ตอนที่ 821
ดวลสุรากับราชาเทวะ
ทั้งสามคนเดินไปดูของที่ตกลงมาจากท้องฟ้าด้วยความประหลาดใจ ของนั้นมีสีดำขนาดเท่ากำปั้นดูเหมือนจะทำจากโลหะ บนนั้นยังสลักลวดลาย เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่ในเวลานี้เองของที่นิ่งสงบนี้ก็เกิดระเบิดขึ้นมา
ตูม!
แสงเพลิงปรากฎขึ้นในสายตาของพวกเขาสามคน พลังของระเบิดวิญญาณเพียงพอที่จะทำลายร่างกายเนื้อหนังมังสาขั้นถํ้าวิญญาณของทั้งสามคนได้ กระทั้งเรืออากาศของพวกเขาก็ถูกระเบิดทำลายสิ้น
ในมหาสุทรดวงดาวเกิดกลุ่มควันไฟสูงเทียมฟ้าขึ้นมาอีก
เป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ทั้งสามคนสูญเสียกายเนื้อไปแล้ว วิญญาณเทพสามดวงหนีออกจากควันไฟด้วยความหวาดหวั่นยิ่งนัก
เวลานี้เองพลันมีแสงสีทองวาบผ่านราวกับลูกธนู ยิงถูกวิญญาณเทพดวงหนึ่ง วิญญาณเทพนั้นทำได้เพียงร้องเสียงดังและสลายหายไป
ชูเนี่ยนยืนอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ ในมือถือคันธนู สายธนูที่ดึงออกมามีแสงสีทองอยู่ด้วยสองสาย
พอนางคลายนิ้วออก แสงทองสองสายนั้นก็วิ่งออกไป แยกเป็นสองทาง มุ่งหน้าติดตามสองวิญญาณเทพที่กำลังหลบหนี
วิญญาณเทพนั้นว่องไวมาก แต่แสงทองสองสายนั้นกลับเร็วยิ่งกว่า
เพียงพริบตาเดียวก็ไล่ทันและยิงถูกวิญญาณเทพจนสลายหายไปเช่นเดียวกับเมื่อครู่
หลังเสร็จสิ้นแล้ว แสงทองสามสายนั้นก็กลับคืนสู่ทิศทางเดิม
ชูเนี่ยนวางคันธนูในมือ คันธนูแปลงเป็นปิ่นปักผมชนิดพิเศษและถูกนางเสียบเข้าในมวยผม ส่วนแสงทองสามสายนั้นก็ตกลงบนมือนาง แปลงเป็นขนนกสามอัน
“ขนเฟิ่งหวง” มู่ชิงเกอมองขนนกบนมือนาง ยิ้มแล้วพูด
ชูเนี่ยนยิ้มแล้วพยักหน้า “ใช่ ขนเฟิ่งหวง”
พอนางพูดจบ ขนนกสามอันบนมือนางก็หายไป
มู่ชิงเกอมองนาง บอกนางว่า “ที่นี่ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว หลังเจ้ากลับถึงดินแดนอู๋หวาแล้วอย่าได้วู่วาม มารดาเจ้าอยู่ในศาลาอีเยี่ยนับว่าปลอดภัย หากราชาเทวะอู๋หวาเห็นถึงความผิดปกติแล้วเคลื่อนย้ายนางไปที่อื่น พวกเราก็ยากที่จะหานางเจออีก”
ชูเนี่ยนเก็บงำรอยยิ้ม พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ แต่เวลานี้ข้าไม่สามารถสู้หน้าเขาได้เหมือนแต่ก่อน”
“เรื่องนี้ง่ายมาก เจ้ากลับไปแล้วก็บอกเขาว่า ได้รับผลประโยชน์จากแสงแห่งวิถีไม่น้อย ต้องตั้งใจบำเพ็ญระยะหนึ่งไม่อยากถูกใครรบกวน จากนั้นเจ้าก็แอบควบคุมดินแดนอู๋หวาไว้ในมือก็พอแล้ว” มู่ชิงเกอกำชับ
“เจ้าคิดจะลงมือเมื่อไหร่” ชูเนี่ยนถาม
มู่ชิงเกอคิดแล้ว ขมวดคิ้วว่า “ยังต้องรออีกคนหนึ่ง” นางหมายถึงเจ้าสำนักวิถีโอสถ ขณะที่เขาจากไปบอกว่าจะรวบรวมอาจารย์ปรุงโอสถ ความคืบหน้า
เป็นอย่างไรนั้นอาจมีผลถึงแผนการของนางด้วย
“ได้ หากเจ้าจะเริ่มเคลื่อนไหวให้บอกข้าด้วย” ชูเนี่ยนผงกศีรษะ
