Skip to content

พลิกปฐพี 816

ตอนที่ 816

เช่นนั้นก็จัดการพวกตัวเล็กก่อน

มู่ชิงเกอแข็งแกร่งขนาดไหนกัน

น่ากลัวว่าจะมีแต่เหยียนเสี่ยที่ประมือกับเขา…ไม่สิ ที่โดนเขาใช้มือข้างเดียวเล่นงานจนหมอบจึงจะรับรู้ได้อย่างแท้จริง

มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่ามู่ชิงเกอไม่ได้ใช้พลังแห่งกฎบัญญัติแม้แต่นิด ใช้เพียงพลังจากร่างกายแท้ๆมาเล่นงานเขา ส่วนเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายกลับไม่มีพลัง

แม้แต่จะรับมือ

มู่ชิงเกอเตะเพียงเท้าเดียวก็ทำให้กระดูกซี่โครงของเหยียนเสี่ยหักหมดทุกซี่

เขาในเวลานี้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย

ความสั่นสะท้านอับอายและแค้นเคืองคงอยู่แต่ภายในจิตใจ ทำได้เพียงปล่อยให้มู่ชิงเกอหยามหมิ่นได้ตามใจ

โครม!

ร่างของเหยียนเสี่ยตกลงมาจากฟ้าอีกครั้ง กระแทกลงบนพื้นต่อหน้ามู่ชิงเกอ ส่วนมู่ชิงเกอเล่า นางกลับยืนอยู่ที่เดิมอย่างเฉยเมย สองมือไพล่หลัง อกผายไหล่ผึ่ง แววตานิ่งเฉย

“อ๊อก!” เหยืยนเสี่ยพ่นโลหิตออกมาอีกคำใหญ่

ขณะที่ตกลงมา การกระแทกอย่างรุนแรงนั้นทำให้กระดูกซี่โครงที่แตกหักทิ่มโดนเครื่องในส่วนต่างๆ ภายในร่างกาย

“ตายจริง ต้องขอโทษด้วย ข้าเพิ่งเข้าขั้นศักดิ์สิทธิ์ยังคะเนกำลังไม่ได้แม่นยำนัก ทำให้พี่เหยียนเสี่ยต้องลำบากแล้ว” มู่ชิงเกอหลุบตามองเขาแล้วพูดอย่างใสซื่อ บริสุทธิ์

ถุย! หน้าไม่อาย!

เหยียนเสี่ยนึกด่าในใจ แต่เวลานี้เขาขยับตัวไม่ได้ ทั้งปากก็ยังเอ่ยไม่ออก ทำได้เพียงทนรับความเจ็บนึกด่าในใจไม่หยุด เขาเจ็บแค้นในใจแต่ก็รู้ว่าเรื่องบาดหมาง ระหว่างเขากับมู่ชิงเกอนั้น แม้มู่ชิงเกอจะสังหารเขาทิ้งก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

เขาเองก็เช่นกัน หากเขาสามารถต่อสู้ชนะมู่ชิงเกอ ต่อให้ไม่สังหารก็ต้องทำให้พิการ

แต่ว่าเข้าใจก็อยู่ส่วนเข้าใจ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถยอมรับได้

เหยียนเสี่ยนอนอยู่บนพื้น มองมู่ชิงเกอจากล่างขึ้นบน ใบหน้าของเขามีเงาบดบังทำให้ดูมืดดำ คงมีเพียงตาคู่นั้นที่ใสกระจ่างยิ่งนักแต่ก็เย็นเฉียบอย่างยิ่ง

คำพูดของมู่ชิงเกอนั้น คนอื่นๆ ย่อมได้ยินเหมือนกันหมด

ทุกคนมุมปากกระตุกต่างคิดเช่นเดียวกับเหยียนเสี่ย รู้สึกว่ามู่ชิงเกอช่างหน้าไม่อายนัก คำพูดที่น่าขายหน้าเช่นนี้ก็ยังพูดออกมาได้

พูดออกมาได้ว่าคะเนกำลังได้ไม่ดีพอ

ท่าทางของเขาเห็นชัดว่าจะเล่นงานถึงตายมากกว่า!

มือเดียวแขวนตี เป็นมือเดียวแขวนตีจริงๆ!

