ตอนที่ 957
อวสานบทกลาง
‘เจ้านาย รอข้า เหมิงเหมิงมาแล้ว’
ในแผ่นดินเทพมาร เขาลูกใหญ่ที่ลอยอยู่หนึ่งลูก ระเบิดฉากกำบัง ช่องว่างออกอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปยังหลินชวน
ซือมั่วยืนอยู่บนพื้น เหนือศีรษะ ไม่มีเก้าชั้นฟ้าแล้ว
‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์เจ้าต้องรักษาตัวให้ดี’ ซือมั่วกล่าวหนึ่งประโยคในใจ เขายกมือโบก ในรอยแตกช่องว่างมีคนผู้หนึ่งกระโดดลงมา คือราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย
“เหตุใดเจ้าต้องให้ข้าอยู่ที่นี่” ในตาหงส์ของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
“เพราะว่าข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า” ซือมั่วกล่าวเสียงเรียบ
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยมองเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าน่าจะรู้ว่า ทำเช่นนี้หมายถึงอะไร เจ้าตัดใจจากนางได้หรือ”
“ตัดไม่ได้” ซือมั่วกล่าวตามจริง
“เช่นนั้นก็ให้ข้าไปแทน” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยกล่าวเสียงดัง
แต่ซือมั่วกลับแค่นเสียงหึอย่างเหยียดหยาม “เจ้าไปหรือ มีประโยชน์หรือ”
คำพูดเสียดสีประโยคนี้ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยหดลง กล่าวเสียงตํ่า “เจ้าตระหนักรู้ถึงขั้นนั้นแล้วใช่หรือไม่”
มุมปากซือมั่วยกขึ้นเบาๆ “ตอนที่อยู่ในแสงแห่งวิถี ข้าก็ตระหนักได้แล้ว หากข้ายินยอม ตอนนั้นก็สามารถทำลายความว่างเปล่า เข้าสู่ขั้นนั้นได้”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้า…” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยขมวดคิ้วกล่าว
ดวงตาทั้งคู่ของซือมั่วหรี่ลงเล็กน้อย เก็บรอยยิ้มมุมปากลง “ตอนนี้ บอกเจ้าไปก็ไม่เสียหาย เมื่อเข้าสู่ขั้นนั้นแล้ว ภายในหนึ่งเดือนก็ต้องบินขึ้นไปยังโลกใบหลัก”
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยมองซือมั่วอย่างตกตะลึงใจ
ซือมั่วยิ้มกล่าว “เผ่าฝูจ้องมองตาเป็นมันอยู่ หากข้าจากไป ใครจะมาปกป้องเสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้าหรือ” ขณะที่เขาพูด แววตาก็เหยียดหยาม กวาดมองราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยปราดหนึ่งด้วยความโอหัง
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยไม่ได้ถูกยั่วโมโห พูดเพียงหนึ่งประโยค “เทพมารผูกสัมพันธ์เป็นการฝืนชะตาดังคาด ไม่อาจมีผลลัพธ์ที่ดีได้”
ในดวงตาซือมั่วสาดยิงไอสังหารออกมา มองเขาอย่างเย็นชา “หากไม่ใช่ว่าทิ้งเจ้าไว้แล้วมีประโยชน์ ประโยคนี้ก็เพียงพอให้ข้าฆ่าเจ้าได้ร้อยครั้ง”
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยหัวเราะเยาะครู่หนึ่ง ไม่ได้โต้เถียงเขา
ซือมั่วกล่าว “ตอนนี้ พวกเราต้องชิงโอกาสนั้นมาให้ได้ หากช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย เสี่ยวเกอเอ๋อร์กลับมาได้ทันเวลา ทุกสิ่งก็จะกลับสู่สภาพเดิมได้ หากทำไม่ได้ ก็ทำได้เพียงอาศัยข้า ถึงตอนนั้น คนที่สามารถขัดขวางไม่ให้นางทำเรื่องโง่เง่าได้ ก็มีเพียงเจ้า อย่างน้อย เจ้าก็มีฝีมือต่อสู้ พอๆ กันกับนาง”
“นี่ไม่ใช่งานที่ดี” ตาหงส์ของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยหรี่เบาๆ
“เจ้าไม่มีทางเลือกอื่น” ซือมั่วพูดจบก็หมุนตัวหายไปจากหน้าเขา
หน้าขบวนทัพเทพมาร กองทัพที่ทอดยาวไม่ขาดสาย นับได้ไม่ถ้วน เตรียมตัวออกทัพเรียบร้อยแล้ว ซือมั่วลงมาจากฟ้า ปรากฎตัวอยู่ ตรงหน้าพวกเขา
“เจ้าแห่งมาร”
“เจ้าแห่งมาร”
“องค์ราชา”
“องค์ราชา”
วินาทีนี้ไม่ว่าจะเป็นเผ่าเทพหรือเผ่ามารต่างก็คุกเข่าอยู่หน้าซือมั่วทีละคน
ซือมั่วไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว แต่กลับพุ่งตรงไปยังรอยแตกเหล่านั้น สองมือดูดพลังเข้ามา ฉีกรอยแยกออกเป็นสองฝั่ง
ในขณะเดียวกัน ราชาเทวะ เจ้าเมืองย่อยที่เตรียมตัวเรียบร้อยอยู่นานแล้ว ก็พากันออกมือ ฉีกช่องว่าง
ชั่วขณะ พายุหมุนหนึ่งกลุ่มก็ม้วนเข้าไปในรอยแยก แผ่นดินเทพมารสั่นไหวขึ้นมาอย่างแรง
ไม่เพียงแต่มัน โลกของแผ่นดินเทพมารทั้งหมดต่างก็เกิดความรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มแผ่นดินทลายชนิดหนึ่ง ท้องฟ้าเหนือศีรษะพวกเขา ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงที่อึมครึม
ในโลกอีกใบหนึ่ง เผ่าฝูยังคงควบคุมให้โลกใบเล็กปะทะหลินชวนอยู่
แต่ว่า แผ่นดินหลักของพวกเขา กลับสั่นไหวขึ้นฉับพลัน
ราชินีเผ่าฝูที่ยกมุมปากยิ้มเยาะ พลันหน้าเปลี่ยนสี กล่าวถามเสียงเฉียบขาด “เกิดอะไรขึ้น”
“องค์ราชา คนของแผ่นดินเทพมารเหล่านั้น ฉีกรอยแยกออกแล้ว คล้ายกับต้องการจะบุกรุกพวกเรา” มีสายลับมารายงานทันที
ราชินีเผ่าฝูยิ้มเยาะ กล่าวอย่างเหยียดหยาม “อาหารก็คิดจะต่อต้านหรือ”
พูดจบ นางก็บัญชากองทัพ ละทิ้งการบุกทะลวงหลินชวน เปลี่ยนทิศทางกองทัพ มุ่งตรงไปยังรอยแยกใหญ่
ในเมื่อเหล่าอาหารเปิดทางมาตายเอง นางจะเสียมารยาทปฏิเสธความหวังดีครั้งนี้ได้อย่างไร
ครืนนน
บนแผ่นดินหลินชวน ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยความเสียหาย แตกละเอียด พายุหมุนยังคงทำลายล้าง ลูกไฟลูกเห็บทำลายภูเขาแม่น้ำเป็นวงกว้างนับไม่ถ้วนแล้ว
ทันใดนั้น การสั่นสะเทือนของหลินชวนก็หยุดชะงัก
เสียงปะทะที่ราวกับฟ้าร้องก็หายไปแล้วเช่นกัน
มู่ชิงเกอเงยหน้าช้าๆ มองท้องฟ้า ดวงตาสะท้อนร่องรอยแตกละเอียดบนฟ้า
ความนิ่งเงียบในวินาทีนี้ทำให้นางรู้ว่า การเคลื่อนไหวฝั่งแผ่นดินเทพมารเริ่มต้นขึ้นแล้ว ส่วนเวลาของนาง ก็เริ่มเข้าสู่การนับถอยหลัง ถ้าหากนางไม่อาจกลับไปยังแผ่นดินเทพมาร สร้างเสถียรภาพให้รากฐาน ก่อนที่แผ่นดินเทพมารจะถล่มทลายได้ เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่นางทำมา ก่อนหน้านี้ การพลีชีพของคนหนึ่งล้านคนในหลินชวนก็จะสูญเปล่า คนทั้งหมดล้วนต้องตายไปพร้อมกัน นี่ไม่ใช่เรื่องของหลินชวนอีกต่อไป
มู่ชิงเกอเก็บสายตากลับมา มองหม้อผลาญสวรรค์ที่ถูกพญาเพลิงปกคลุม
คนล้านคนกลายเป็นโลหิตหนึ่งแอ่ง ผสมเข้าด้วยกัน หม้อผลาญสวรรค์หลอมพวกเขาเป็นเลือดเนื้อจิตวิญญาณภักดีแล้ว
มู่ชิงเกอเหงื่อออก ริมฝีปากแตกระแหง ในดวงตาเหม่อลอย
ท่าทางซีดเซียวเช่นนี้ นางไม่เคยแสดงออกมานานอย่างยิ่งแล้ว ทว่าวันนี้ ความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของนางคล้ายกับสูญเสียไป ไม่สามารถรักษาสภาพซีดเซียวนี้ของนางได้
พลังเทพรวบรวมอยู่ในมือนาง นางเรียกพลังกฎบัญญัติฟ้าดิน พันรอบเทือกเขาตำหนักหลีกง ยกหม้อผลาญสวรรค์ขึ้น
“ดินแดนพังทลาย โลกกำลังจะถล่ม ข้าขอใช้เลือดเนื้อจิตวิญญาณภักดีล้านดวง ฟื้นฟูความเสียหาย ให้แผ่นดินกลับมามีชีวิต ภูเขาแม่น้ำ รวมตัวกันอีกครั้ง แว่นแคว้นมั่นคงตลอดไป ณ บัดนี้”
ตามเสียงของมู่ชิงเกอที่ดังออกมา เลือดเนื้อจิตวิญญาณภักดีในหม้อผลาญสวรรค์ก็พุ่งออกจากหม้อ ขึ้นไปบนท้องฟ้า ที่ตามขึ้นไปด้วยยังมีพญาเพลิงของมู่ชิงเกอ นำเอาพลังกฎบัญญัติที่มู่ชิงเกอเรียกมา หลอมรวมเข้าด้วยกันกับเลือดเนื้อจิตวิญญาณภักดี พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าที่พังทลายของหลินชวน
โลหิตที่มาจากคนนับล้านแผ่ขยายไปในอากาศ ฟื้นฟูท้องฟ้าที่แตกละเอียดร่วมกับพญาเพลิงและพลังกฎบัญญัติ กีดกันพายุหมุน ลูกไฟ ลูกเห็บเหล่านั้นออกไปข้างนอก