ชูเนี่ยนแปลงกายเป็นเฟิ่งหวงบินจากไป ในมหาสมุทรดวงดาวที่เวิ้งว้างนี้ น่ากลัวจะมีเพียงเฟิ่งหวงที่กล้ากางปีกบินได้ เพียงแต่ชูเนี่ยนคงไม่สามารถบินตรงไปยังแผ่นดินเทพใต้ในครั้งเดียว มิฉะนั้นจะทำให้ราชาเทวะอู๋หวารู้ตัว
มองส่งชูเนี่ยนจากไปแล้ว มู่ชิงเกอก็ฉีกขาดช่องว่างอีกครั้ง กลับจากมหาสมุทรดวงดาวไปยังดินแดนฮ่วนเยวี่ยโดยตรง
ขณะที่นางปรากฎตัวก็ยืนอยู่ในวังราชาเทวะของดินแดนฮ่วนเยวี่ยแล้ว
นี่ทำให้นางอดสะท้อนใจอีกครั้งไม่ได้ หลังจากเข้าถึงชั้นสูงของขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ประหยัดเวลาได้มากจริงๆ! มิฉะนั้นเพียงแค่เดินทางไปกลับหลายครั้งนี้ ยังไม่รู้ต้องเสียเวลาไปอีกเท่าไหร่กัน
สะบัดแขนเสื้อแล้วมู่ชิงเกอก็เดินมุ่งหน้าเข้าสู่ ในวังราชาเทวะ
นางยังไม่รีบร้อนปิดประตูบำเพ็ญเพื่อรับรู้หลักวิถีในแสงแห่งวิถี เวลานี้ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่า นั้นคือคำตอบของราชาเทวะร่วนเยวื่ย
“เข้ามานั่งสิ”
พอมู่ชิงเกอเหยียบเข้าวังราชาเทวะ ราชาเทวะร่วนเยวี่ยก็ราวกับรู้ว่านางกลับมาแล้วจึงเรียกนางไปทันที
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วแล้วเดินเข้าไป
เพียงแต่ นางยิ่งเดินเข้าไปก็ยิ่งได้กลิ่นสุราฤทธิ์แรงลอยเข้ามาปะทะใบหน้า
สูดดมลึกๆ แล้วมู่ชิงเกอก็นึกสงสัยบ่นอยู่ในใจ ‘หรือว่าราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยกำลังดื่มสุรา’
จนนางเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นโต๊ะเบื้องหน้า ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยวางไหสุรานานาชนิดไว้จนเต็มโต๊ะ เบื้องหน้าเขารวมทั้งฝั่งตรงข้ามเขาล้วนมีชามสุราวางอยู่
ขณะที่มู่ชิงเกอเดินเข้าไป ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยก็กำลังรินสุราใส่ในชามจนเติม
สุราถูกเทจากปากไหสุราบังเกิดเสียงนํ้าไหลดังขึ้น มู่ชิงเกอจ้องมองสุราที่ไหลออกมาจากไหสุรา แล้วค่อยๆ เดินไปนั่งตรงที่ฝั่งตรงข้ามราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย
“ขั้นไหน” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยยกชามสุราเบื้องหน้าแล้วถาม
มู่ชิงเกอก็ยกชามสุราเช่นเดียวกัน ตอบว่า “98”
พูดจบ ทั้งคู่ต่างดื่มพร้อมกัน
“ฆ่าคนด้วยหรือ” ขณะที่ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยรินสุราใหม่อีกครั้งก็ถามอย่างไม่ได้ใส่ใจ
มู่ชิงเกอก็รินสุราให้ตัวเองเช่นเดียวกัน “อืม ราชาเทวะบอกว่าไม่ต้องออมมือ ข้าจึงสังหารเหย ยนเสี่ย ทั้งอีกสามราชาเทวะน้อยแผ่นดินเทพตะวันตก ล้วนสังหารสิ้น”
มือที่ถือชามสุราของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยสะดุดลงนิดหนึ่งแล้วมองไปที่มู่ชิงเกอ
ส่วนมู่ชิงเกอดื่มสุราต่ออย่างไม่ได้ใส่ใจ
สังหารราชาเทวะน้อยทีเดียวสี่คน อีกฝ่ายกลับทำตัวเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยหลุบตา ดื่มสุราในชามตัวเองรวดเดียวหมด ขณะรินสุราจึงพูดช้าๆ ว่า “เจ้าช่างใจร้อนนัก”
