ตอนที่ 843
หนี้เลือด ต้องชดใช้ด้วยเลือด
“นิ้วหนึ่งจิต” เสียงราชาเทวะจื่อกวงสั่นเครือ เขาคิดหนีแต่กลับไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
เขากลัวแล้ว! กลัวแล้วจริงๆ!
นิ้วหนึ่งจิตของตระกูลมู่เป็นบัญญัติอาคมในเคล็ดวิชาเทวะซึ่งเขาไม่สามารถต้านทานได้เลย
สายตาราชาเทวะจื่อกวงผุดความไม่ยินยอมและสิ้นหวัง ที่ไม่ยินยอมเพราะเขาไม่คิดจะตายไปเช่นนี้ที่ สิ้นหวังเพราะเขาไม่มีทางถอยอีกแล้ว ไม่มีทางหนีอีกแล้ว
บึ้ม!
“อ๊าก!” เสียงร้องโหยหวนของราชาเทวะจื่อกวง ทำให้การสู้รบที่กำลังดำเนินไปล้วนหยุดลง
ไม่ว่าจะเป็นคนของมู่ชิงเกอหรือลูกศิษย์ของดินแดนจื่อกวงในเวลานี้ต่างแหงนหน้าขึ้นมองไปทางราชาเทวะจื่อกวงที่กำลังถูกนิ้วสีทองที่ยื่นออกมาจากท้องฟ้า กดทับให้ตกลงสู่พื้นดิน
นิ้วหนึ่งจิต หนึ่งจิตเป็น หนึ่งจิตตาย หมื่นจิตล้วนสลาย สูญสลายสิ้น!
แววตาราชาเทวะจื่อกวงค่อยๆ มืดทึบลง ความไม่ยินยอมและความสิ้นหวังล้วนสูญสลายไปหมดสิ้น
บึ้ม!
ร่างกายไร้กำลังของราชาเทวะจื่อกวงร่วงหล่นลงมากระแทกลงไปในดินแดนจื่อกวงและเกิดระเบิดขึ้นรอบบริเวณจนทำให้เกิดหลุมใหญ่ขึ้น
เสียงดังกัมปนาทนี้สะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนจื่อกวง พริบตาเดียวนั้นลูกศิษย์ที่ยังคงเหลืออยู่ในดินแดนจื่อกวงต่างลืมการต่อต้าน ลืมอาวุธที่พวกเขาถืออยู่ในมือเวลานี้ไปสิ้น
นิ้วมือสีทองยังคงกดลงมา บริเวณที่นิ้วนั้นพาด ผ่านล้วนทำลายความสวยงามของทิวทัศน์ภูเขาดินแดนจื่อกวงจนเหลือเพียงความอัปลักษณ์
“รีบหนีเร็ว!
พลังทำลายล้างกวาดไปทั่วดินแดนจื่อกวง ทำให้ลูกศิษย์ดินแดนจื่อกวงต่างหวาดกลัวจนวิ่งออกไปข้างนอก เวลานี้พวกเขาไม่มีใจต่อต้านอีกต่อไป กระทั่งมีคนจำนวนมากถอดชุดเกราะทิ้งแล้วคุกเข่าอยู่ที่พื้นเพื่อร้องขอชีวิต
“คนเหล่านี้ไม่มีใจจะสู้รบอีกแล้ว แม้ฆ่าทิ้งไปก็ไร้ประโยชน์” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเก็บงำความสะท้านใจต่อมู่ชิงเกอ นัยน์ตาหงส์กวาดผ่านเหล่าลูกศิษย์ดินแดนจื่อกวงอย่างเรียบเฉย
แต่หากไม่มีคำสั่งของมู่ชิงเกอ ไม่ว่าองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ดี ตระกูลมู่เหลือเดนก็ดีต่างก็ยังไม่หยุดลง มือ
นี้วสีทองใช้พลังจนหมดสิ้นแล้วก็สลายหายไป
มู่ชิงเกอสีหน้าเย็นเฉียบหลุบสายตาที่แหลมคมลง
จากนั้นร่างกายของนางก็พุ่งลงมาจากบนท้องฟ้าราวกับกระสุนปืนใหญ่ สองเท้าเหยียบลงบนพื้นดิน แดนจื่อกวง
พอนางลงมาถึงรอบบริเวณล้วนเงียบสงบ
มู่ชิงเกอค่อยๆ เดินไปยังหลุมใหญ่ที่ราชาเทวะจื่อกวงตกลงมา ทางที่ผ่านไปทุกคนต่างถอยหลังกรูด
จนเมื่อมาถึงข้างหลุมลึกสายตาของมู่ชิงเกอก็มองไปที่ราชาเทวะจื่อกวงซึ่งไร้สัญญาณชีวิตภายใน
