ตอนที่ 877
นี่ก็คือเคล็ดวิชาเทวะ!
ช่วงเวลาหนึ่งเดือนมาถึงแล้ว ราชาเทวะแต่ละคนจากแผ่นดินเทพสี่สมุทรมารวมตัวกันที่เก้าชั้นฟ้าอีกครั้ง
ครั้งนี้ไม่เพียงแต่พวกเขาที่มา ซือมั่ว่มาด้วยเช่นกัน
เพียงแต่ว่า ตอนที่ราชาเทวะเหล่านี้รอมู่ชิงเกออยู่ในวังราชาเทวะ เขากลับไปที่ตำหนักบรรทมของมู่ชิงเกอ ตั้งใจเขียนคิ้วให้นางแล้ว
ด้านล่างหน้าต่างทรงกลม หน้าโต๊ะเครื่องแป้งของมู่ชิงเกอ นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ เชิดคางขึ้นน้อยๆ หลับตาทั้งคู่ มุมปากอมยิ้มบางๆ
ซือมั่วยืนอยู่ข้างหน้านาง นิ้วชี้มือซ้ายซ้อนคางมู่ชิงเกอขึ้นเบาๆ นางจึงไม่ต้องเปลืองแรงเกินไป มือขวาถือที่เขียนคิ้วหนึ่งอัน วาดตามรูปคิ้วของมู่ชิงเกอเบาๆ
อันที่จริง เครื่องหน้าทั้งห้าของมู่ชิงเกองดงามอยู่แล้ว ไม่ว่าจะแยกออกมาดู หรือว่ารวมเข้าด้วยกัน ต่างก็ไม่มีที่ติ ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องประทินโฉมมาตกแต่ง
แต่ว่า หลังจากที่นางกลับมาแต่งเป็นหญิงสาว โย่วเหอและฮวาเยวี่ยยังคงยืนกรานว่าจะแต่งหน้าให้นางเล็กน้อยในทุกๆ วัน เรื่องเล็กๆ เหล่านี้ มู่ชิงเกอก็ยอมปล่อยให้ทั้งสองคนทำไป
เพียงแต่เช้าตรู่วันนี้ตอนที่โย่วเหอกับฮวาเยวี่ย
กำลังช่วยมู่ชิงเกอแต่งตัว จู่ๆ ซือมั่วก็เข้ามารับงานของฮวาเยวี่ย เขียวคิ้วให้มู่ชิงเกอต่อ
คนนอกตำหนักรอจนร้อนใจ ทว่าสองคนนี้กลับเอ้อระเหยอยู่ในตำหนักบรรทม
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์คิดจะเอาเคล็ดวิชาเทวะออกมาจริงๆ หรือ” ซือมั่วตั้งใจเขียนคิ้วไปพลางกล่าวถามเสียงเบาไปพลาง
วันนี้เขามาก็เพราะว่ามู่ชิงเกอจะประกาศเนื้อหาเคล็ดวิชาเทวะสู่สาธารณะ นางไม่ต้องการให้เขาพลาดไป
“อืม” เพราะขยับศีรษะไม่ได้ มู่ชิงเกอจึงทำได้เพียงใช้จมูกส่งเสียง ‘อืม’ หนึ่งคราเบาๆ
“เคล็ดวิชาเทวะคือแรงกายแรงใจทั้งชีวิตของบรรพบุรุษตระกูลมู่ และยังเป็นวิชาที่สูงที่สุดของเผ่าเทพ หมื่นปีก่อนคนที่ล้อมปราบเก้าชั้นฟ้าเหล่านั้นก็ทำเพื่อ เคล็ดวิชาเทวะ ตระกูลมู่บาดเจ็บล้มตายจนหมด ก็ยังไม่ยอมมอบให้ ตอนนี้เจ้ากลับมอบให้อย่างใจกว้างมีเมตตา” ซือมั่วกล่าวอย่างขบขัน
แต่ความรู้สึกในดวงตากลับภูมิใจอย่างถึงที่สุด
เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขา แต่ไหนแต่ไรไม่ใช่คนธรรมดา เรื่องที่ทำแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาเช่นกัน
“มีคนอยากแย่ง ต่อสู้จนตายย่อมให้ไม่ได้ แต่ว่ายินดีนำออกมากลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วตอนนี้เผ่าอี้แปลกประหลาด แผ่นดินเทพมารจะยอมให้ผู้อื่นรุกราน อาณาเขตตนเองได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ก็มีสัญญาณแล้ว หากพวกเรายังเตรียมการไม่พอ เกรงว่าผลแพ้ชนะในภายหน้ายากจะคาดเดา” มู่ชิงเกอลืมตาทั้งคู่ช้าๆ แวว ตาที่ใสสะอาดสบตาซือมั่วในระยะใกล้