แค่กๆ…

เพียงแต่เมื่อครั้งที่เหยียนเสี่ยต่อสู้กับมู่ชิงเกอก็เป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวาง ความแค้นของทั้งคู่ในครั้งนั้น จึงทำให้มู่ชิงเกอลงมืออย่างโหดเหี้ยม เหยียนเสี่ยโดนกรรมตามสนอง ทุกคนล้วนเข้าใจดี

“จะสู้ต่อไหม” มู่ชิงเกอถามด้วยหน้าตาใสซื่อ

สู้! สู้บ้าอะไรเล่า!

ดวงตาเหยียนเสี่ยเปล่งประกายแค้นเคืองรุนแรง จับจ้องไปที่มู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอแค่นยิ้มในใจพยักหน้านิดๆ “ก็ได้ในเมื่อพี่เหยียนเสี่ยเหนื่อยแล้วไม่อยากสู้แล้วพี่เหยียนเสี่ยก็พักผ่อนอยู่ที่นี่ดีๆ แล้วกันนะ”

พูดจบก็หันกายเดินจากไป

ส่วนเหยียนเสี่ยก็โดนคำพูดของนางยั่วจนหน้ามืด อีกทั้งความเจ็บปวดในร่างกายทำให้สลบไปทันที

‘ชิงเกอ ทำไมไม่ฆ่าเขาไปเสียเลย’ เสียงโห่วถาม ขึ้นในสมองของมู่ชิงเกอ ‘ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยคนนั้นไม่ใช่บอกแล้วว่าให้เจ้าลงมือเต็มที่ไม่ใช่หรือ’

มุมปากมู่ชิงเกอยังคงอมยิ้ม เดินไปทางที่พวกจื้อลู่อยู่ ‘ฆ่าแน่ แต่ไม่ใช่เวลานี้’

‘หมายความว่าอย่างไร’ โห่วถามอย่างไม่เข้าใจ

แต่มู่ชิงเกอไม่ได้ตอบอีก

นางเดินไปถึงเบื้องหน้าจื้อลู่ที่มีสีหน้าน่าเกลียดนัก ฝ่ายหลังรู้สึกเย็นวาบมองนางด้วยสีหน้าตึงเครียด

อาการย่ำแย่ของเหยียนเสี่ยทำให้เขาใจคอไหวหวั่น

จื้อลู่อดไม่ได้ถอยหลังไปอีกก้าวหนึ่งใจฝ่อขึ้นมา อาการของเขาทำให้มู่ชิงเกอยิ้มขบขัน เข้าไปใกล้เขาอีกนิด

พอนางเดินขึ้นหน้าจื้อลู่ก็ถอยออกไปโดยไม่รู้ตัว แม้แต่เหยียนเสี่ยยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่ชิงเกอ แล้วเขาจะใช่ได้อย่างไร เขาไม่อยากตกอยู่ในสภาพเดียวกับเหยียนเสี่ย

“เจ้า…เจ้าคิดจะทำอะไร” เสียงจื้อลู่สั่นเครือ

เขาในเวลานี้ไหนเลยจะยังเหลือทีท่าดูถูกดูแคลนเหมือนตอนที่เจอมู่ชิงเกอครั้งแรกอีก ทั้งไม่เห็นถึงท่าทีเสียดสีสบประมาทเหมือนตอนที่เพิ่งพบกันเมื่อครู่นี้ ด้วย

ความหยิ่งยโสของเขา ความโอหังเหนือกว่าใครๆ ของเขาล้วนแตกสลายไปจนหมดสิ้นไม่มีอะไรเหลือหลอ ตั้งแต่ตอนที่เหยียนเสี่ยถูกตีจนล้มลงกระอักเลือดอย่างน่าสยดสยองนั่นแล้ว

มู่ชิงเกอยกมุมปากยิ้ม “ทำอะไร ก็ไม่ใช่ชุมนุมประลองวิชาหรือ เมื่อครู่นี้เหยียนเสี่ยท้าข้า เวลานี้เป็นที ข้าท้าคู่ต่อสู้แล้ว”

เอ่อ…

คำพูดนี้…

คนอื่นๆ มุมปากอดกระตุกไม่ได้

มู่ชิงเกอเป็นขั้นศักดิ์สิทธิ์ จะเลือกคู่ต่อสู้ก็ควรเลือกหมิงถง หรือชูเนี่ยนที่เป็นขั้นศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน หากว่าเขาทะนุถนอมชูเนี่ยนไม่อยากประมือกับนางก็ยังเลือกหมิงถงได้

เวลานี้เขากลับจ้องจับคนขั้นถํ้าวิญญาณขั้นเก้า ถึงแม้คนผู้นี้จะเป็นคนที่ขั้นบำเพ็ญสูงกว่าทุกคนที่ไม่ใช่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้!