หลุม ความจริงแล้วหมื่นจิตล้วนสลายของนิ้วหนึ่งจิตก็คือพลังที่ทำลายวิญญาณเทพโดยตรงของนิ้วหนึ่งจิตนั่นเอง
พลังนี้นางเพิ่งจะรับรู้ได้หลังจากที่นางรับรู้หลักวิถีแห่งความเป็นความตายอย่างต่อเนื่อง
วิญญาณเทพสูญสลายแล้วจื่อกวงจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
“มั่วหยาง” มู่ชิงเกอพูดเรียบๆ
มั่วหยางปรากฎตัวอยู่ข้างกายนางทันทีด้วยท่าทางเคารพนบนอบ
“ตัดศีรษะเขาออกมาให้ข้า” มู่ชิงเกอสั่งอย่างเย็นชา
ได้ยินนางสั่งเช่นนี้แล้ว เหล่าลูกศิษย์ดินแดนจื่อกวงต่างสะดุ้งเฮือก นี่เป็นราชาเทวะนะ ผู้ที่อยู่สูงสุดในแผ่นดินเทพ
เวลานี้ไม่เพียงแต่ถูกมู่ชิงเกอฆ่าทิ้งอย่างง่ายดาย กระทั้งยังต้องถูกหยามเหยียดด้วยการตัดศีรษะหลัง ความตายอีก
เป็นครั้งแรกที่พวกเขานึกหวาดกลัวมู่ชิงเกอจากเบื้องลึกของจิตใจ!
คนเลือดเย็นเช่นนี้ไม่ใช่จะรอมชอมอะไรง่ายๆ หากเป็นปรปักษ์กับเขาหรือทำให้เขาไม่สบอารมณ์แล้ว จุดจบของพวกเขาก็คงไม่ได้ดีไปกว่านี้แน่นอน
มั่วหยางไม่ได้ลังเลแม้แต่นิด กระโดดลงไปในหลุมลึก มุ่งหน้าเดินไปยังศพของราชาเทวะจื่อกวงทันที
เมื่อมาถึงข้างศพแล้วมั่วหยางก็ตัดศีรษะราชาเทวะจื่อกวงออกทันที เลือดไหลหลั่งออกมา ราชาเทวะที่สูงส่ง เวลานี้ก็ราวกับสุนัขข้างถนนไม่มีความสูงส่งใดๆ เหลืออยู่อีกต่อไป
มั่วหยางรวบผมยาวของราชาเทวะจื่อกวง หิ้วศีรษะกระโดดออกมาจากหลุมลึก นำศีรษะยกขึ้นที่เบื้องหน้าของมู่ชิงเกอ “คุณชาย ศีรษะจื่อกวงอยู่ที่นี่แล้วขอรับ”
มู่ชิงเกอพยักหน้านิดๆ ไม่ได้ใส่ใจความหวาดหวั่นและแววตาหวาดกลัวที่มาจากรอบด้านเลยแม้แต่ นิด
นางยกมือ ธงถูกถอนขึ้นมาจากพื้นดินกลายเป็นเล็กแล้วบินมาทางมู่ชิงเกอ
มันเล็กลงขนาดเหลือเท่าตอนแรกและถูกมู่ชิงเกอถือเอาไว้ในมือ
“แขวนไว้” มู่ชิงเกอพูดเพียงแค่นี้มั่วหยางก็เข้าใจความหมายของนางในทันที
มั่วหยางนำอาวุธในมือมอบให้องครักษ์เขี้ยวมังกรที่อยู่ข้างๆ ใช้สองมือยกศีรษะของราชาเทวะจื่อกวง ใช้ผมของเขาผูกเป็นปมมัดไว้กับก้านธงอย่างแน่นหนา
เลือดจากคอที่ขาดของราชาเทวะจื่อกวงไหลลงมาตามก้านธง ผ่านผืนธงและอาบย้อมตัวหนังสือ ‘ชดใช้หนี้เลือด’ จนแดงเถือกไปหมด
ฉากนี้ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยชมดูจนตาเบิกกว้าง แววตาที่มองมู่ชิงเกอเต็มไปด้วยความประหลาดใจและค้นหา
ในเวลานี้เอง เขาพบว่าตัวเองยังรู้จักมู่ชิงเกอไม่เพียงพอ
ถึงแม้เขาเป็นเพียงแค่เป็นผู้รู้เห็นอยู่ข้างๆ โดยไม่ได้ร่วมลงมือ แต่ก็แอบระแวดระวังราชามารที่ซุ่มอยู่อีกด้าน