“ในเมื่อช้าเร็วก็ต้องเจอกัน ข้าจะเหลือทางรอดให้ศัตรูทำไม” มู่ชิงเกอตอบตรงๆ
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยมองมู่ชิงเกออีกครั้ง ตาหงส์นั้นดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ที่มู่ชิงเกอว่าเขาเดินในแสงแห่งวิถีครั้งนี้ได้ถึง 98 ขั้นนั้นทำให้ เขาสั่นสะท้าน เพียงแต่ไม่ได้แสดงอะไรออกมา ส่วนท่าทางขณะที่พูดเรื่องฆ่าคนนั้นทำให้ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเริ่มเชื่อแล้วว่า เรื่องที่เขาพูดก่อนหน้านั้นอาจไม่ใช่เพราะไร้เดียงสา
“ราชาเทวะเคยบอกว่า รอให้ข้ากลับมาแล้วจะให้คำตอบ เวลานี้ข้ากลับมาแล้ว ไม่รู้ว่าราชาเทวะมีคำตอบแล้วหรือยัง” มู่ชิงเกอดื่มสุราในชามแล้วถาม
แววตาใสกระจ่าง สงบนิ่งและเย็นเฉียบของนางทำให้ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยรู้สึกว่า เมื่อก่อนนี้เขาซ่อนเร้นได้ลึกมากทีเดียว
เขาแค่นเสียงออกมาเบาๆ ไม่ได้ให้คำตอบในทันที แต่ยกชามสุราขึ้นดื่มอีกครั้งหนึ่ง
จนเขาดื่มสุราชามนี้หมดแล้วจึงมองมู่ชิงเกอและถามว่า”ข้าร่วมมือกับเจ้าแล้วจะได้ประโยชน์อะไร”
มู่ชิงเกอยิ้มนิ่งๆ ค่อยๆ พูดว่า “ได้ยินว่าวิชาบำเพ็ญตระกูลมู่แห่งเก้าชั้นฟ้า ซ่อนจุดสำคัญของการก้าวเข้าสู่ขั้นสุดท้ายไว้ในเคล็ดวิชาเทวะ”
สองตาราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยนิ่งสงบ จ้องดูเขา
“ราชาเทวะอยู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ชั้นเก้าแล้ว ทั้งเป็นเจ้าแห่งดินแดน นึกอยากได้อะไรย่อมได้มาอย่างง่ายดาย เหลือแต่เพียงจะเข้าสู่ขั้นบรรพเทพได้อย่างไร คงเป็นสิ่งที่ราชาเทวะปรารถนาอยู่ภายในจิตใจตลอดมา ครั้งนั้นพวกที่กำจัดตระกูลมู่จนล่มสลายก็คิดกันเช่นนี้” มู่ชิงเกอพูด
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยมองเขาแล้วพูด “เจ้ายอมใช้สิ่งนี้เป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยนหรือ” เรื่องลับสุดยอดเช่นนี้ เขายากจะเชื่อว่ามู่ชิงเกอจะใจกว้างขนาดนี้
แต่มู่ชิงเกอกลับพูดตรงๆ อย่างเหนือคาดว่า “ทำไมจะไม่ยอมเล่า”
แล้วทำไมต้องยอม
“เจ้าไม่กลัวว่าความลับนี้รั่วไหลออกไปแล้ว ตระกูลมู่เจ้าจะเสียเปรียบหรือ” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยถาม
มู่ชิงเกอหัวเราะขึ้นมา หัวเราะจนทำให้คนงุนงงไปหมด นางรินสุราให้ตัวเองและตอบคำถามราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย “ความกลัว เป็นการตอบสนองของคนขี้ขลาด”
คำตอบของมู่ชิงเกอทำให้ราชาเทวะชะงัก ‘ทำไม ทำไมความคิดของเขาจึงต่างกับคนอื่นเช่นนี้’
ปริศนาเคล็ดวิชาเทวะ ขนาดว่าเป็นเพียงการคาดเดาของผู้คนก็ยังชักนำให้เกิดเภทภัยกระทั่งเกิดการเข่นฆ่ามากมายขึ้น
ตระกูลมู่ครั้งนั้นยังปิดบังซ่อนเร้น ขณะที่ทุกคนต่างเชื่อกันว่าใช่ มู่ชิงเกอกลับบอกว่า เขาไม่กลัว!