เช่นนั้นแล้ว ที่เขาเลือกจื้อลู่เพราะสาเหตุใดเล่า

แววตาเป่ยเหยียนสั่นไหวนิดหนึ่ง รอยยิ้มที่มุมปากเริ่มสนุกขึ้นมา

นี่มันชุมนุมประลองวิชาที่ไหน เป็นการแก้แค้นส่วนตัวชัดๆ! เพียงแต่ไม่รู้ว่าราชาเทวะน้อยดินแดนเส้าเทียนผู้นี้ไปสร้างความแค้นให้มู่ชิงเกอม้ามืดจากดินแดนฮ่วนเยวี่ยคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

น่าสนุก น่าสนุก น่าสนุกเหลือเกิน!

เมื่อคราวการถกวิถีที่แผ่นดินเทพตะวันออกนั้น เป่ยเหยียนไม่อยู่ แต่หลังจากกลับไปแล้วก็ได้ยินคำรํ่าลือเกี่ยวกับมู่ชิงเกอ ดังนั้น คำพูดของเขาที่ว่าได้ยินชื่อมา

นานแล้วจึงไม่ใช่เป็นเพียงคำทักทายทั่วไป

“เจ้า…เจ้าจะท้าข้าต่อสู้หรือ” จื้อลู่สะดุ้ง เขาเป็นคู่ต่อสู้มู่ชิงเกอได้ที่ไหนกัน

หากรู้ว่าวันนี้ต้องแบกรับความอัปยศอดสูเช่นนี้ ครั้งนั้นเขาน่าจะสังหารมู่ชิงเกอตั้งแต่ตอนยังอยู่ในแผ่นดินเทพตะวันตก เวลานี้แม้คิดจะสังหารก็ทำไม่ได้แล้ว

มู่ชิงเกอกลับสั่นศีรษะช้าๆ ภายใต้ความหวาดหวั่นของจื้อลู่ นางเอ่ยแก้ใหม่ว่า “ไม่เพียงแต่เจ้า ยังมี…” นิ้วของนางค่อยๆ ขยับชี้ไปที่อู่โย่วกับจี๋เผยที่อยู่ทางซ้าย

ขวาของจื้อลู่และพูดว่า “เจ้าและเจ้าด้วย”

อู่โย่วกับจี๋เผยที่ถูกนางชี้ตัว กระดูกสันหลังเย็นวาบ หน้าตาเหลอหลา

เกี่ยวอะไรกับพวกเขาด้วยเล่า!

พวกเขากับมู่ชิงเกอไม่เคยมีความแค้นอะไรกันเลยไม่ว่าเก่าหรือใหม่ เขาจะจัดการจื้อลู่ก็ทำไปเลยสิ เหตุใดต้องเอาพวกเขาไปร่วมด้วยเล่า

แต่พวกเขาไม่รู้ความคิดมู่ชิงเกอเวลานี้ ‘ในเมื่อยังคิดบัญชีกับเจ้าแก่สามคนนั้นไม่ได้ก็จัดการเจ้าพวกตัวเล็กเก็บดอกเบี้ยไปก่อนแล้วกัน’

“เป็นอย่างไร หนึ่งต่อสาม พวกเจ้าได้เปรียบเยอะเลยนะ” มู่ชิงเกอยิ้มอย่างนึกสนุก

เอ่อ

คำพูดนี้ฟังดูแล้วเหมือนมีตรงไหนไม่ถูกต้อง

พวกที่อยู่ด้านข้างต่างชะงักงันไป

เป่ยเหยียนตกตะลึง แทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่นึก บ่นอยู่ในใจ ‘ได้เปรียบอะไรกัน! อย่าว่าแต่ขั้นถํ้าวิญญาณสามคนเลย ต่อให้มีขั้นถํ้าวิญญาณสามสิบคน ต่อสู้กับขั้นศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียวก็ยังไม่มีทางเอาชนะได้’

แววตาที่เขามองไปยังมู่ชิงเกอเป็นประกายแวววับสนุกสนาน

เป่ยเหยียนรู้สึกได้ว่า มู่ชิงเกอคนนี้ช่างน่าสนใจดีจริงๆ!