ท้องฟ้าที่แตกละเอียดถูกฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง ความเร็วนั้นเร็วอย่างถึงที่สุด ไม่นานก็แผ่ขยายไปทั่วท้องฟ้า สีแดงโลหิตเชื่อมต่อท้องฟ้าเข้าด้วยกัน
ครืนนน
เสียงฟ้าร้องดังสนั่น ท้องฟ้าที่ถูกฟื้นฟูเสร็จแล้ว ตกลงมาเป็นเม็ดฝนห่าใหญ่
เพียงแต่ ที่ต่างไปจากเมื่อก่อนก็คือ นี่คือฝนโลหิต
ฟื้นฟูท้องฟ้าเสร็จแล้ว ก็ต้องฟื้นฟูผืนดิน
ฝนโลหิตเทลงมา กระทบแผ่นดินใหญ่หลินชวน เปลวเพลิง เศษซาก รอยแตกบนพื้นดิน ที่ถูกฝนโลหิตชโลมแล้ว ต่างก็เริ่มฟื้นฟูอย่าง ต่อเนื่อง
เหล่าผู้รอดชีวิตของหลินชวน เงยหน้ามองฝนโลหิตที่ตกลงมาจากท้องฟ้า ความเจ็บปวดที่ไร้สาเหตุชนิดหนึ่ง ขับไล่ความดีใจที่ได้มีชีวิตรอดหลังจากหายนะออกไป
เพราะว่า พวกเขารู้ดีว่านี่คืออะไร
บนยอดเขาตำหนักหลีกง หม้อผลาญสวรรค์อยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ
นางยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ปล่อยให้โลหิตชโลมตัวนาง โลหิตเหล่านี้ ไม่มีกลิ่นคาวเลือด ไหลผ่านร่างนางลงไป ต่างก็เกิดความร้อนผ่าวขึ้นมา
มู่ชิงเกอหลับตาทั้งคู่ เบื้องหน้าปรากฎใบหน้าแต่ละใบๆ
นางร้องไห้ไม่บ่อย แต่ตอนนี้ ต่อให้นางจะอดทนอย่างไรก็ไม่มี ทางหยุดไม่ให้น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาได้
ครืนนน
เสียงฟ้าผ่าที่ผิดปกติเสียงหนึ่ง ทำลายอารมณ์เศร้าโศกของมู่ชิงเกอลงเล็กน้อย
นางลืมตาฉับพลัน มองไปยังทิศทางของทะเลแห่งความจริงด้วยสายตาที่เฉียบแหลม
เก็บหม้อผลาญสวรรค์ลง นางรีบมุ่งหน้าไปยังทะเลแห่งความจริง ตอนที่นางไปถึงก็พบว่าทั่วท้องฟ้าหลินชวน เหลือเพียงที่เดียวที่ยังไม่ถูกฟื้นฟู
และที่ที่ไม่ถูกฟื้นฟูนั้น ก็คือช่องโหว่ที่หลินชวนถูกปะทะครั้งแรก
ช่องโหว่นั้นใหญ่อย่างยิ่ง เลือดเนื้อจิตวิญญาณภักดีคล้ายกับไม่เพียงพอจะฟื้นฟูตรงช่องโหว่ ในความว่างเปล่าที่ดำอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้นคล้ายมีเสียงคำรามของสัตว์ป่าดังออกมา พายุหมุนม้วนเข้าไปไม่หยุด คิดอยากจะฉีกท้องฟ้าออกอีกครั้ง
มู่ชิงเกอใจสั่นขณะนี้ในมือนางไม่มีส่วนประกอบหลอมศาสตราอื่นๆ แล้ว จะหลอมหินอุดฟ้า ปิดช่องโหว่ได้อย่างไร
จะทำอย่างไร
พลังที่ปะทะครั้งแรกนี้ใหญ่เกินไปจริงๆ เกินกว่าการคาดการณ์ของนาง เลือดเนื้อจิตวิญญาณภักดีไม่มีทางฟื้นฟูได้เลย
ในขณะที่มู่ชิงเกอหมดทนทางแก้ไขปัญหา เสียงที่นางคุ้นเคยเสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ
“เจ้านาย เจ้านาย เหมิงเหมิงมาแล้ว เหมิงเหมิงมาแล้ว”
มู่ชิงเกอหันกลับไปมอง มองเห็นเขาลูกหนึ่งทะลุอากาศเข้ามาทางนางอย่างรวดเร็ว เขาลูกนั้น นางคุ้นตาอย่างถึงที่สุด เพราะว่านางหลอมขึ้นมากับมือ
“เหมิงเหมิง” มู่ชิงเกอกล่าวอย่างตกใจ
เหมิงเหมิงตื่นแล้วหรือ
ตอนที่นางต้องการหินอุดฟ้า เหมิงเหมิงก็ตื่นพอดีเช่นนี้หรือ
เป็นถึงอาจารย์หลอมศาสตรา นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าแผ่นดินผืนนี้ในช่องว่างแห่งนี้ไม่มีใครเป็นหินอุดฟ้าของช่องโหว่แห่งนี้ได้เหมาะสมไปมากกว่าเหมิงเหมิงอีกแล้ว
ทว่า ถ้าหากเหมิงเหมิงไปอุดช่องโหว่ ก็เท่ากับว่านางจะถูกขังอยู่ที่นั้นตลอดชีวิต เดิมทีนางยังคิดว่าจะได้หลุดออกจากโลกใบเล็ก ใช้ชีวิตเป็นอิสระได้ แต่ตอนนี้..
ในดวงตามู่ชิงเกอเกิดความขัดแย้ง
ทว่าเก้าชั้นฟ้ากลับพุ่งไปยังช่องโหว่นั้นแล้ว
“เหมิงเหมิง” มู่ชิงเกอสังเกตเห็นแล้ว ยื่นมือคิดจะห้ามปราม
แต่เสียงของเหมิงเหมิงกลับดังออกมาจากเก้าชั้นฟ้า “เจ้านาย ข้ารู้ว่าท่านจะพูดอะไร แต่ว่าได้ทำเพื่อเจ้านาย สำหรับเหมิงเหมิงแล้ว เป็นสิ่งที่มีความสุขที่สุดแล้ว เจ้าแห่งมารบอกว่า เจ้านายต้องการหินอุดฟ้า เช่นนั้นข้าก็จะกลายร่างเป็นหินอุดฟ้า ปิดช่องโหว่แห่งนี้จะได้ช่วยเจ้านายปกป้องหลินชวนตลอดไป”
“เหมิงเหมิง เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่หมายความว่าอย่างไร เจ้าจะหลอมรวมเข้ากับเก้าชั้นฟ้าจนหมด ร่างกลายเป็นภูเขา จิตวิญญาณกลายเป็นหิน ถูกขังอยู่ที่นี่ตลอดไป ออกไปไหนไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว” มู่ชิงเกอกล่าวกับเหมิงเหมิง
เหมิงเหมิงที่มีนิสัยชอบเล่นสนุกเช่นนั้น จะทนความเดียวดายซึ่งไม่มีที่สิ้นสุดนี้ได้อย่างไร
“ข้าทราบ เจ้านาย ท่านอย่าลืมว่าข้าคือใคร แม้ข้าจะเป็นเหมิงเหมิงวิญญาณยุทธภัณฑ์ที่ฉลาดหลักแหลม น่ารักมีไหวพริบที่สุดใต้หล้า แต่ว่าข้ายินดี” เหมิงเหมิงกล่าว
จู่ๆ ข้างกายมู่ชิงเกอก็ปรากฎแสงสีทองเงิน ทวนหลิงหลงฝืนตัวเองออกมากลายร่างเป็นหยวนหยวน พุ่งตรงไปยังเก้าชั้นฟ้า
มู่ชิงเกอไม่ได้ห้าม ยืนอยู่กับที่ ในดวงตาปรากฎความรู้สึกซับซ้อน
หยวนหยวนพุ่งไปข้างหน้าเก้าชั้นฟ้า พึมพำหนึ่งครา “เจ้าเด็กโง่ เจ้าจะทำเช่นนี้จริงๆ หรือ”
“เจ้าเด็กโง่ เจ้าอย่าลืมข้าล่ะ ต่อจากนี้ถ้าเจ้าว่าง ก็มานั่งคุยเป็นเพื่อนข้าด้วย ได้ยินหรือไม่” เหมิงเหมิงกล่าว
หยวนหยวนกัดฟัน ในดวงตาเผยความโศกเศร้า รวมถึงความอาลัยที่ล้นเอ่อ
“ข้าจะไปฆ่าเผ่าฝูแก้แค้นให้เจ้า” หยวนหยวนพูดทิ้งท้ายแล้วจึงกลับมาข้างกายมู่ชิงเกอ
ทว่า เขากลับหันหลังให้ฝั่งนี้ เขาไม่มีความกล้าพอจะมองภาพที่เหมิงเหมิงกลายร่างเป็นหินอุดฟ้า
เสียงร้องไห้ที่อัดอั้น ดังขึ้นข้างกาย ในใจมู่ชิงเกอเจ็บปวด ก้าวออกไปข้างหน้า
“เจ้านาย ข้าพร้อมแล้ว ท่านเริ่มเลย” เหมิงเหมิงกล่าวกับมู่ชิงเกอ พญาเพลิงพลันปรากฎบนปลายนิ้วมู่ชิงเกอ วนเวียนพันรอบ
ครืนนน
มังกรไฟหลายสาย พุ่งออกมาจากมือมู่ชิงเกอ ขณะที่ร้องคำราม ก็พุ่งไปยังเหมิงเหมิง
ถ้าหากตรงหน้ามีแผนที่จักรวาลหนึ่งผืน เช่นนั้นก็จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า แผ่นดินผืนนั้นของแผ่นดินเทพมาร เกิดการลาดเอียงเล็กน้อยแล้ว
คล้ายกับว่า ระหว่างโลกสองใบ เข้าใกล้กันและกันด้วยองศาที่บิดเบี้ยวเป็นพิเศษ
เสียงสู้รบที่ทะลุผ่านเมฆทมอกแต่ละชั้นๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ในช่องว่างที่ไร้ชื่อแห่งหนึ่ง กำลังเปิดฉากสงครามใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในสนามรบ แยกฝักฝ่ายไม่ออกแล้ว เหลือแต่เพียงการเข่นฆ่ากันและกัน
ท่ามกลางการสู้รบที่ดุเดือด เกินจากจินตานาการของคนทั้งหมด
บนพื้นดิน มีศพเทพมารนับไม่ถ้วนนอนอยู่แล้ว
ส่วนคนเผ่าฝูเหล่านั้น คาดไม่ถึงว่าหมอบอยู่บนพื้น กัดแทะศพของเผ่าเทพมาร
บนท้องฟ้า เทพมังกร ราชาเฟิ่ง สู้รบร่วมกัน บนพื้นดินสัตว์อสูรก็ สงเสียงร้องคำรามที่ดุร้ายออกมา เผ่าภูติภูเขา ลูกธนูทุกๆ ดอกที่ยิงออกไป ต่างก็กวาดล้างชีวิตของคนเผ่าฝูหนึ่งคน
วิธีการโจมตีของพวกเขา ทำให้คนเผ่าฝูไม่ทันระวังตัว คนเผ่าฝูจำนวนมากขึ้นต่างก็พ่ายแพ้อยู่ในน้ำมือพวกเขา
ราชินีเผ่าฝูเดินออกมาจากม่านทองแล้ว มองดูศึกใหญ่ที่วุ่นวาย นางไม่ร้อนใจแม้แต่นิดเดียว
ในกองทัพเผ่าฝู มีตัวประหลาดที่ไม่เคยเห็นเพิ่มขึ้นมาอีกสองตัว พวกเขาคล้ายกับใช้แผ่นดินเป็นขาทั้งคู่ ร่างกายใหญ่ยักษ์ราวกับภูเขา มีศีรษะที่ใหญ่โต ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ หว่างคิ้วของพวกเขามีอักขระอยู่ด้วยเช่นกัน
สีของอักขระนี้ เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก จะสีทองก็ไม่ทอง จะสีแดงก็ไม่แดง จะสีเงินก็ไม่เงิน จะสีดำก็ไม่ดำ พูดไม่ถูกว่าเป็นสีอะไร แต่กลับน่ากลัวอย่างถึงที่สุด คาดไม่ถึงว่าสามารถถ่วงเวลาซือมั่วได้ทำให้เขาหมดหนทางจะสนใจสนามรบอื่นๆ ได้