“ราชาเทวะ หากท่านพบคนรุ่นหลังที่มีพรสวรรค์เหนือกว่าท่าน แล้วท่านเกรงว่าเขาจะมีความสำเร็จเหนือกว่าท่าน ท่านจะสังหารเขาทิ้งตอนที่เขายังไม่เติบใหญ่หรือไม่” มู่ชิงเกอถามขึ้นกะทันหัน
แววตาราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเย็นเฉียบ พูดอย่างเฉยชาว่า “หากข้าทำเช่นนั้น ยังจะมีเจ้าในปัจจุบันนี้หรือ”
มู่ชิงเกอยกยิ้ม ยกสุราให้เขา “ขอบคุณราชาเทวะที่ยกย่องชมเชย”
ดื่มสุราลงไปแล้ว นางก็พูดอีกว่า “สาเหตุที่ าชาเทวะไม่สังหารข้าไม่ใช่เพราะกลัวว่าข้าจะเหนือกว่า แต่เพราะมีความเชื่อมั่นในตนเองไม่ใช่หรือ หากพูดให้แรงขึ้นหน่อยก็คือไม่ได้ใส่ใจ”
แววตาราชาเทวะเปลี่ยนแปลงไปมาจนมองไม่ออก เขามองมู่ชิงเกอ เดาออกแล้วว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ
“ดังนั้น ข้าเองก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน” มู่ชิงเกอวางชามสุราว่างเปล่าบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง นางไม่ได้ใส่ใจ นางไม่กลัวด้วย ต่อให้เคล็ดวิชาถูกเปิดเผย นางก็ยังเชื่อมั่นว่าตัวเองจะก้าวต่อไปได้
หากพูดว่าดินแดนสูงสุดยิ่งสูงยิ่งหนาว หากมีเพียงนางกับซือมั่วที่เข้าถึงได้ มันจะไม่จืดชืดเกินไปหรือ
ชีวิตคนต้องมีผู้รู้ใจ แต่ก็ต้องมีคู่ต่อสู้ด้วยจึงจะสมบูรณ์แบบ!
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยหรี่ตาทั้งสองข้างจับจ้องมู่ชิงเกอ เงียบไปนาน
ส่วนมู่ชิงเกอก็ปล่อยให้เขาจับจ้องตามสบาย พูดพึมพำว่า “ข้าต้องการพันธมิตร ไม่ได้จะใช้พันธมิตรไปเป็นเป้า แต่เพราะแผ่นดินเทพจะต้องมีการล้างไพ่ครั้ง หนึ่งก่อนเพื่อเตรียมรับเรื่องในอนาคต”
“เรื่องในอนาคต?” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
มู่ชิงเกอกลับยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดต่อ เพียงแต่ถามว่า “ไม่ทราบเวลานี้ราชาเทวะมีคำตอบแล้วหรือยัง ข้าจะไม่บังคับคนแดนฮ่วนเยวี่ยไม่ว่าใครก็ตามให้ออกรบเพื่อข้า อีกทั้งเมื่อเรื่องจบแล้วราชาเทวะยังสามารถดูความลับของเคล็ดวิชาเทวะได้อีกด้วย ท่านจะยังลังเลอะไรอีก”
คำพูดเหล่านี้ยั่วยวนใจมาก โดยเฉพาะแววตาของมู่ชิงเกอที่มีความจริงใจมากมายเช่นนี้
ครู่หนึ่งราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยจึงถามว่า “เจ้าคงไม่ได้ให้ข้าอยู่เปล่าๆ รอรับแต่ผลประโยชน์เฉยๆ ใช่ไหม”
“แน่นอนว่าต้องรบกวนราชาเทวะบางเรื่อง” มู่ชิงเกอยิ้มบอกเขาว่า “เรื่องครั้งนั้น ไม่ใช่ทุกดินแดนเทพต่างมีส่วนร่วม ข้าเองก็ไม่ชอบที่จะลากให้คนบริสุทธิ์เข้า มาติดร่างแห ดังนั้น ขอให้ราชาเทวะใช้นามของท่านช่วยข้าเชิญราชาเทวะบางท่านมายังดินแดนฮ่วนเยวี่ย ข้าอยากให้พวกเขาสามารถเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดด้วย สติปัญญาเช่นเดียวกับท่าน”
นี่จึงเป็นเป้าประสงค์แท้จริงที่ว่าเหตุใดนางจึงจะต้องได้ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยมาเป็นพวกก่อน!