“เจ้า!” สีหน้าจื้อลู่เปลี่ยนเป็นน่าเกลียด หน้าอกเขากระเพื่อมอย่างแรงทั้งโกรธทั้งแค้น เวลานี้มู่ชิงเกอพูดท้าทายปานนี้ หากเขาไม่ยอมรับคำท้า ต่อไปจะไปมีหน้าพบใครได้อีก

“พวกเราสามคนบุกเข้าไปพร้อมกัน!” จื้อลู่บอกอู่โย่วกับจี๋เผยเสียงเครียด

ปัง ปัง ปัง!

เนินทรายสีแดงแว่วเสียงร่างกายปะทะกันดังแว่วมา เพียงแต่เงาร่างนั้นรวดเร็วจนมองไม่ทัน

แต่เพียงเดี๋ยวเดียวก็มีคนสามคนนอนอยู่ที่พื้น

ล้วนสลบรวมอยู่กับเหยียนเสี่ย

พอคนอื่นมองเห็นชัดเจน…

ซี้ด!

ก็อดไม่ได้ต้องสูดหายใจเย็นวาบ ถอยห่างจากมู่ชิงเกอไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว มีเพียงชูเนี่ยนที่เดินไปที่ข้างกายมู่ชิงเกอทันที สองตายิ้มหยีจนคล้ายกับวงเดือน

“พวกหัวหมูเหล่านี้…” เป่ยเหยียนพึมพำแต่ปิดปากได้ทันเวลา นัยน์ตาผุดประกายเจ้าเล่ห์วาบผ่าน

หัวหมู เป็นหัวหมูจริงๆ!

หากไม่ใช่เพราะพวกเขายังจำเสื้อผ้าพวกจื้อลู่ทั้งสามคนได้ น่ากลัวจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ใบหน้าของพวกเขาถูกมู่ชิงเกออัดจนมองสภาพเดิมไม่ออกเลย แม้แต่นิดเดียว แน่นอนว่ากระดูกซี่โครงพวกเขาล้วนแตกหักและปักเข้าไปในอวัยวะภายในพวกเขา อาการบาดเจ็บแบบเดียวกับเหยียนเสี่ยไม่มีผิดเพี้ยน

นี่เป็นรสนิยมชั่วร้ายของมู่ชิงเกอใช่หรือไม่

“ข้ายังนึกว่าเจ้าต้องใช้เวลามากกว่านี้นะ” ชูเนี่ยนยิ้มกระซิบบอกมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก ยักไหล่พูดว่า “สั่งสอนพวกเดนมนุษย์ไม่กี่คน เหตุใดต้องเสียเวลามาก”

ท่าทางนักเลงและเจ้าสำราญของนางทำให้ชูเนี่ยนหลุดหัวเราะออกมา

“คือว่า…” เป่ยเหยียนขยับปากพูดว่า “แค่กๆ รายการต่อไป พวกเราควรเข้าสู่รายการต่อไปแล้วใช่ไหม”

“รายการต่อไปหรือ” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วแล้วหัวเราะออกมา “พี่เป่ยเหยียน ไม่ใช่จะต้องใช้การประลองวิชาคัดคนที่ได้ที่หนึ่งเพื่อเข้าอาบแสงแห่งวิถีหรือ เพิ่งสู้กันเพียงสองรอบก็เข้ารายการต่อไปแล้วหรือ”

คำพูดของนาง เดิมทีเพียงพูดตามความจริงและถือโอกาสหยอกล้อเป่ยเหยียนไปในตัว แต่ไม่คิดว่าคำพูดของนางกลับทำให้สามราชาเทวะน้อยดินแดนจินกวง ดินแดนสือฟางและดินแดนเซียนเหนี่ยวเกิดความคิดขึ้นมาฉับพลัน

พวกเขาเดินเข้ามาทันที และต่างพูดว่า…

“ราชาเทวะน้อยเป่ยเหยียนพูดถูกต้อง เข้ารายการต่อไปเลยเถอะ”

“ใช่ๆๆ ไม่ต้องประลองกันแล้ว!”