กระทั่ง ตอนที่ราชินีเผ่าฝูผู้นั้นกำลังเผชิญหน้ากับตัวประหลาดสองตัว พวกมันต่างก็เผยความเคารพและยำเกรงออกมาเล็กน้อย
ในเผ่ามังกร ยังมีเงาร่างที่ต่างจากมังกรตัวอื่นๆ สองเงา หนึ่งตัวคืออสรพิษกลืนสวรรค์อีกหนึ่งตัวคือจิ้งจอกมังกร
สงคราม ไม่รู้ว่าดำเนินไปนานเท่าไรแล้ว จำนวนการตายก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนเผ่าฝู ตลอดมาก็ติดขัดไม่ไปไหน ตั้งแต่ต้นจนตอนนี้ก็ไม่มีทางก้าวเข้าไปในแผ่นดินเทพมารได้แม้แต่ก้าวเดียว จุดๆ นี้ทำให้ราชินี เผ่าฝูไม่พอใจอย่างยิ่ง
คิ้วนางขมวดมุ่น คล้ายกำลังครุ่นคิดแผนรับมือ
ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งสายก็เฉียดผ่านหน้านางไป ร้องเสียงดังหนึ่งครา หายตัวไปแล้ว
ในดวงตานางปรากฎความดุร้าย หันมองทิศทางที่คนเผ่าฝูเฉียดผ่านอย่างรวดเร็ว แต่กลับเผชิญหน้ากับอินเล่อที่ยกคันธนูยิงพอดี
คนหนึ่งคือราชินีเผ่าภูติภูเขา อีกคนหนึ่งคือราชินีเผ่าฝู สายตาทั้งสองต่างปะทะกันอย่างดุเดือดในอากาศ
ทันใดนั้น หว่างคิ้วราชินีอักขระก็ยิงแสงทองหนึ่งสายออกมา ยิงไปยังอินเล่อด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด ตอนนี้อินเล่อไม่มีลูกธนูแล้ว นางมองเห็นแสงทองพุ่งมาที่ตนในมือก็รวบรวมธนูออกมาใหม่ทันที
ทว่า ลูกธนูในมือนางยังรวมตัวกันไม่เสร็จ แสงทองก็มาถึงข้างหน้านางแล้ว
ในแสงทอง พลังทำลายล้างที่ซ่อนอยู่ ทำให้นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ไร้เรี่ยวแรงราวกับตกลงในบ่อโคลนลึกชนิดหนึ่ง
แสงทองโจมตีหน้าอินเล่ออย่างจัง นางพ่นโลหิตสดคำใหญ่ออกมา ร่างกายกระเด็นลอยไปข้างหลัง
“อินเล่อ!” อินเจวี๋ยอีกฝั่งหนึ่งมองเห็นฉากๆ นี้ร้องตะโกนแทบขาดใจออกมา
โห่วที่กำลังเข่นฆ่าอยู่บนพื้นดินได้ยินเสียงตะโกนนี้ก็เงยหน้าขึ้น ตามจิตใต้สำนึก มองเห็นฉากที่อินเล่อตกลงมา
“โฮกกก”
ร่างที่ราวกับแตกละเอียดของอินเล่อกระตุ้นความรู้สึกโห่ว ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงกํ่าในชั่วพริบตา ส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธ ฝ่ามือหนึ่งตบอักขระกลางหน้าผากคนเผ่าฝูที่สู้รบกับเขาแตก หมุนตัว ทะยานไปหาอินเล่อ
กลางอากาศ โห่วใช้หลังรับอินเล่อที่ตกลงมา พานางออกไปที่ขอบสนามรบ…
“อินเล่อ!”
โห่วกลายร่างเป็นคนอุ้มอินเล่อไว้ในอ้อมอก มุมปากนางมีโลหิตไหลออกมาไม่หยุด
ความหวาดกลัว ความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อน ปะทุออกมาจากจิตใจบรรพบุรุษสัตว์อสูรดวงนี้ของเขา
“แค่กๆ” อินเล่อไออย่างแรง เมื่อเปิดปากก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
โลหิตนี้ข้นอย่างยิ่งคล้ายยังมีสิ่งอื่นปะปนอยู่ด้วย
แววตาโห่วหดลง จับข้อมือของอินเล่อไว้ เขาส่งปัญญาเทวะของตนเข้าไปในร่างนาง แต่กลับพบว่าภายในร่างกายของนาง ถูกพลังทำลายล้างกลุ่มนั้นโจมตีจนแหลกสลายแล้ว
“อย่ากลัว ข้าจะพาเจ้าไปหาอาจารย์ปรุงยา” โห่วกล่าวจบก็อุ้มอินเล่อไว้ในอ้อมอก ทอดมองไปรอบด้าน
ตอนแรกที่มู่ชิงเกอสยบอาจารย์ปรุงยาบนเขาเปิ่นเฉ่าเซียน ก็เพื่อที่จะรักษาชีวิตให้ได้มากที่สุดในสงครามใหญ่กับเผ่าฝู ลดความเสียหายของแผ่นดินเทพมาร
นางเป็นราชาเทวะ นางเป็นเทพโอสถ ล้วนทำได้ไม่เลว แต่ว่า ในขณะเดียวกันนางก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญตบะที่ท้าทายสวรรค์ไม่หยุดหย่อนไม่เพียงแต่เดินออกจากวงโคจรของตัวเอง แต่ยังไม่ยอมพ่ายแพ้คนหนึ่ง
สุดท้ายแล้ว นางก็ไม่ใช่เทพสร้างโลกที่ควบคุมความเป็นความตายของสรรพสิ่ง
ดังนั้น ตั้งแต่ต้น นางไม่เคยคิดว่าจะอาศัยแรงของตนผู้เดียวเพื่อช่วยชีวิตทั้งหมด นางไม่มีความคิดวีรบุรุษเช่นนั้น ที่นางคิด แต่ไทนแต่ไร ล้วนเป็นการหลอมรวมพลังทั้งหมด คว้าโอกาสแห่งชัยชนะเอาไว้ให้จงได้
นางจึงถือโอกาสสยบอาจารย์ปรุงยาบนเขาเปิ่นเฉ่าเซียนเสียตั้งแต่แรก
มิเช่นนั้น ศึกในวันนี้นางมิอาจแยกร่างทำหลายสิ่งพร้อมกัน ผู้บาดเจ็บในสนามรบฝั่งนี้จะพึ่งพาใคร ทำได้เพียงนอนรอความตายงั้นหรือ
“อาจารย์ปรุงยา! รีบช่วยนาง!”ในที่สุดโห่วก็หาอาจารย์ปรุงยาท่านหนึ่งเจอ เขายกขาถีบทหารเผ่าฝูสีแดงหนึ่งคนออกไป เหยียบอักขระที่หว่างคิ้วเขาแตกละเอียด อุ้มอินเล่อวิ่งไปตรงหน้าเขา บนใบหน้าที่เคร่งขรึมและดุร้าย เต็มไปด้วยการวิงวอน
อาจารย์ปรุงยาไม่เมินเฉย ตรวจร่างกายให้อินเล่อทันที
หลังตรวจเสร็จ อาจารย์ปรุงยาก็ส่ายหน้ากล่าวท่ามกลางแววตาที่เฝ้ารอของโห่ว “ไม่มีวิธี ราชินีถูกพลังนั้นทำร้าย พลังชีวิตขาดแล้ว เว้นเสียแต่ว่าจะใช้ราชันย์โอสถจอมเทพ แต่ว่าราชันย์โอสถจอมเทพถูกเทพโอสถพกติดตัวไว้ สนามรบใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าเจ้ายังไม่ทันได้หานางเจอ ราชินีก็คงจะ…”
“เจ้าพูดอะไร!” โห่วตะคอก
เสียงคำรามของเขา ทำให้อาจารย์ปรุงยาตกใจจนถอยไปข้างหลัง ทั้งยังขู่ให้เผ่าฝูที่วิ่งเข้ามาโจมตีทางฝั่งนี้ถอยออกไป
“พี่ใหญ่ข่ง” อินเล่อเรียกโห่วด้วยเสียงอ่อนแรง
มือของนาง คว้าเสื้อของเขาไว้แน่น ดึงลงเบาๆ
อารมณ์ของโห่วสงบลง เขาหลุบตามองอินเล่อ กล่าวกับนาง “อินเล่อเจ้าจะต้องไม่เป็นอะไรข้าจะพาเจ้าไปหาราชันย์โอสถจอมเทพ”
“ไม่ต้องลำบากแล้ว อาจารย์ปรุงยาพูดถูก สนามรบใหญ่เพียงนี้ การเข่นฆ่าซ่อนอยู่ทุกสารทิศ เจ้าจะหาราชันย์โอสถจอมเทพเจอที่นี่ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ราชันย์โอสถจอมเทพมีเพียงเม็ดเดียว ให้ข้ากินแล้ว หากมีคนบาดเจ็บอีกจะทำอย่างไร” อินเล่อเผยรอยยิ้มที่อ่อนแรงออกมา
นางในตอนนี้อ่อนแอราวกับบุปผาที่กำลังจะโรยราหนึ่งดอก
“ข้าไม่สน! คนอื่นจะอยู่หรือตาย เกี่ยวอะไรกับข้า!” โห่วกล่าวด้วยความโกรธ
ประโยคนี้ทำให้อินเล่อยิ้มกว้าง รอยยิ้มเปล่งปลั่งมากกว่าเดิม “พี่ใหญ่ข่ง พวกเรามาคุยกันเถอะ”
“รักษาก่อน มีอะไรพวกเราค่อยพูดกันทีหลัง” โห่วส่ายหน้ากล่าว
“ข้ากลัว ข้ากลัวว่าหากยังไม่พูดก็จะไม่มีโอกาสแล้ว” ในแววตาอินเล่อมีความวิงวอนพรั่งพรูออกมา
ท่าทางเช่นนี้ของนาง ทำให้โห่วปฏิเสธไม่ลง
เขากอดนางอยู่ที่ขอบสนามรบ ขอเพียงแค่ความเงียบสงัดในวินาทีนี้ที่ไกลๆ อินเจวี๋ยรู้ว่าอินเล่อได้รับบาดเจ็บ แต่กลับถูกสงครามอันหนักหน่วงขัดขวางอยู่ เข้าใกล้ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะร้อนใจดั่งไฟสุมทรวง แต่ก็อับจนหนทาง
“อินเล่อ เจ้าจะพูดอะไร” โห่วจ้องมองนางแล้วกล่าวถาม
อินเล่อเผยรอยยิ้ม เพียงแต่ในซี่ฟันของนางกลับทิ้งคราบเลือดที่บาดตาเอาไว้ทำให้หัวใจของโห่ว ราวกับมีคนใช้คมมีดคว้าน
“พี่ใหญ่ข่ง อันที่จริงแล้วแบบนี้ก็ดี ท่านดูข้าสิ แม้ว่าจะเป็นราชินีเผ่าภูติภูเขา แต่กลับไม่อาจอยู่ด้วยกันกับท่านได้จริงๆ เมื่อข้าตายแล้ว กลับชาติมาเกิดใหม่ กลายเป็นมนุษย์ที่มีเลือดมีเนื้อ แล้วค่อยมาหาท่านใหม่ดีหรือไม่” อินเล่อซบโห่ว กล่าวเสียงเบา
เสียงของนางไพเราะอย่างยิ่ง โห่วมักจะบอกว่า ฟังนางพูดก็เหมือนกำลังฟังนางร้องเพลง
แต่ว่า ตอนนี้ประโยคนี้ที่นางพูดกลับทำให้ในลำคอของโห่วทนไม่ไทวจนอยากจะร้องออกมา เขาอยากพูดกับอินเล่อ แต่ว่าความรู้สึกที่อัดอั้นชนิดนั้นกลับจุกอยู่ในลำคอเขา ทำให้เขาพูดไม่ออก
“รับปากข้าได้…” อินเล่อยังพูดไม่ทันจบ พลังชีวิตก็ถูกตัดขาด
โห่วพยักหน้าอย่างสุดชีวิต กอดอินเล่อไว้ในอ้อมอกแนบแน่น ลำคอแดงกํ่า เส้นเลือดดำปูดขึ้นมาแล้ว เขาเงยหน้า ปากที่ถูกสักเปิดออกกว้าง
“โฮกกก!”
