเกี่ยวผมตัวเองแล้วพูดช้าๆ ว่า “ร่างแยก ถูกทำลายไปหนึ่งร่างเลยโดนแรงสะท้อนกลับเข้า จะต้องใช้เวลาฟื้นฟูสักระยะ นึกไม่ถึงว่าช่องว่างด้านโน้น จะมียอดฝีมือไม่น้อยเลย เพียงแต่น่าเสียดาย พวกเขาชอบสู้กันเองมากว่า”
“องค์ราชาปรีชาสามารถ! โลกทางโน้นมีทั้งเผ่าเทพเผ่ามาร ล้วนเป็นอาหารชั้นดีที่สุดของพวกเรา พวกเขาชอบสู้รบกันเอง ก็ปล่อยพวกเขาสู้ไป รอจนสู้กันจนหมดสภาพทั้งคู่แล้วก็จะเป็นโอกาสของพวกเรา” ผู้รับใช้สนับสนุนทันที
เวลานี้มีคนเดินเข้ามาจากด้านนอก ทำความเคารพชายงดงามผู้นี้ “องค์ราชา เหตุใดจึงออกคำสั่งถอยทัพหรือ” เขาเงยหน้าขึ้น หว่างคิ้วนั้นก็มีอักขระแถวหนึ่งเช่นกัน แต่อักขระนั้นมีสีแดง
สองตาของชายคนนั้นหรี่ลงเอ่ยเสียงเย็นเฉียบว่า “ความร้ายกาจของคนผู้นั้นเกินกว่าจะคาดคิดได้ เขาไม่ตาย อีกทั้งคนที่มาช่วยยังร้ายกาจยิ่งนัก วิชาที่นางบำเพ็ญ ราวกับเอาไว้ใช้รับมือกับพวกเราโดยเฉพาะ”