“นั่นเป็นเพียงแค่รูปแบบเท่านั้น พวกเราไม่ต้องยึดติดเช่นนี้ เข้าสู่แสงแห่งวิถีเพื่อรับรู้หลักวิถีต่างหากจึงจะเป็นเรื่องสำคัญ”

“ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องประลองแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลา”

ทั้งสามคนพูดเออออรับส่งกัน ความรู้ใจกันนั้น พลันยกระดับสูงขึ้นไปอีกขั้น กลับทำให้มู่ชิงเกอประหลาดใจขึ้นมา

นางไม่รู้เลยว่า การกระทำป่าเถื่อนเมื่อครู่นี้ของนางมีอิทธิพลเพียงใดต่อความฮึกเหิมของพวกเขา

ดูสิ!

ดูให้ดีๆ!

บนพื้นยังมีอยู่สี่คนที่สลบไสลไม่ได้สติ ท่าทางคงไร้วาสนากับแสงแห่งวิถีแล้ว มู่ชิงเกอประลองเพียงสองยก แต่ผลลัพธ์ของทั้งสองยกล้วนทำให้พวกราชาเทวะ น้อยขั้นถํ้าวิญญาณเหล่านี้กระดูกสันหลังเย็นวาบ

พวกเขาไม่อยากเป็นคนที่นอนบนพื้นคนที่ห้า คนที่หก คนที่เจ็ด…

มู่ชิงเกอไม่รู้เจตนาของพวกเขา แต่เป่ยเหยียนรู้ดี เขาพยายามกลั้นหัวเราะรอให้ทั้งสามคนพูดจบจึงบอกว่า “ความจริง การประลองครั้งนี้แต่เดิมก็ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เพราะมีพี่มู่”

“ข้าหรือ” สายตามู่ชิงเกอผุดแววหหยอกเย้า นางอมยิ้ม จ้องมองเป่ยเหยียน รอคำพูดต่อไปของเขา

เป่ยเหยียนยิ้มและพูดว่า “พี่มู่ได้ที่หนึ่งในการถกวิถีสี่ดินแดนเทพแผ่นดินเทพตะวันออก เข้าสู่แสงแห่งวิถี ทำสถิติขึ้นได้ถึงชั้นที่ 52 กลุ่มคนที่ติดตามไปนั้น แม้จะอยู่ชั้นล่างสุดก็ยังสูงกว่าชั้นสูงสุดที่พวกเราเคยขึ้นถึง”

พูดถึงจุดนี้แล้วเป่ยเหยียนก็ยิ้มขื่น จากนั้นเขาจึงเอ่ยว่า “พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อจะได้ อาบแสงแห่งวิถี รับรู้หลักวิถีเพื่อยกระดับตัวเอง กติกาแข่งขันกันเองนั้นมีขึ้นเพียงเพื่อคัดเลือกผู้แข็งแกร่งที่สุด เพื่อนำคนทั้งหมดเข้าไปในแสงแห่งวิถี แต่กติกานี้ เมื่อมีพี่มู่อยู่ก็เห็นจะไม่มีความจำเป็นแล้ว ถามว่าทั้งหมดในที่นี้จะมีใครสู้พี่มู่ได้เล่า”

มู่ชิงเกอเข้าใจทันที รอยยิ้มที่มุมปากขยายกว้างขึ้นเมื่อสบตากับเป่ยเหยียน นางดูออกถึงความเจ้าเล่ห์ในสายตาของเป่ยเหยียน

“ใช่แล้ว! พวกเราต่างยินดีให้ราชาเทวะน้อยมู่นำเข้าไปในแสงแห่งวิถี” ราชาเทวะน้อยดินแดนจินกวงพูดขึ้นทันที

ราชาเทวะน้อยดินแดนสือฟางกับดินแดนเซียนเหนี่ยวต่างส่งเสียงเห็นด้วย

การยกย่องเชิดชูของพวกเขา ยิ่งทำให้ทั้งสี่คนที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นถูกเปรียบเทียบจนดูน่าสงสารมากยิ่งขึ้น

แต่ในเวลานี้ ยังจะมีใครไปสนใจพวกเขาอีกเล่า

“ในเมื่อทุกคนต่างใจกว้างยอมยกให้ หากข้ายังถ่อมตัวปฏิเสธอีกก็จะดูเล่นตัวจนเกินไป” มู่ชิงเกอยิ้มพูด

เป่ยเหยียนพยักหน้าพูดว่า “แม้พวกเราประลองด้วยก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพี่มู่อยู่ดี ในเมื่อประลองหรือไม่ผลก็ไม่ต่างกันแล้วจะเสียเวลาไปทำไมกัน”

ข้อสำคัญคือพวกเขาล้วนไม่อยากกลายเป็นหัวหมู!