เสียงคำรามที่ดังราวกับฟ้าผ่า แต่กลับเจ็บปวดจนทำให้คนสะเทือนใจ ดังขึ้นไปบนฟ้าเหนือสนามรบ
เมื่อได้ยินเสียงๆ นี้ มือของอินเจวี๋ยก็สั่นระริก ในดวงตาสีเขียวอมดำ มีความเศร้าโศกปรากฎขึ้นมา ทันใดนั้น เขาก็เก็บซ่อนความเศร้า แววตาเด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้น
“โฮกกก!” โห่วเผยร่างเดิมอีกครั้ง เขาแบกอินเล่อไว้บนหลัง วิ่งพุ่งไปยังราชินีเผ่าฝู
ความอาฆาตที่สาดยิงออกมาจากดวงตาสีทอง แทบจะเผาไหม้ฟ้าดินได้
ทว่า เขาพึ่งจะวิ่งไปได้ครึ่งหนึ่งก็รู้สึกว่าหลังเบาลง ร่างของอินเล่อกลายเป็นแสงสว่างสีเขียวอมดำหนึ่งสายสลายไป ผลภูติที่มืดสลัวไร้แสงหนึ่งเมล็ด กลิ้งตกลงมาจากหลังเขา ตกลงตรงหน้าเขา
โห่วยืนอยู่กับที่ ก้มหน้ามองผลภูตินั้น
ในผลภูตินี้ไม่มีคลื่นพลังงานใดๆ ในดวงตาโห่วมีน้ำตาหนึ่งหยด ร่วงลงมาตกลงบนผลภูติ เขากลืนผลภูติเข้าไปในท้องวิ่งไปหาราชินีเผ่าฝูอีกครั้ง
“หึ ไม่รู้จักเจียมตัว” ราชินีเผ่าฝูกวาดตามองโห่วด้วยรอยยิ้มเยาะ
ทันใดนั้น อักขระสีทองกลางหน้าผากนางก็ยิงแสงสีทองออกไปอีกครั้ง พุ่งไปที่โห่ว
แสงทองประชิดตัวโห่ว หากการโจมตีตกลงบนร่างเขา เขาจะต้องตกอยู่ในจุดจบที่ไม่เหลือทั้งร่างและวิญญาณแน่นอน
ในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย แสงขาวหนึ่งสายก็กะพริบผ่านข้างกายเขาไป
ส่วนท้องของเขา ถูกหางงูของไป๋สี่รัดไว้ ดึงเขาลอยออกไป หลบการโจมตีนี้ได้อย่างหวุดหวิด ทว่า ไป๋สี่กลับถูกคลื่นพลังผลักนางออกไป ร่วงลงบนพื้น กลายร่างเป็นคน
นางหมอบอยู่บนพื้น ยังไม่ทันได้ลุกขึ้น ไห่ถ่านตัวใหญ่ชนิดนั้นของราชินีเผ่าฝูก็กำหมัดทั้งสอง ต่อยลงไปที่นาง
ทันใดนั้น ไป๋สี่ก็รู้สึกว่าตนถูกเงามืดปกคลุม หมัดที่ใหญ่อย่างถึงที่สุดนั้น ทุบลงมาที่นางอย่างแรง
จู่ๆ แสงเงินหนึ่งสายก็แทรกเข้ามาระหว่างนางและหมัดยักษ์ กลายร่างเป็นคน บังหมัดหนักนั้นไว้แทนนาง
“พรูด!” หยินเฉินกระอักโลหิตสดออกมา พ่นลงไปบนกระโปรงของไป๋สี่
บนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา เส้นเลือดดำปูดนูน แววตาดุร้ายในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง เห็นได้ชัดว่า พลังจากหมัดเมื่อครู่มีมากเพียงใด
ไป๋สี่มองเขาอย่างตกตะลึง และในตอนนี้หางจิ้งจอกของหยินเฉิน ก็รัดไห่ถ่านข้างหลัง ม้วนเขาขึ้นมา โยนออกไปไกลๆ
“ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ชอบหน้าข้าหรอกหรือ เหตุใดถึงยังต้องช่วยข้า ข้าไหนเลยจะต้องให้เจ้าช่วย” ไป๋สี่ได้สติขึ้นมาจากความตื่นตะลึง ก่นด่าใส่หยินเฉินโครมๆ
หยินเฉินยกยิ้มเหยเกออกมา กล่าวเพียงหนึ่งประโยค “หากเจ้าตาย ต่อจากนี้ใครจะทะเลาะกับข้าเล่า”
ไป๋สี่ตะลึงงัน
ไป๋สี่ตะลึงงัน แต่หยินเฉินกลับกัดฟัน ลุกขึ้นจากพื้น
เขายืนอยู่หน้าไป๋สี่ ยื่นมือหานางแล้วกล่าว “หากยังไหว ก็ลุกขึ้นมา พวกเราร่วมมือฆ่ามันอีกสักสามร้อยเพลงดาบ!”
ดวงตาไป๋สี่เป็นประกาย แย้มยิ้มให้เขา ยื่นมือเข้าไปในฝ่ามือเขา
หยินเฉินออกแรงดึง ดึงไป๋สี่ให้ลุกขึ้นมาจากพื้น ทั้งสองละสายตามองโห่วที่ถูกไป๋สี่ช่วยไว้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขากำลังเข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่งอยู่ในกลุ่มเผ่าฝู
ไป๋สี่ขมวดคิ้ว ทว่าหยินเฉินกลับกล่าว “ปล่อยเขาเถอะไม่แน่ว่า วันนี้พวกเราอาจจะต้องตายอยู่ที่นี่ ก่อนตาย ได้ฆ่าอย่างมีความสุขก็คุ้มค่าแล้ว”
คำพูดนี้ของเขา พูดได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ความหมายในคำพูด กลับหนักอึ้งอย่างถึงที่สุด
ไป๋สี่สูดหายใจเข้าลึก พยักหน้ากล่าว “ดี! เช่นนั้นก็ตั้งใจฆ่าสักครั้ง”
ทั้งสองยิ้มให้กัน วิ่งเข้าไปในสนามรบพร้อมกัน
สนามรบที่นี่ ใหญ่ยิ่งกว่าก้นสมุทรทะเลแห่งความจริง มองไม่เห็นปลายขอบ เผ่าในโลกสองใบ ต่างก็ทุ่มแรงต่อสู้ที่นี่ ดูว่าใครจะได้รับชัยชนะในตอนท้าย
ในสนามรบ มีคนที่มู่ชิงเกอคุ้นเคย อย่างเช่นจวงซาน เซียนสุ่ย เหยาชิงไห่ ซีเซียนเสวี่ย จีเหยาฮั่ว อิ๋งเจ๋อ เว่ยมั่วลี่ ถงเถิงเป็นต้น…และยังมีคนที่นางไม่รู้จัก
อย่างที่ถงเถิงพูดไว้ เขาอยากเป็นแม่ทัพกองหน้าของมู่ชิงเกอ ฆ่าศัตรูในสนามรบเพื่อนาง ตอนนี้ กองทัพของเก้าชั้นฟ้าหนึ่งกลุ่มในนั้นก็มีเขานำทัพ แทรกตัวเข้าไปในกองทัพเผ่าฝูราวกับปลายมีด
สนามรบฝั่งนี้กำลังเข่นฆ่าโรมรัน ส่วนหลินชวน การหลอมหินอุดฟ้าก็มาถึงชั้นสุดท้ายแล้ว
แผ่นหลังของมู่ชิงเกอเปียกชื้นทั้งแผ่น ผิวไม่มีสีเลือดหลงเหลือ ขาวจนซีดเซียว นางอยากปกป้องวิญญาณของเหมิงเหมิงไม่ให้ถูกหลอมรวมเข้าไปในหินอุดฟ้ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้หวังว่านางจะมีสักวันที่สามารถหลุดออกจากการกักขังของหินอุดฟ้าได้ ดังนั้นจึงหมดปัญญาเทวะไปมาก
“ลูกพี่…” หยวนหยวนมองนางอย่างเต็มไปด้วยความกังวล
ทันใดนั้น เก้าชั้นฟ้าที่อุดช่องโหว่ไว้ก็เปล่งแสงสีรุ้งออกมา หลอมรวมเข้ากับช่องโหว่
ครืนนน!
หลังเสียงดังสนั่น ฝนโลหิตในหลินชวนก็หยุดลง ทุกสิ่งหยุดชะงัก
ท้องฟ้าที่แตกละเอียดกลับมาเรียบเหมือนเดิม แม่นํ้าภูเขาที่แตกระแหง แผ่นดินที่แตกร้าวต่างก็กลับสู่สภาพเดิม
แสงสีรุ้งสาดกระจายออกไป ในเมฆหมอกคล้ายมีภูเขามายาลูกหนึ่งเพิ่มขึ้นมา นั้นก็คือเก้าชั้นฟ้าของตระกูลมู่ คือเหมิงเหมิง และคือหินอุดฟ้าของหลินชวน!