หากจะต้องวิ่งไปดินแดนเทพแต่ละแห่ง จะต้องสิ้นเปลืองเวลาไปเท่าไรกัน สู้ให้มีคนเป็นหัวหน้านำทุกคนมารวมกัน ตกลงกันทีเดียวให้แล้วเสร็จจะสะดวกกว่ากันมาก
“การเรียกเหล่าราชาเทวะอื่นๆ มารวมกันที่นี่ ไม่ใช่ทำได้รวดเร็วนัก” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยหรี่ตาสองข้างลงพูดช้าๆ
“ไม่รีบ เรื่องนี้ขอเพียงราชาเทวะรีบจัดการก็พอแล้ว ทางด้านข้าก็ยังต้องใช้เวลาเตรียมตัวอีกนิดหน่อย” มู่ชิงเกอพูด
จู่ๆ ราชาเทวะก็หัวเราะออกมา สีหน้ายามหัวเราะนั้นดูไม่ออกว่าโกรธหรือยินดี
จนเมื่อเขาหัวเราะเสร็จ เขาก็มองมู่ชิงเกอและพูดว่า “ผู้สืบทอดตระกูลมู่รุ่นนี้ ชวนให้คนต้องมองใหม่จริงๆ”
“ขอบคุณที่ราชาเทวะยกย่อง” มู่ชิงเกอพูดจบ ก็ยกถ้วยสุราเบื้องหน้าตัวเอง ยื่นไปแสดงความเคารพราชาเทวะแล้วดื่มสุราฤทธิ์แรงในชามจนหมด
หลังจากดื่มแล้วนางก็ลุกขึ้นมา บอกราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยว่า “หากราชาเทวะไม่มีเรื่องอื่นอีก ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
ขณะที่มู่ชิงเกอหันกายจะจากไปก็ได้ยินเสียงราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยดังมาจากด้านหลังว่า “เจ้าเห็น อะไรบนชั้นที่ 98 หรือ”
“ข้ายังนึกว่าท่านจะไม่ถามเสียอีก” มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว แววตาราวกับครุ่นคิดบางอย่าง แต่ขณะที่หันกลับมามองกลับไม่เห็นท่าทีผิดปกติใด “ข้าเห็นเสาดาราใหญ่โตมโหฬาร พ่นเมฆดาวออกมาตลอดเวลา”
พูดจบนางก็ก้าวเดินออกไป คงเหลือปริศนาไว้ให้ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยข้อหนึ่ง
ในเมื่อไม่ได้ไปรับรู้ด้วยตัวเอง อาศัยเพียงคำพูดนางประโยคเดียว ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยจะรับรู้อะไรได้หรือ
หลังจากมู่ชิงเกอไปแล้ว คิ้วราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยก็ขมวดนิดๆ “เสาดารา…ดารา…” เขานึกไม่ออกเลยว่ามันมีความหมายว่าอย่างไร
มู่ชิงเกอออกจากวังราชาเทวะกลับไปยังตำหนักของตัวเอง เปิดค่ายกลป้องกันการรุกลํ้าแล้วนางก็เข้าไปในช่องว่าง
การรับรูในแสงแห่งวิถี นางจะต้องพิจารณาให้ละเอียดลออ
แต่เวลาภายนอกมีไม่พอ ดังนั้นนางจึงต้องเข้าไปอยู่ในช่องว่าง ทำให้ความเร็วของเวลาที่ไหลเวียนเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่นางหลอมรวมผลภูติ
‘ลำดับของ…ต้นเหตุผลลัพธ์ เวียนว่าย ตายเกิด…หรือตายเกิด เวียนว่าย ต้นเหตุผลลัพธ์…หรือเวียนว่าย ต้นเหตุผลลัพธ์ ตายเกิด…เวียนว่าย ตายเกิด ต้นเหตุผลลัพธ์… หากควบคุมหลักวิถีแห่งลำดับได้ ข้าก็สามารถเป็นอมตะได้!’ สมองของมู่ชิงเกอ เข้าสู่สภาวะว่างเปล่าของการบำเพ็ญ