“แต่…” มู่ชิงเกอลังเลนิดหนึ่ง มองหมิงถงที่สงบเงียบ “ราชาเทวะน้อยหมิงกงเองก็เป็นขั้นศักดิ์สิทธิ์หากไม่ประลองจะไม่ยุติธรรมต่อเขาหรือไม่”

“ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า ไม่สู้กับเจ้า” ใครจะรู้นางเพิ่งพูดจบหมิงถงก็เปิดปากขึ้นทันที ทั้งยังเอ่ยคำพูดตรงไปตรงมาอย่างจริงใจ

สู้ไม่ได้ ข้าก็ไม่สู้

ช่างเป็นคนที่รู้กาลเทศะจริงๆ

มู่ชิงเกอนึกขำในใจ

นิสัยหมิงกงเป็นเช่นนี้หากไม่อยากถูกคนวางแผนเล่นงานก็จะต้องมีคนอย่างเป่ยเหยียนคอยช่วยเขาวางแผน ทั้งคู่อยู่ด้วยกันนับว่าเหมาะสมกันมากทีเดียว

“เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็ขอน้อมรับไว้” มู่ชิงเกอพยักหน้ายอมรับในที่สุด

“ข้าขอนำทางให้พี่มู่เอง!” เป่ยเหยียนพูดขึ้นทันที

พูดจบ พวกเขาทั้งหมดก็นำทางกันอยู่ข้างหน้า มุ่งไปยังจุดที่เปิดแสงแห่งวิถี

มู่ชิงเกอกับชูเนี่ยนเดินอยู่ข้างหลังพลางพูดคุยกัน

“ยังจำขณะที่เราอยู่ดินแดนอู๋หวาที่ข้าเคยพูดว่าอยากรู้นักว่าการอาบแสงแห่งวิถีครั้งที่สองของเจ้าจะขึ้นไปได้ถึงชั้นไหนไหม” ชูเนี่ยนยิ้มบอกมู่ชิงเกอ

หวนคิดถึงอดีตแล้วมู่ชิงเกอก็ยิ้มออกมา พยักหน้านิดๆ “เวลานี้จะได้เฉลยคำตอบแล้ว”

“แล้วเจ้าเองคิดว่าครั้งนี้จะขึ้นได้ถึงชั้นไหน” ชูเนี่ยนกะพริบตาถามอย่างขี้เล่น

มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้าช้าๆ เดินเองมือไพล่หลัง “จะพยายามทำเต็มที่”

ชูเนี่ยนชะงักเนื่องจากคำตอบนี้ทำให้นางผิดคาดไปบ้าง แต่ก็เข้าใจในทันทีจึงพยักหน้าว่า “ถูกต้อง พยายามทำเต็มที่ก็ดีแล้ว หากตั้งเป้าไว้สูงเกินไปกลับจะไม่ดีนัก ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นเคล็ดลับที่ทำให้เจ้าสามารถขึ้นไปได้ถึงจุดสูงสุดที่ไม่มีใครเคยทำได้ก็ได้”

มู่ชิงเกอยิ้ม ไม่ได้ตอบคำ

เดิมทีมีสิบเอ็ดคน เวลานี้หมดสติไปสี่คน คนที่มาถึงจุดเปิดแสงแห่งวิถีจึงมีเพียงเจ็ดคน จุดที่เปิดแสงแห่งวิถีเป็นเพียงเจดีย์หินที่ก่อขึ้นมาจากก้อนหิน ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกประหลาดใจมาก เจดีย์หินนี้เข้าไปไม่ได้ ยอดเจดีย์แหลมชี้ไปยังทิศทาง แสงแห่งวิถีที่กระจายอยู่บนฟ้า

“จะเปิดเจดีย์แสงแห่งวิถีจะต้องใช้ป้ายประจำตัวราชาเทวะน้อยหกคนขึ้นไปจึงจะเปิดได้พวกเรามีเจ็ดคนพอดี” เป่ยเหยียนบอกทุกคน

พูดจบทุกคนรวมทั้งมู่ชิงเกอต่างหยิบป้ายประจำตัวของตัวเองออกมาวางไว้ในมือเป่ยเหยียน

เป่ยเหยียนรับแล้วนำป้ายแยกไปวางตามจุดเฉพาะที่เจดีย์หิน เขาหันมองมู่ชิงเกอแล้วพูดด้วยนํ้าเสียงจริงใจว่า “พี่มู่ เชิญ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version