“เหมิงเหมิง…” หยวนหยวนพึมพำพลางเดินเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เขากล่าวในใจ ‘ข้ารับปากเจ้า เมื่อข้าทำลายล้างเผ่าฝูที่สมควรตายเหล่านั้นกับลูกพี่เสร็จแล้ว ข้าจะมาอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้า’
จบแล้ว
จบแล้วหรือ
จบแล้ว
ชั่วพริบตาที่แผ่นดินหลินชวนกลับสู่สภาพเดิม คนหลินชวนที่ถูกกดทับอยู่ท่ามกลางความสิ้นหวัง ในที่สุดก็เผยความดีใจออกมา
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดี มู่ซงลืมตาฟื้นขึ้นมา ข้างกายเขาคือ ฉินจิ่นเฉินที่ฟื้นขึ้นเช่นกัน เขาละสายตามองออกไป มองเห็นคนทั้งหมดที่ตื่นเต้นดีใจ แต่กลับมองไม่เห็นลูกชาย ลูกสะใภ้รวมถึงหลานชาย และ…กองทัพตระกูลมู่ของตน
มู่ซงเงยหน้าด้วยความปวดใจ มองท้องฟ้าที่กลับสู่สภาพเดิม เขากำลังยิ้ม แต่ในใจกลับกำลังร้องไห้
แม่ทัพเฒ่าในสนามรบ ท้ายที่สุดแล้วก็ยังหนีไม่พ้นชะตาอันน่าหดหู่ในบั้นปลายชีวิต
‘เกอเอ๋อร์ ปู่เสียพ่อ แม่ น้องชายของเจ้าไปแล้ว ไม่อาจเสียใครได้อีก เจ้าจะต้องทำให้ดี! ปู่จะรอเจ้ากลับมา’ มู่ซงกล่าวในใจ
ทะเลแห่งความจริง มู่ชิงเกอมองเหมิงเหมิงเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงมองทิศทางของแคว้นฉินนางรู้ว่า ตอนนี้ท่านปู่ต้องการนาง แต่ว่านางทำไม่ได้ เพราะว่าหน้าที่ของนางยังไม่เสร็จ หากนางกลับไปไม่ทัน ทั้งหมดก็จะสูญเปล่า
“ไปกันเถอะ” มู่ชิงเกอกล่าวกับหยวนหยวน ทั้งสองออกจากหลินชวนรีบตามกลับแผ่นดินเทพมาร
ตอนนี้แผ่นดินเทพมาร ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างไรกันแน่
นางเคลื่อนที่อยู่ในช่องว่าง รู้สึกได้ถึงความโกลาหลในช่องว่างแล้ว
‘ใกล้แล้ว เร็วอีกหน่อย ใกล้จะถึงแผ่นดินเทพมารแล้ว’ มู่ชิงเกอกล่าวในใจ
ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งสายก็พลันปรากฎ ขวางหน้านางไว้
มู่ชิงเกอหยุดทันที สายตาหดลง จ้องมองคนที่ขวางหน้านางนิ่ง
คนที่ขวางหน้านาง ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นราชินีผู้นั้นของเผ่าฝู ตอนนี้เสื้อผ้านางขาดหสุดรุ่ย ผมเผ้ากระเซิง แม้แต่อักขระกลางหน้าผากก็คล้ายปรากฎรอยแตก จนตรอกอย่างถึงที่สุด
“เป็นเจ้า!”
‘นางมาปรากฎตัวที่นี่ได้อย่างไร’ หัวใจมู่ชิงเกอบีบแน่น หยวนหยวนกลายร่างเป็นทวนหลิงหลง ถูกนางกุมไว้ในมือ
หรือว่าแผ่นดินเทพ มารฝังนั้นเกิดเรื่องแล้ว
ความคิดนี้ทำให้ดวงตามู่ชิงเกอมีความสับสนแวบขึ้นมา
ราชินีเผ่าฝูหัวเราะอย่างดุร้าย “ฮ่าๆๆๆ! ในที่สุดก็ได้เจอเจ้าแล้ว! ฆ่าเจ้าทิ้งทุกอย่างก็จะจบสิ้น!”
‘หมายความว่าอะไร’ มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว
“พวกเจ้าฆ่าพี่ชายข้า ตอนนี้ก็ยังทำลายเผ่าฝูของข้าอีก! ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ว่าหากเจ้ากลับไปไม่ทัน โลกทั้งหมดของเจ้าก็จะพังทลายเหมือนกับพวกข้าใช่หรือไม่” จู่ๆ ราชินีเผ่าฝูก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็พังทลายไปพร้อมกันเถอะ!”
เมื่อนางพูดจบ อักขระสีทองที่เสียหายกลางหน้าผากนั้นก็โจมตีมาที่มู่ชิงเกอ
ดวงตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอหวาดกลัว นางไม่อยากเปิดศึกกับราชินีเผ่าฝูที่นี่ ไม่ใช่ว่าไม่อยากฆ่านาง แต่นางต้องรีบกลับไปที่แผ่นดินเทพมาร สร้างเสถียรภาพให้รากฐานแผ่นดินเทพมาร
มิเช่นนั้น…
เมื่อคิดถึงคำพูดของราชินีเผ่าฝู ในใจมู่ชิงเกอก็เกิดการคาดเดาทันที
เผ่าฝูต้องแพ้แล้วเป็นแน่ ราชินีผู้นี้ก็ถูกตีจนเกือบตาย ไม่รู้ว่านางหนีออกมาด้วยวิธีใด อีกทั้งยังรู้ความสำคัญในตัวบุคคลนี้ของมู่ชิงเกอ
ดังนั้น นางจึงคิดถึงแผนการที่จะลากแผ่นดินเทพมารให้พังทลายไปด้วยกัน
ขอเพียงแค่ฆ่ามู่ชิงเกอ ขัดขวางไม่ให้นางกลับไป เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสูญหายไปพร้อมๆ กัน
“ฮ่าๆๆๆ!” ความอาฆาตในดวงตาราชินีเผ่าฝูบ้าคลั่งยิ่งขึ้น
มู่ชิงเกอหลบการโจมตีของนาง พลิกมือจู่โจม หลักวิถีที่นางศึกษามาทั้งชีวิต รวมเป็นหนึ่งเดียว พุ่งไปยังราชินีเผ่าฝู
พลังสองชนิด ปะทะกันกลางอากาศ ผลกระทบมหาศาลนั้นสั่นสะเทือนจนเลือดลมมู่ชิงเกอปั่นป่วน
นางถอยหลังติดๆ กัน คิดจะอ้อมหนีไป
แต่ว่า ราชินีเผ่าฝูกลับขวางนางแน่นไม่ปล่อย ปิดทุกทางไปของนาง
สายตามู่ชิงเกอเฉียบขาด นางพุ่งเข้าไป สู้กับราชินีเผ่าฝูระยะประชิด ราชินีเผ่าฝูจะเป็นจะตายก็จะรั้งนางไว้ให้ได้ ดูท่าแล้ว ไม่ฆ่านางให้ตาย ก็ไม่มีทางหลบหนีได้
จิตใจว้าวุ่นปลายทวนของมู่ชิงเกอชี้ตรงไปยังอักขระกลางหน้าผากราชินีเผ่าฝู
ราชินิเผ่าฝูตกใจ หงายหน้าไปข้างหลัง
แต่ว่า ความเร็วของมู่ชิงเกอเร็วยิ่งกว่านาง ร่างนางกะพริบวาบมาอยู่ข้างๆ ราชินีเผ่าฝู ตอนที่นางตกใจ มือข้างหนึ่งก็คว้าผมของนางไว้ ดึงไปข้างหลังอย่างแรง
“กรี๊ดดด!” ความเจ็บปวดที่หนังศีรษะถูกดึง ทำให้ราชินีเผ่าฝูกรีดร้องขึ้นมา
มู่ชิงเกอใช้มือข้างหนึ่งกดศีรษะนางไว้ กระแทกลงไปบนเข่าที่ยกขึ้นของตนอย่างแรง การต่อสู้ที่ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์อย่างสิ้นเชิงนี้ไม่นานนักราชินีก็ถูกตีจนมึนงง
ทันใดนั้น เสียงที่ดังอย่างถึงที่สุดก็ประชิดเข้ามาจากรอบด้าน
มู่ชิงเกอเงยน้าทันที ในดวงตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง…
ท้องฟ้าในโลกแห่งยุคกลาง สีแดงโลหิตนั้นค่อยๆ จางไป
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่กลับมั่นใจได้ว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน
บนแผ่นดินผืนนั้น มีคนที่มู่ชิงเกอรู้จักเช่นเดียวกัน ตระกูลหาน ทางภาคเหนือ สำนักวิถีโอสถทางภาคตะวันออก ตระกูลซางทางภาคตะวันตก รวมถึงเมืองลั่วซิงเฉิง…
ทุกๆ คนที่มู่ชิงเกอรู้จัก ต่างก็เงยหน้าขึ้น มองสีของท้องฟ้าที่แปลกประหลาดนั้น
ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดว่าจะเกิดภัยพิบัติอะไร แต่ว่าตอนนี้ทุกอย่างค่อยๆ กลับคืนสู่ปกติแล้วงั้นหรือ
บางครั้ง ความอ่อนแอก็เป็นโชคดีอย่างหนึ่ง
เพราะว่า พวกเขาไม่มีวันรู้ว่าหายนะที่พวกเขาไม่มีทางเผชิญหน้าได้เหล่านั้นกำลังเกิดขึ้น ซํ้ายังมีคนสละชีพตนเองช่วยเหลือทั้งหมด
บนท้องฟ้า ในมือมู่ชิงเกอยังคงกำผมของราชินีเผ่าฝูไว้อยู่
ส่วนสีหน้าของราชินีเผ่าฝูก็นิ่งงันนางพึมพำกับตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้! มีใครอีก มีใครสามารถขัดขวางได้อีก”
‘แผ่นดินเทพมารมั่นคงแล้ว ประชาชนนับไม่ถ้วนบนจักรวาลขนาดใหญ่นี้ต่างก็ปกป้องไว้แล้ว’ ในสายตามู่ชิงเกอเกิดความประหลาดใจ
ทว่า ตอนที่คำพูดของราชินีเผ่าฝูเข้ามาในหูนาง ความปั่นป่วนรุนแรงหนึ่งกลุ่ม รวมถึงภาพที่มองเห็นในนํ้าพุแห่งอนาคต พลันปรากฎขึ้นมาทั้งหมด
สายตามู่ชิงเกอเด็ดขาด ตอนที่ราชินีเผ่าฝูเสียสมาธิก็โจมตีฉับพลันทุบไปบนอักขระที่เสียหายกลางหว่างคิ้วนาง
ครืนนน!