ร่างกายของนางสะสมพลังเทพไม่หยุดหย่อน ปัญญาเทวะของนางรับรู้ต้นเหตุแห่งวิถีไม่หยุดหย่อน
ส่วนวิญญาณเทพของนางก็ราวกับลอยล่องไปมาอยู่ในโลกแห่งการหมุนเวียน ค้นหาลำดับที่อยู่ในห้วงเวลาของความว่างเปล่านี้
การปิดประตูบำเพ็ญของนางครั้งนี้ใช้เวลาครึ่งเดือนกว่า แต่เวลาในช่องว่างผ่านไปแล้วถึงปีกว่า
ในที่สุดนางออกจากการบำเพ็ญ พ่นอากาศเสียทิ้งไป “ขั้นศักดิ์สิทธิ์…ชั้นเจ็ด!” ในช่วงปิดประตูบำเพ็ญนี้ นางได้ทะลวงขอบเขตอีกครั้งหนึ่ง
นี้ทำให้นางอดรำพึงอย่างสะท้อนใจไม่ได้ว่า “จริงดังคาด หลังจากเข้าขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้ว การบำเพ็ญเพื่อเลื่อนชั้นไม่ใช่การสะสมพลังเทพ ทั้งไม่ใช่ความแข็งแกร่งของปัญญาเทวะอีกต่อไป แต่เป็นการรับรู้หลักวิถี”
แน่นอนว่า หากไม่ใช่เพราะนางบำเพ็ญเคล็ดวิชาเทวะทำให้มีความแข็งแกร่งของร่างกาย เพื่อรองรับปัญญาเทวะที่แข็งแกร่ง ทำให้นางสามารถรับรู้หลักวิถีที่มากกว่าคนทั่วไปแล้ว ไม่เช่นนั้นนางคงจะไม่สามารถรุดหน้าได้รวดเร็วปานเทพเช่นนี้
มู่ชิงเกอสรุปรวมผลการทะลวงขอบเขตทั้งหมดในแผ่นดินเทพมารเป็นคำสั้นๆ
นั้นคือ เก็บมากจ่ายน้อย!
มู่ชิงเกอยกเลิกการป้องกันนอกตำหนักแล้ว นางไม่ได้ไปวังราชาเทวะ แต่ออกจากดินแดนฮ่วนเยวี่ย มุ่งหน้าตรงไปเฟิงหลินเยิ่ยตู้ของแผ่นดินเทพตะวันออก ทันที
นางอยากดูว่าคนของนางเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว
ในช่วงเวลานี้ แผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรยิ่งดูวุ่นวายมากขึ้น ความขัดแย้งระหว่างดินแดนเทพต่างๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ บ้างก็เป็นความขัดแย้งเล็กน้อย แต่ก็มีบ้างที่ยกระดับขึ้นไปเป็นความเจ็บแค้น
ส่วนกองทัพเผ่ามารที่ประจำการอยู่รอบๆ แผ่นดินเทพตะวันตกก็ยังคงไม่ได้ถอยทัพ กระทั่งเผ่ามารเริ่มส่งหน่วยทหารเล็กๆ เข้าสู้รบก่อกวนแผ่นดินเทพตะวันตก
มู่ชิงเกอไม่ได้สอบถามแผนการของซือมั่ว ราวกับทั้งคู่มีข้อตกลงอยู่ภายในจิตใจ ถึงแม้ทำการโดยไม่ได้ปรึกษาหารือ แต่ก็สามารถสอดรับกันได้อย่างพอดี
มู่ชิงเกอเพิ่งออกจากดินแดนฮ่วนเยวี่ยก็พบกับเจ้าสำนักวิถีโอสถ
“ศิษย์พี่” ท่าทีของมู่ชิงเกอดูเกินคาดอยู่บ้าง
เจ้าสำนักวิถีโอสถพยักหน้านิดๆ บอกมู่ชิงเกอว่า “หากเจ้าไม่มีธุระยุ่งอะไรก็ให้ตามข้าไปยังแผ่นดินเทพใต้สักเที่ยว”
“มีธุระอะไรหรือ” มู่ชิงเกอถามด้วยความแปลกใจ
เจ้าสำนักบอกว่า “ยังจำที่ข้าเคยบอกเจ้า เรื่องอาจารย์ปรุงยาในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรได้หรือไม่”