สายตาของทั้งสอง สบประสานกัน ความรักลึกซึ้งชนิดนั้นรินไหลอยู่ในใจทั้งสองฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว
ซือมั่วฝืนสะกดกลั้นความคิดที่อยากจะอุ้มมู่ชิงเกอกลับไปที่เตียง พยักหน้าเบาๆ “เพียงแต่ลำบากเจ้าแล้ว”
“ข้าไม่รู้สึกว่าลำบาก” มู่ชิงเกอยิ้มกล่าว
การยืนหยัดของนางไม่มีอคติจากการแบ่งพรรคพวกใดๆ ชาติที่แล้ว ทุกสิ่งที่นางศึกษา ผู้อื่นก็ศึกษาได้ สิ่งที่ผู้อื่นศึกษา หากนางสมัครใจก็ศึกษาได้เช่นกัน นำ จุดเด่นของทุกคนมากลั้นกรองส่วนที่ยอดเยี่ยม นี่จึงจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะเลื่อนขั้นตนเอง
“เคล็ดวิชาเทวะแข็งแกร่งต่อการควบคุมเผ่าอี้อย่างยิ่ง หากมีคนเรียนรู้จนเป็นเพิ่มหนึ่งคน ในภายหน้า อัตราชนะของพวกเราก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน” มู่ชิงเกอกล่าว
“แต่ว่า อย่างไรเสียเคล็ดวิชาเทวะก็เป็นของตระกูลมู่ คนนอกอาจจะศึกษาไม่สำเร็จ” ซือมั่วกล่าวเตือน
มู่ชิงเกอกล่าว “หากตระหนักจากในนี้ได้ก็เป็นเรื่องดี นับประสาอะไรกับคนที่ได้เห็นเคล็ดวิชาเทวะ ล้วนแต่มีตำแหน่งสูงมากอำนาจ ผู้ที่มีระดับการบำเพ็ญสูงและลึกลํ้าเมื่อมองเห็นแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจบำเพ็ญตามเคล็ดวิชาเทวะได้”
ในดวงตาของนาง สะท้อนเงาของซือมั่ว ยิ้มกล่าว “สำหรับเจ้าแล้ว เพียงแค่หวังว่าจะหาส่วนสำคัญ ที่ทะลวงระดับบรรพเทพในเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างมิใช่ หรือ”
“ถูกต้อง” ซือมั่วตอบอย่างไร้กังวล
“น่าเสียดาย ตอนนี้ข้ายังไม่พบ อีกประเดี๋ยวเจ้ามองเห็นแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะหยั่งรู้ได้” มู่ชิงเกอกล่าวอย่างเสียดาย
“ไม่รีบ” ซือมั่วกล่าวอย่างสุขุม
ทันใดนั้น ซือมั่วก็ยิ้มขึ้นมา “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ที่ข้าคุ้นเคย ไม่ใช่คนที่เห็นใต้หล้ามาก่อน ในความทรงจำของข้า ที่เจ้าอยากปกป้องรักษาเป็นเพียงคนที่เจ้ายอมรับ เหตุใดครั้งนี้กลับเปลี่ยนแล้วเล่า”
มู่ชิงเกอยิ้มมุมปาก “ข้ายังคงเป็นข้าคนนั้น เพียงแต่ว่า เรื่องที่พบเจอก่อนหน้านี้ไม่มีอันตรายที่ถึงขั้นย่อยยับพังพินาศ แต่ว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน”
สายตานางนิ่งงันเล็กน้อย กล่าวเสียงทุ้มตํ่า “ในรังที่พลิกควํ่าย่อมไม่มีไข่ที่สมบูรณ์ ศึกภายใน ข้ายังคงไม่ถามไม่สนใจได้ แต่หากศัตรูภายนอกบุกรุกเข้ามา อีกทั้งยังเป็นศัตรูภายนอกที่อันตรายอย่างยิ่ง ข้าไม่อาจนิ่งเงียบ หรือคิดถึงแต่เพียงผลประโยชน์ส่วนตนได้อีกต่อไป หากแผ่นดินเทพมารถูกยึดครอง เช่นนั้นโลกแห่งยุคกลาง…หลินชวนเล่า นั้นคือที่อยู่อาศัยของญาติพี่น้องข้า ข้าไม่อาจปล่อยให้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายได้ ข้าคือราชาเทวะเก้าชั้นฟ้า เจ้าคือราชาดินแดนมาร มีความรับผิดชอบยิ่งใหญ่ที่ตำแหน่งทั่วทุกแห่งมอบหมายให้พวกเราจะถอยไม่ได้ ความรับผิดชอบก็ปัดไม่ได้ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้แล้วก็ทำได้เพียงเผชิญหน้า”