แสงสว่างแยงตาหนึ่งสายกะพริบวาบ มู่ชิงเกอรู้สึกว่าตนถูกระเบิดออกอีกครั้ง
นางฆ่าราชินีเผ่าฝูแล้ว ส่วนตัวเองก็ตกลงไปอย่างไร้นํ้าหนัก
ทันใดนั้น นางก็ได้ยินเสียงร้องของเฟิ่งหวง
นางพยายามลืมตา สิ่งที่ผ่านเข้ามาในสายตา นางมองเห็นเฟิ่งหวงเก้าสีหนึ่งตัว กำลังบินเข้ามาหาตนในอากาศ ในเสียงร้อง เต็มไปด้วยความร้อนรนและไม่สบายใจ
‘ชูเนี่ยน…’ มู่ชิงเกอร้องตะโกนในใจ ตอนที่ร่างนางจมลงไปข้างล่างก็รู้สึกได้ว่าตนหล่นลงบนหลังของเฟิ่งหวง
เมื่อมู่ชิงเกอลืมตาขึ้นอีกครั้ง นางก็กลับมาถึงแผ่นดินเทพมารแล้ว
ชูเนี่ยนกลับสู่ร่างคน ยืนอยู่ข้างกายนาง
ทว่า ตอนนี้ มู่ชิงเกอกลับไม่สนใจจะพูดกับชูเนี่ยนแม้แต่คำเดียว เพราะว่าภาพที่ปรากฎตรงหน้านาง นางคุ้นตาอย่างยิ่ง นางเคยเห็นมาแล้วสองครั้ง
แต่ว่า ภาพภาพนี้กลับเป็นภาพที่นางไม่อยากเห็นที่สุด
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ มู่ชิงเกอถามตัวเองในใจ
“พวกเขา…” ในใจมู่ชิงเกอบังเกิดความหวาดกลัวที่ไม่มีที่สิ้นสุด หรือไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใด ก็ไม่มีทางแก้ไขจุดจบได้เลย
ตายแล้ว ตายหมดแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น” ชัดเจนว่าเผ่าฝูถูกปราบจนพ่ายแล้ว
มู่ชิงเกอตะโกนถาม
ชูเนี่ยนแสบจมูก กล่าวเสียงตํ่า “เผ่าฝูฟ่ายแพ้จึงวางแผนจะทุบหม้อข้าวจมเรือ ส่วนแผ่นดินเทพมารก็มาถึงขีดจำกัด หากไม่สร้างเสถียรภาพให้ทันเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะถูกพังทลาย”
เบ้าตานางแดงกํ่า กลั้นนํ้าตาในดวงตาเอาไว้จากนั้นจึงกล่าวต่อ “เจ้าไม่อยู่ ทำได้เพียงอาศัยเจ้าแห่งมาร แต่ว่า เขาจะสร้างเสถียรภาพให้แผ่นดินเทพมาร แต่กลับไม่มีทางควบคุมเผ่าฝูที่ตกอยู่ในสภาพบ้าคลั่งได้ พวกเขา…” สายตาของนาง กวาดผ่านศพทั่วพื้น
ในศพเหล่านี้ มีเผ่าเทพ และยังมีเผ่ามาร รวมถึงเผ่าอสูร
ยังมีคนที่มู่ชิงเกอรู้จักอีกจำนวนมาก เพื่อน ผู้ใต้บังคับบัญชา ศิษย์พี่ศิษย์น้องของนาง… นางเข้าใจถึงความรู้สึกในตอนนี้ของมู่ชิงเกอ เพราะว่าบิดาของนางก็อยู่ในนั้นเช่นกัน
“พวกเขาต้องการถ่วงเวลาให้เจ้าแห่งมารจึงพุ่งเข้าไปอย่างไม่คิดหันหลังกลับ”
เมื่อชูเนี่ยนพูดจบ ขาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอก็อ่อนยวบ นั่งลงบนพื้น บนหน้าของนาง ความรู้สึกงุนงงที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน กลับปรากฎขึ้นในวินาทีนี้
นางใจลอย คล้ายไม่เชื่อว่าทุกสิ่งตรงหน้าคือเรื่องจริง
“เป็นข้า…เป็นข้าที่มาช้าไป…” มู่ชิงเกอพึมพำไม่หยุด
เมื่อชูเนี่ยนได้ยิน ก็เรียกสตินางเสียงดังทันที “ไม่ใช่! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า! เจ้าพยายามสุดความสามารถแล้ว เจ้าถูกขัดจังหวะ จึงกลับมาไม่ทัน เจ้าแห่งมารให้ข้าไปบอกเจ้า เรื่องนี้เดิมก็อันตรายอย่างถึงที่สุด มีความหวังเพียงริบหรี่ เจ้าต้องฟื้นฟูหลินชวน แล้วยังต้องกลับมาสร้างเสถียรภาพให้แผ่นดินเทพมาร เป็นหน้าที่ที่ไม่อาจทำสำเร็จได้อย่างสิ้นเชิง”
ซือมั่ว…
ซือมั่ว!
มู่ชิงเกอเงยหน้าอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นยืนซวนเซ วิ่งออกไปข้างหน้า
อารมณ์ในตอนนี้ของนาง ทำให้ชูเนี่ยนเป็นกังวล
ในตอนที่นางคิดอยากจะไล่ตามไป กลับถูกราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยที่จู่ๆ ก็ปรากฎตัวจับไว้ชูเนี่ยนละสายตามองเขา แต่เขากลับกล่าว “ปล่อยนางไปเถอะ”
มู่ชิงเกอวิ่งผ่านมหาสมุทรเลือดภูเขาศพไปตามทาง เมื่อผ่านหน้าคนที่นางรู้จัก นางก็จะหยุดลง จัดร่างของพวกเขาให้เป็นระเบียบ ให้พวกเขานอนสบายยิ่งขึ้น
เมื่อทำเช่นนี้ ความเร็วของนางก็ช้าลง สติก็ค่อยๆ กลับมาสงบนิ่ง เพียงแต่สายตากลับยังคงนิ่งงันเลอะเลือนเล็กน้อย
“ชิงเกอนาง…” ชูเนี่ยนที่ตามอยู่ไกลๆ มองมู่ชิงเกอในตอนนี้กล่าวด้วยความปวดใจ
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเอ่ยปากกล่าว “นางอยากไป แต่ก็ไม่กล้าไป รู้จักนางมานานเพียงนี้ แต่ไหนแต่ไรนางกล้าบุกกล้าลุย ไม่เคยเห็นนางลังเล และหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน”
คำพูดของเขา พูดด้วยความคลุมเครือเล็กน้อย แต่ชูเนี่ยนกลับเข้าใจดี
คนที่ทำให้มู่ชิงเกอหวาดกลัว ลังเล กระทั่งถ่วงเวลาผู้นั้น คือซือมั่ว
แต่ ไม่ว่ามู่ชิงเกอจะไม่อยากเห็นฉากฉากนั้นเพียงใด นางก็ยังคงมองเห็น นางมองเห็นเหตุการณ์เดียวกับภาพที่เห็นในน้ำพุแห่งอนาคตแล้ว
ซือมั่วยืนอยู่ตรงหน้านางเช่นนี้หันหลังให้นาง คล้ายกับว่า… กำลังรอนางอยู่
มู่ชิงเกอรู้สึกว่าสายตาของตนพร่าเลือนเล็กน้อย คล้ายถูกอะไรบังตาไว้หัวใจเสมือนถูกคนกรีดทีละนิดๆ ทำให้นางเจ็บปวดเจียนตาย
ในที่สุดนางก็ยังคงเดินไปข้างหน้าซือมั่ว เขายังคงเป็นเหมือนตอนที่จากไป เพียงแต่ดวงตาทั้งคู่ดับสลัวแล้ว พลังชีวิตขาดลงแล้ว
มู่ชิงเกอยื่นมือทั้งคู่ออกไป เพิ่งจะแตะโดนแขนทั้งสองของซือมั่ว ร่างที่สูงตระหง่านท่ามกลางฟ้าดินของเขาก็พลันตกลงสู่อ้อมอกของนาง
น้ำหนักของร่างกาย กดทับจนมู่ชิงเกอนั่งลง แต่ก็ยังกอดซือมั่วไว้ในอ้อมอกแนบแน่นให้ศีรษะของเขาได้พิงอยู่ในอ้อมแขนของตน
“เหตุใดถึงไม่รอข้า เจ้าเคยบอกว่าจะรอข้า” เสียงกระซิบที่ใจลอยของมู่ชิงเกอ เหมือนกับว่านางกำลังพูดกับซือมั่ว
แก้มของนาง ก้มลงบนหน้าผากของซือมั่ว แต่ว่าหน้าผากนั้นกลับเย็นเยียบ นํ้าตาของมู่ชิงเกอ ไหลลงตามหางตา หยดลงบนหน้าซือมั่ว เขาเองก็ไม่รู้สึกตัวแม้แต่นิดเดียว
“เจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่ จึงให้ข้าอยู่ที่หลินชวน เจ้าให้ชูเนี่ยนไปบอกข้า ข้าฟื้นฟูหลินชวนเสร็จ ก็ไม่มีทางมาสร้างเสถียรภาพให้แผ่นดินเทพมารได้ ที่เป็นไปไม่ได้ไม่เกี่ยวว่าข้าจะกลับมาทันหรือไม่ แต่เจ้ารู้อยู่แล้วว่าหินอุดฟ้ามีเพียงชิ้นเดียว ข้าต้องใช้เพื่อฟื้นฟูหลินชวน จึงไม่มีทางไปสร้างเสถียรภาพให้แผ่นดินเทพมารใช่หรือไม่ ดังนั้นเจ้าเลยหลอกข้า วางแผนหลอกข้า ให้ข้าเดินไปตามแผนของเจ้า ให้ข้าหลงเชื่อ ให้ข้าไม่มีทางสังเกตแผนการในนั้นได้เลย”
มู่ชิงเกอกอดซือมั่ว เข้าใจทุกอย่างแล้วว่าอันที่จริงเกิดอะไรขึ้น
หนทางรอดอันน้อยนิดอะไรกันหนทางรอดอันน้อยนิดของแผ่นดินเทพมาร ไม่ใช่นางทั้งสิ้น แต่กลับเป็นเขา
มู่ชิงเกอกอดซือมั่วแน่น เสียงร้องไห้ที่อัดอั้นดังออกมาจากตัวนางรางๆ ความเจ็บปวดที่กดเก็บและผิดหวังชนิดนั้น แผ่ขยายขึ้นมาจากร่างนาง คล้ายกับปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้าน
ชูเนี่ยนกับราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยยืนอยู่ไกลๆ มองนางอยู่
ในสายตาพวกเขา ที่ตรงนั้นคือความสงบนิ่งอย่างถึงที่สุด นิ่งจนทำให้คนรู้สึกถึงความน่ากลัว
ทันใดนั้น ชูเนี่ยนก็สะอื้นหนึ่งครา จับเสื้อของตนแน่นนั่งยองลงไป เสียงสะอื้นดังออกมาจากปากนาง สีหน้าทุกข์ระทม น้ำตาไหลลงมาอย่างซ่อนไม่อยู่ ในแววตาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผิดหวังและเจ็บปวด
“เจ้าเป็นอะไรไป” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยมองนางอย่างประหลาดใจ นั่งลงมาช้าๆ เช่นกัน
ชูเนี่ยนกัดริมฝีปาก ส่ายหน้าช้าๆ เงยหน้ามองทิศทางที่มู่ชิงเกอนั่งอยู่ด้วยสีหน้าซับช้อน ตรงนั้น ยังคงเงียบสงัดอย่างยิ่ง ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมพัด
“ไม่ใช่ช้า” นางพึมพำหนึ่งประโยค
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยสงบนิ่งลง ความเอื่อยเฉื่อยที่เบาบางอ่อนโยนชนิดนั้นในตาหงส์หายไปแล้ว เหลือแต่เพียงความซับซ้อนที่หนักอึ้ง
“ข้ากับชิงเกอ ร่วมเป็นร่วมตายกันมา แต่กลับไม่อาจรู้สึกถึงกันได้แต่ว่าตอนนี้ข้ากลับได้รับผลกระทบจากนาง รู้สึกถึงความเจ็บปวดเจียนตาย คิดดูแล้วก็รู้ว่า นางในตอนนี้แบกรับความเจ็บปวดมากมายเพียงใด” ชูเนี่ยนร้องไห้ไปพลาง กล่าวไปพลาง
นางแยกไม่ออกแล้วว่า นํ้าตานี้ได้รับผลกระทบมาจากความรู้สึกของมู่ชิงเกอ และไม่มีทางควบคุมได้ เป็นเพราะว่านางสงสารมู่ชิงเกอจึงหยุดไม่อยู่
‘นางไม่ยอมร้อง เช่นนั้นก็ให้ข้าร้องแทนนาง’ ชูเนี่ยนกล่าวพึมพำในใจ
“เจ้ารู้สึกถึงอะไรได้อีก” จู่ๆ ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยก็ถามขึ้นมา
ชูเนี่ยนไม่ได้คิดใคร่ครวญถึงเจตนาในประโยคนี้ของเขา กล่าวตอบตามความจริง “รู้สึกได้ว่า…ทุกสิ่งทุกอย่างในใจพังทลายหมดแล้ว สีสันทั้งหมดต่างก็หายไป ราวกับว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไร้ประโยชน์เหมือนกับว่า …สูญเสียเหตุผลที่จะประคับประคองนางให้มีชีวิตอยู่ต่อไป”