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยแปลกใจมากว่าราชามารปรากฎตัวที่เก้าชั้นฟ้าทั้งมาดินแดนจื่อกวงพร้อมกับพวกเขา แต่เหตุใดจนถึงเวลานี้ยังไม่เห็นเขาปรากฎตัวเลย เขาไม่ใช่จะมาแก้แค้นหรือ แล้วเหตุใดเพียงแค่ดูจื่อกวงตายในมือมู่ชิงเกอเช่นนี้โดยไม่ได้ลงมือ
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยไม่เข้าใจ ด้วยความหยิ่งยโสของราชามารแล้วคนที่ตัวเองต้องการเอาชีวิตย่อมไม่ยอมให้ผู้อื่นลงมืออย่างเด็ดขาด
แล้วเหตุใดจนป่านนี้แล้วเขาก็ยังทำเฉยอยู่เล่า ความผิดปกติเช่นนี้ทำให้เขาจำต้องระแวดระวังเพื่อ ป้องกันการลอบจู่โจมของราชามาร
ศีรษะของราชาเทวะจื่อกวงถูกแขวนไว้บนก้านธง เหล่าลูกศิษย์ดินแดนจื่อกวงแหงนหน้ามองไปด้วยความหวาดกลัว เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นเวลานี้ซีดขาวน่าสยดสยอง เลือดหยดเป็นทางแล้ว สันหลังก็พลันเย็นวาบขึ้นมาทันใด
สายตามู่ชิงเกอกวาดมองพวกเขาอย่างเย็นชาแล้วเปิดปากถามว่า “ราชาเทวะจื่อกวงตายแล้ว พวกเจ้ายังต้องการสู้ต่ออีกหรือไม่”
นางกำลังให้พวกเขามีโอกาสรอดชีวิต
ก็เป็นเช่นเดียวกับที่ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยคิด คนเหล่านี้ไม่มีใจสู้แล้ว แม้ฆ่าทิ้งเสียก็ไม่มีประโยชน์
แต่…
หากมีคนต้องการตายนางก็ย่อมไม่ปรานี
มู่ชิงเกอเพิ่งพูดจบก็มีบางคนกระโดดออกมาชี้หน้านาง และด่าว่า “เจ้าโจรชั่วมู่! เจ้าอย่าได้คิดว่าพวกเราจะยอมก้มหัวศิโรราบแก่เจ้า ราชาเทวะตายแล้วเจ้ายังทำลายร่างเทพของเขาอีก ช่างโรคจิตวิปริตแท้ๆ!”
บริเวณรอบๆ ล้วนเงียบสงัด ความเงียบที่น่าหวาดหวั่นเช่นนั้นทำให้หัวใจผู้คนต่างเต้นไม่เป็นสํ่า แม้แต่ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยยังขมวดคิ้วนิดๆ
มุมปากมู่ชิงเกอผุดรอยยิ้มเยาะอย่างเลือดเย็น “หมื่นปีก่อนดินแดนจื่อกวงละโมบโลภมาก ทำลายล้างเก้าชั้นฟ้าของข้าทั้งยังสังหารลูกศิษย์ตระกูลมู่ข้า เวลานี้ข้าตระกูลมู่เพียงแค่ขอชดใช้หนี้เลือดก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกโรคจิตวิปริต ย่อมได้อย่างนั้นข้าก็ขอเป็นคนโรคจิตวิปริตคนนี้แล้วกัน”
ท่าทางนางเย็นเฉียบ สั่งว่า “ผู้ไม่ยินยอมฆ่าทิ้งให้หมด ในเมื่อจงรักภักดีเช่นนี้ก็ตามไปปรนนิบัติราชา เทวะของพวกเขาในปรโลกเถอะ”
“ขอรับ! นายน้อย!”
“ขอรับ! คุณชาย!”
มู่ชิงเกอหันกาย ขณะที่นางหันกายกลับด้านหลังก็มีเสียงเข่นฆ่าดังตามมา
เพียงครู่เดียวเสียงจึงสงบลง
องครักษ์เขี้ยวมังกรที่เสื้อผ้าเปื้อนเลือด ในมือถือศีรษะที่ถูกตัดออกเดินมาเบื้องหน้ามู่ชิงเกอ แขวนศีรษะบนก้านธงไว้กับศีรษะราชาเทวะจื่อกวง
ภาพนี้ดูน่าสยดสยองยิ่งนัก เหล่าลูกศิษย์ดินแดนจื่อกวง เวลานี้ต่างปิดปากแน่น ร่างกายสั่นระริก ใบหน้าซีดขาว ไม่กล้าเอ่ยปากอีก