แววตาซือมั่วเป็นประกาย กล่าวพร้อมแสดงสีหน้า “คำพูดนี้ของเจ้า ควรให้คนเหล่านั้นข้างนอกได้ยินจริงๆ”
มู่ชิงเกอยิ้มกล่าว “ผู้อื่นจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ ข้าเพียงแค่ทำสิ่งที่ควรจะทำ”
“มีข้าอยู่ข้างๆ เจ้า” ซือมั่วกล่าวอย่างตั้งใจจริง
เขาขยับสีทาคิ้วในมือออก มองผลงานของตัวเอง มุมปากกระดกขึ้น “เสร็จแล้ว”
มู่ชิงเกอหันหน้า มองคนในกระจก คิ้วที่ซือมั่ววาดให้นาง ไม่ใช่เส้นโค้งที่อ่อนโยนราวกับจันทร์เสี้ยว แต่โก่งขึ้นเล็กน้อย ชัดเจนผึ่งผายมีชีวิตชีวา
มู่ชิงเกอลุกขึ้นยืนอย่างพอใจ ประสานนิ้วมือทั้งสิบกับซือมั่ว “ไปเถอะ อย่าปล่อยให้แขกรอนาน”
ตอนที่ทั้งสองจูงมือปรากฎตัวต่อหน้าทุกคน นอกจากราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย และราชาเทวะจงซาน บนใบหน้าคนหลายคนที่เหลือต่างเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
เมื่อเห็นมู่ชิงเกอปรากฎตัวจึงเก็บสีหน้าเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ดีไปกว่าเดิม
“ปล่อยให้ทุกท่านรอนานแล้ว” มู่ชิงเกอกล่าว
ราชาเทวะเฝินไห่เอ่ยปากกล่าว “ราชาเทวะมู่ ท่านจะกะหนุงกะหนิงกับเจ้าแห่งมารก็ต้องแบ่งเวลาด้วย พวกข้ายังรออยู่ แต่พวกท่านกลับออกมาช้าเหลือเกิน”
“หึ” ซือมั่วแค่นเสียงอย่างเย็นเยียบ สายตากวาดผ่านอย่างเยือกเย็น
ชั่วพริบตา ราชาเทวะเฝินไห่ก็หน้าเปลี่ยนสี ไม่เอ่ยวาจาอีก หลายคนที่เหลือเดิมก็คิดอยากจะระบายอารมณ์ไม่พอใจเล็กน้อย เมื่อเห็นฉากนี้แล้วก็พากันปิดปาก กลํ้ากลืนความไม่พอใจในใจลงไป
หมดหนทาง สู้ไม่ได้
“ข้าเคยรับปากทุกท่านว่าจะนำเคล็ดวิชาเทวะออกมาเปิดเผย แต่ว่าตอนที่ข้าได้เคล็ดวิชาเทวะมา เคล็ดวิชาเทวะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับปัญญาเทวะของข้า ตังนั้นทุกท่านจึงทำได้เพียงมองดูผ่านข้า” มู่ชิงเกอกล่าว
“ทำเช่นนี้หากท่านวางอุบายในนั้น พวกข้ามิใช่จะถูกหลอกหรือ” ราชาเทวะซุยชิงขมวดคิ้วกล่าว
มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ เบนสายตามองเขา “เชื่อหรือไม่เชื่อ ดูหรือไม่ดู ล้วนขึ้นอยู่กับพวกท่าน หากไม่เชื่อในตัวข้าหรือห่วงหน้าพะวงหลัง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่สู้ ออกไปเสียตอนนี้”
เมื่อนางพูดจบ ราชาเทวะหลายคนก็มองตากันปราดหนึ่ง ส่งสายตาให้กัน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ยอมจากไปแบบนี้
ผ่านไปครู่หนึ่ง เห็นทุกคนสงบนิ่งลงแล้ว มู่ชิงเกอจึงยิ้มกล่าว “ดูท่าแล้ว ทุกคนยังคงเชื่อใจข้าเป็นอย่างยิ่ง”
พูดจบ นางก็ไม่พูดไร้สาระอีก ยิงแสงทองหนึ่งสายออกมาจากหว่างคิ้ว ตกลงกลางตำหนัก
ชั่วพริบตา ในแสงทองเหล่านั้นก็มีรูปภาพแต่ละรูป และยังมีอักษรอีกจำนวนหนึ่งปรากฎขึ้นมา