ดวงตาทั้งคู่ของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยหดลงอย่างรวดเร็ว ดวงตาคู่นั้น แปรเปลี่ยนไม่มั่นคง
“นางกำลังรู้สึกผิด กำลังโทษตัวเอง” ชูเนี่ยนกล่าวต่อ
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยขมวดคิ้ว จ้องมองทิศทางที่มู่ชิงเกอนั่งอยู่ไกลๆ
“บางครั้ง การมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เป็นโชคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่สิ่งที่ตามมากับโชคดีเช่นนี้กลับเป็นความเจ็บปวดที่ยากจะรับ ชิงเกอเคยพูดว่า วิถีใหญ่ไร้ปรานี จึงได้รับความยุติธรรม ได้อย่างเสียอย่าง ถือเป็นสัจธรรม ก่อนหน้านี้ข้าไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว” ชูเนี่ยนกล่าวพึมพำ
“ได้อย่างเสียอย่าง ได้ความยุติธรรม ได้รับผลสำเร็จ” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยกล่าวเสียงตํ่า เดินไปหามู่ชิงเกอช้าๆ
เจ้าเข้าใจ แต่กลับวางไม่ลง จึงทุกข์ใจ
สายลมสงบนิ่ง พัดผ่านจากผืนดิน พัดเส้นผมของมู่ชิงเกอจนยุ่ง พัดจนแขนเสื้อของนางส่งเสียงหวีดหวิว
นางรู้สึกว่าดวงตาทั้งคู่ของตนแห้งอย่างยิ่ง แม้แต่สายตาก็พร่าเลือนเล็กน้อย
นางไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น คิดเพียงแต่จะนั่งนิ่งๆ กอดซือมั่ว เช่นนี้นั่งลงแบบนี้ไปตลอด
“อามั่ว ตอนนี้เงียบจริงๆ กว่าพวกเราจะมีช่วงเวลาแบบนี้ได้ ทำลายเผ่าฝูแล้ว ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว แต่ว่า เจ้ากลับทิ้งข้า เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรต่ออย่างนี้ เจ้าบอกว่าเจ้ารอมาพันปีหมื่นปี กว่าข้าจะปรากฎตัว ตอนนี้ข้าปรากฎตัวแล้ว เจ้ากลับจากไปแล้ว นี่มันหลักการอะไรกัน เจ้าตื่นขึ้นมาดีหรือไม่…ตื่นขึ้นมา พวกเราไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้น พวกเราไปท่องจักรวาลด้วยกัน เจ้าเคยรับปากข้าแล้วว่าจะหาเจียงหลีเป็นเพื่อนข้า เจ้าตื่นสิ เจ้าไม่ใช่อยากได้ลูกหรือ พวกเรามีลูกกัน มีลูกชายหนึ่งคน เหมือนเจ้า แล้วก็มีลูกสาวอีกหนึ่งคน เหมือนข้า ใครๆ ก็พูดว่า ครอบครัวที่มีทั้งลูกชายลูกสาวสมบูรณ์ที่สุด พวกเราก็มีทั้งลูกชายและลูกสาวเลยดีหรือไม่”
นางร่ายสาธยายเสียงเบา พูดอะไรออกไปบ้าง แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่รู้
ตั้งแต่ที่นางเห็นฉากๆ นี้ ความคิดของนางก็ตกอยู่ในสภาพว่างเปล่า ความรู้สึกและประสาทสัมผัสที่ไม่ค่อยปราดเปรียวของนาง ระเบิดจนหมดสิ้นในวินาทีนี้ทำให้นางเข้าใจอารมณ์ของปุถุชนทั่วไป แต่กลับลิ้มรสความเจ็บปวดของการแยกจากได้อย่างหมดเปลือก
สติสัมปชัญญะอะไร ความแข็งแกร่งอะไร ต่างก็ถูกนางลืมไปหมดทั้งสิ้นแล้ว
“เจ้าไม่ยอมรับจริงๆ” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเดินไปข้างหน้านาง เอ่ยปากทำลายความเงียบสงัดที่นางทำให้ตัวเองจมอยู่ใน ‘บ่อโคลน’
มู่ชิงเกอเงยหน้าช้าๆ ดวงตาที่เย็นฉ่ำคู่นั้น กลับเต็มไปด้วยสีแดงเลือด
ความสงบนิ่งราวเถ้าถ่านที่ดับมอดเช่นนั้น ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยหดลงเล็กน้อย มือทั้งคู่ที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ กำแน่นอย่างไม่รู้ตัว
มู่ชิงเกอมองราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย เห็นชูเนี่ยนที่เดินเข้ามาข้างหลัง เขารางๆ ทว่า ตอนนี้ พวกเขาทั้งสองในสายตาของนาง ต่างก็เป็นภาพอันเลือนราง
“ท่านจะให้ข้ายอมรับอย่างไร” มู่ชิงเกอกล่าวอย่างสงบนิ่ง ภายใต้ความสงบนิ่งนั้น กลับกดพายุฝนมรสุมไว้อยู่
ท่าทางของนางในตอนนี้น่ากลัว เหมือนลูกระเบิดในอุณทภูมิสูง ลูกหนึ่ง ไม่ระมัดระวังเพียงเล็กน้อย ก็อาจจะระเบิดออกได้ระเบิดจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยจ้องมองนาง กล่าวช้าๆ “นี่ไม่ใช่การเล่นแบบเด็กๆ แต่เป็นสงคราม เป็นสงครามของโลกสองใบ เจ้าไม่ตายข้าก็ตาย หากต้องการจะคว้าชัยชนะสุดท้าย การสละชีพและการแลกเปลี่ยนเป็นสี่งที่เลี่ยงไม่ได้ เจ้าเจ็บปวด ข้าเข้าใจ แต่เจ้าไม่อาจจมดิ่งนานเกินไปได้ทำร้ายตัวเองแล้วยังจะทำให้คนที่ทิ้งเจ้าไม่ลงมากมายพียงนี้สบายใจได้อย่างไร”
“อย่ามาพูดเหตุผลเหล่านี้กับข้า!” มู่ชิงเกอตะคอกขึ้นมา “ต้องสละชีพ ต้องแลกเปลี่ยน ดังนั้นจึงต้องพรากชีวิตคนข้างกายข้าไปแต่ละครั้งงั้นหรือ พ่อแม่พี่น้องของข้า กระทั่งมิตรสหาย รวมถึงคนหลินชวนหนึ่งล้านคน ยอมตายเพื่อที่จะฟื้นฟูหลินชวน ท่านให้ข้าเข้าใจ ข้ากลับมาที่นี่ เพื่อน ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าล้วนสู้ศึกจนตาย ท่านให้ข้าเข้าใจงั้นหรือ ตอนนี้ แม้แต่คนรักของข้ายังตายเพื่อแผ่นดินเทพมาร ท่านก็ยังจะให้ข้าเข้าใจอีกหรือ แล้วท่านเล่า ท่านทำอะไรเพื่อโลกนี้บ้าง!”
คำตำหนิของมู่ชิงเกอทำให้ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเจ็บปวดใจ
เขาไม่เคยใส่ใจคำพูดของคนอื่น แต่ว่า คำพูดที่สูญเสียการควบคุมนี้ของมู่ชิงเกอ กลับทำให้เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ถูกเข้าใจผิดนั้นแล้ว เขายอมให้คนทั้งโลกเข้าใจผิด แต่กลับไม่หวังให้มู่ชิงเกอคิดเช่นนี้
“ชิงเกอ เจ้าอย่าพูดแบบนี้ เจ้าแห่งมารให้ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมเข้าร่วมสงคราม” ชูเนี่ยนวิ่งเข้ามาอธิบายกับมู่ชิงเกอ
แต่ว่า มู่ชิงเกอกลับจ้องมองราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยนิ่ง ความเด็ดขาดในดวงตาสีเลือดคู่นั้น กรีดจนแก้มเขาเจ็บปวด
ถูกนางมองเป็นศัตรูเช่นนี้ แม้จะรู้ว่าตอนนี้นางกำลังระบายความเจ็บปวดอยู่ แต่ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยก็ยังคงปวดใจ ความปวดใจนี้ไม่ได้มาจากตัวเอง แต่กลับเป็นเพราะว่ามู่ชิงเกอ
เขาสูดหายใจเข้าลึก เอ่ยปากกล่าว “เขาให้ข้าอยู่ที่นี่ เป็นการชี้ขาด…หากเจ้ากลับมาแล้วเห็นฉากๆ นี้ ตัดสินใจรุนแรงเกินเหตุอะไรขึ้นมา แม้ว่าข้าจะโน้มน้าวเจ้าไม่ได้ แต่ก็ควบคุมเจ้าได้ห้ามไม่ให้เจ้าทำร้ายตัวเอง รากฐานจักรวาลขนาดใหญ่ได้รับความเสียหาย หากคิดจะฟื้นฟู ไหนเลยจะง่ายดาย หากไม่มีอาจารย์หลอมศาสตรา หลอมหินอุดฟ้า ผนึกรากฐาน ก็ต้องมีคนที่ตบะบำเพ็ญสูง ปลดปล่อยตบะบำเพ็ญทั้งหมด ใช้ตัวเองเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน สร้างเสถียรภาพให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนข้า ยังไปไม่ถึงขั้นนั้น แผ่นดินเทพมารทั้งหมด คนเดียวที่สามารถไปถึงขั้นนั้นได้มีเพียงเขา เขาไม่ อยากเลือกเช่นนี้ แต่กลับจำใจต้องทำ เขาไม่ได้ทำเพื่อคนอื่น แต่กลับทำเพื่อเจ้า”
‘รากฐานถูกทำลาย ทุกลำดับชั้นในจักรวาลขนาดใหญ่ ประชาชนทั้งหมดไม่อาจรอดชีวิต ข้าไม่ใช่ผู้ที่เสียสละเพื่อส่วนร่วม ข้าไปเพียงเพราะว่าข้าต้องปกป้องคนที่ข้ารัก แม้ว่าโลกจะพังทลาย ข้าก็สามารถปกป้องให้นางอยู่รอดปลอดภัยได้ ก็เพียงพอแล้ว’
คำพูดของซือมั่ว ดังก้องอยู่ในหูของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย
ตอนนั้น เขาไม่เข้าใจ ไม่เห็นด้วย แต่ว่าตอนนี้ เห็นสภาพของมู่ชิงเกอ รู้สึกถึงความเจ็บปวดของนาง เขากลับสะเทือนใจทันที
ความรักของชายหญิงที่ใครๆ ต่างก็คิดไปเอง หากรักจนถึงขีดสุด ที่แท้แล้วก็สามารถแข็งแกร่งเช่นนี้ได้
ความรักชายหญิงที่ถูกผู้บำเพ็ญเพียรดูถูก ที่แท้แล้วก็ไม่น่าดูถูก เพียงแค่ยังไม่เจอคนที่ลิขิตไว้ในชีวิตผู้นั้น
หลายพันปีก่อน อวี๋หยาตัดขาดจากแดนฮ่วนเยวี่ยเพราะความรัก ถูกตราหน้าว่าหักหลังทรยศ หนีไปไกลแสนไกล
หลายพันปีต่อมา เขา ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย ในที่สุดก็เข้าใจ และปล่อยวางทางเลือกในตอนนั้นของอวี๋หยา
“ทำเพื่อข้าหรือ ข้าเต็มใจตายไปพร้อมกับเขา แต่ไม่ยินดีที่ต้องใช้ชีวิตอยู่โดยไร้จุดหมาย” มู่ชิงเกอหัวเราะเสียงเย็นเยียบ แต่ในใจกลับเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด
ความแข็งแกร่งของซือมั่ว ทำให้นางลืมไปว่า เขาเองก็ต้องเผชิญหน้ากับความตายเช่นกัน
วิถีใหญ่อะไร หลักวิถีอะไร ในวินาทีนี้ทั้งหมดล้วนถูกมู่ชิงเกอโยนออกไปแล้ว หลักของวิถีใหญ่เหล่านี้ เพียงพอจะแลกญาติมิตรของนางรวมถึงคนรักกลับมาได้หรือ
ดวงตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอเป็นสีแดงเลือดขึ้นกว่าเดิม แม้กระทั่งเส้นผม ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงช้าๆ เช่นกัน
“ชิงเกอ!” ชูเนี่ยนร้องตกใจหนึ่งครา
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเองก็ขมวดคิ้ว ร้องตะโกน “มู่ชิงเกอ! เจ้าจะเข้าสู่วิถีมารเลยหรือ หากเจ้าเข้าวิถีมาร เจ้าจะไม่มีวันหันหลังกลับได้อีก!”
มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ “อะไรคือมาร หากเข้าวิถีมารแล้วจะทำให้ข้ามีโอกาสได้คืนชีพพวกเขา เช่นนั้นเข้าวิถีมารแล้วอย่างไร”
“ชิงเกออย่า!” ชูเนี่ยนรีบกล่าว “เจ้ารู้ความแตกต่างระหว่างการเข้าวิถีมารกับเผ่ามารหรือไม่ เผ่ามารมีวิธีบำเพ็ญตบะแตกต่างออกไป แต่เข้าวิถีมาร จะต้องถูกจิตมารควบคุม ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าเจ็บปวดอย่างยิ่ง เจ้าต้องการเลิกล้มทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าคิดก่อนหน้านี้อยากทำลายกฎเกณฑ์ของโลก อยากเอาชนะวิถีใหญ่ ช่วยพวกเขากลับมา แต่ว่าตั้งแต่อดีตมา คนที่เข้าวิถีมาร ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย ทำได้เพียงตกอยู่ในสภาพเสียสติและตายไป”
“เจ้าคิดไม่ออก ก็อย่าเพิ่งไปคิด เจ้าต้องการจะบีบบังคับให้ตัวเองเข้าสู่วิถีมารจริงๆ หรืรอ แม้ว่าเจ้าจะเข้าสู่วิถีมารแล้ว แต่จะสามารถแก้ไขได้งั้นหรือ” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยตะโกนกล่าว
ในเมื่อเขาได้รับการฝากฝังจากซือมั่ว ต้องจับตามองไม่ให้มู่ชิงเกอทำเรื่องโง่เขลา จึงไม่อาจผิดสัญญาได้
โดยเฉพาะ ผิดคำสัญญากับ…คนตาย
เห็นมู่ชิงเกอไม่ฟังคำโน้มน้าว แววตาราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยก็ดุดัน คิดจะโจมตีมู่ชิงเกอ คิดจะตีนางให้หมดสติ ให้นางสงบลง
แต่ว่า มู่ชิงเกอไหนเลยจะถูกควบคุมได้ง่ายๆ
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยโจมตีไปที่นาง นางกอดซือมั่วมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งโจมตีกลับ พลังสองกลุ่มส่งไปหากัน ปะทะกันอย่างรุนแรง นางไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว ทว่าราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยกลับถูกนางผลักออกไปหลายก้าว
ฉากฉากนี้ทำให้ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยกับชูเนี่ยนหน้าเปลี่ยนสีทันที
“พลังของนาง!” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยกล่าวอย่างตกใจ
ชูเนี่ยนขมวดคิ้วมุ่น “นางเข้าวิถีมารแล้ว การเปลี่ยนแปลงของพลังเช่นนี้รุนแรงเกินไป ชิงเกอแข็งแกร่งเพียงใด ในใจท่านกับข้าต่างรู้ดี สติปัญญานางแข็งกล้าเพียงใด ท่านกับข้าก็รู้ ตอนนี้หากนางเข้าวิถีมารก็ทำได้เพียงเปลี่ยนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น อารมณ์รุนแรงยิ่งขึ้น นางจะไม่เชื่อใครอีก ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม จะเชื่อเพียงแต่ตัวเอง ตลอดจนถึงวันที่ทรมานตัวเองจนตาย!”
“ต้องหาวิธีหยุดนาง!” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
สายตาชูเนี่ยนกลอกไปมาครู่หนึ่ง ปรากฎการตัดสินใจขึ้นมา นางกล่าวเสียงตํ่า “ข้ามีวิธี!”
พูดจบ นางก็กลายร่างเป็นเฟิ่งหวงเก้าสีร้องคำรามก้องฟ้าหนึ่งครา บินไปหามู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอเหลือบตามองนาง ในดวงตาที่ดุดัน ไม่มีความใสสะอาดอีก เหลือเพียงความเย็นชาและดุดัน
นางจับชูเนี่ยนไว้พลังที่พ่นออกมาจากฝ่ามือ ดูดเฟิ่งหวงเก้าสีไว้ ชูเนี่ยนส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมาหนึ่งครา
“เจ้าเป็นของข้า มานี่!” มู่ชิงเกอกล่าวเสียงเรียบเฉย ในมือดูดชูเนี่ยน ดึงนางเข้ามาหาตน
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยตกใจ ตอนที่เขาเตรียมจะออกมือ ชูเนี่ยนกลับถ่ายทอดเสียงให้เขา ‘อย่าบุ่มบ่าม นางไม่ทำร้ายข้าหรอก’
ประโยคนี้ขัดขวางจังหวะก้าวของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย มองเฟิ่งหวงเก้าสีถูกดึงลงมาจากท้องฟ้า โผลงไปข้างๆ มู่ชิงเกอ
นางกลายร่างเป็นคนดิ้นพล่านขึ้นมามองมู่ชิงเกอแล้วกล่าว “ชิงเกอ เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้ามีวิธี ข้ามีวิธีทำให้เจ้าแก้ไขทุกสิ่งได้”
ในที่สุดมู่ชิงเกอก็มีการตอบสนอง ดวงตาสีเลือดคู่นั้น แสงสีแดงจางหายไปเล็กน้อย
“วิธีอะไร” มู่ชิงเกอเอ่ยปากถาม เสียงของนางกลับเย็นชาไร้ความรู้สึก
“หวนคืน!” ชูเนี่ยนเอ่ยปากพูดคำสองคำนี้ออกมา
หวนคืน!
ดวงตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอเบิกกว้างอย่างรวดเร็ว ในสมอง ความทรงจำที่ถูกไอดุร้ายปกคลุม ถูกปลุกขึ้นมา
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน หันมองชูเนี่ยน ในแววตาที่ตกใจ เต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย เขากำลังจะเปิดปาก แต่กลับถูกชูเนี่ยนส่ายหน้าห้าม
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า เดิมทีเจ้าแห่งมารสามารถทำลายช่องว่างได้แล้ว” ชูเนี่ยนกล่าวต่อ
“เจ้าว่าอะไรนะ” มู่ชิงเกอกำเสื้อของนางแน่น
ในดวงตาชูเนี่ยนไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่นิดเดียว เพียงแค่ละสายตามองราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย
มู่ชิงเกอทันมองอย่างรวดเร็ว มองราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย แววตาเฉียบคมเยือกเย็น
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเอ่ยปากภายใต้การจ้องมองของนาง “ถูกต้อง เจ้าแห่งมารยอมรับกับข้าด้วยตัวเอง เขาบอกว่า ตอนที่อยู่ในแสงแห่งวิถี เขาก็ตระหนักถึงการทำลายช่องว่าง เข้าสู่กุญแจสำคัญของขั้น บรรพเทพได้แล้ว แต่ว่าเขากลับไม่ทำลาย”
“เพราะเหตุใด” มู่ชิงเกอถามเสียงแหบแท้ง
“เพราะว่า เมื่อทำลายแล้ว เขาจะไม่มีทางอยู่ที่แผ่นดินเทพมารนานเกินไปได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็ต้องถูกบังคับให้ขึ้นไปยังโลกใบหลัก เขาทิ้งเจ้าไม่ลง เขารู้ว่าจะต้องเปิดศึกกับเผ่าฝู ดังนั้นจึงไม่อาจทิ้งเจ้าไปตอนนี้ได้! เขาอยากบรรลุเข้าไปในขั้นบรรพเทพก็เพื่อที่จะได้รับพลังมาปกป้องเจ้าในทุกๆ ด้าน ทากต้องจากเจ้าไป ทำให้เจ้าต้องเผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่างคนเดียว สำทรับเขาแล้ว พลังนี้ก็ไม่มีความหมาย” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยพูดออกมาทั้งหมด
มู่ชิงเกอตะลึงงันไอดุร้ายในดวงตาปรากฎการขัดขืน
ชูเนี่ยนฉวยโอกาสกล่าว “หากเจ้าแห่งมารเข้าสู่ขั้นบรรพเทพ เช่นนั้นการสร้างเสถียรภาพแผ่นดินเทพมารก็จะไม่ลำบากเพียงนั้น และจะไม่ตาย เจ้ารู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว พวกเราใช้คาถาต้องห้ามหวนคืน ย้อนเรื่องราวทั้งหมดกลับไปตอนที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าก็มีโอกาสแก้ไขทุกอย่าง! ดังนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าวิถีมาร ไม่ต้องทิ้งทุกอย่างเพียงเพื่อโอกาสอันน้อยนิดที่เลื่อนลอยนั้น ตรงหน้าก็มีโอกาสแล้วใช่หรือไม่”
“ใช่” หลังจากความเงียบสงัด มู่ชิงเกอก็เอ่ยปากกล่าว สีเลือดในดวงตาทั้งคู่ของนาง จางลงไปหลายส่วน
“มีเพียงเจ้าที่พูดโน้มน้าวเจ้าแห่งมารได้ มีเพียงเจ้าที่ผ่านเรื่องราวทั้งหมดมา ดังนั้นจึงมีเพียงเจ้าที่สามารถหาโอกาสแก้ไขจุดจบได้” ชูเนี่ยนกล่าว
มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ
หากเป็นเช่นนี้จริงๆ นางพาความทรงจำทั้งหมดกลับไปที่จุดแรกเริ่ม ขัดขวางเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น หลินชวนก็จะไม่ถูกทำลาย พ่อแม่ มิตรสหายก็ไม่ต้องใช้เลือดบูชาหลินชวน ซือมั่วเองก็ไม่จำเป็นต้องสละตัวเอง คนทั้งหมดก็ไม่ต้องตาย