Skip to content

พลิกปฐพี 958

ตอนที่ 958

อวสานบทปลาย

“แต่ว่า” ชูเนี่ยนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

ไอดุร้ายที่เพิ่งจะจางหายไปของมู่ชิงเกอ ก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้ง

“เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ” ชูเนี่ยนรีบกล่าว

ดวงตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอหรี่เล็กน้อย สีหน้าเย็นชาจนน่ากลัว มู่ชิงเกอในแบบนี้คือคนแปลกหน้าสำหรับพวกเขา

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากจะหวนคืนมีข้อแลกเปลี่ยนอะไร” ชูเนี่ยนกล่าวถาม

ข้อแลกเปลี่ยนในการหวนคืนหรือ

ในสมองมู่ชิงเกอ ปรากฎภาพสงครามตอนที่หลินชวนในช่องว่างแห่งการทดสอบ ตอนนั้นพลังชีวิตนางขาดลงแล้ว แต่ซือมั่วกลับตัดตบะบำเพ็ญหมื่นปีทั้งใช้คาถาต้องห้ามหวนคืน ทำให้กาลเวลาย้อนกลับ กลับสู้จุดเริ่มต้น

คาถาต้องห้ามนี้ไม่เพียงแต่ตัดตบะบำเพ็ญหมื่นปีของเขาทิ้ง แต่ยังทำให้เขาถูกแรงสะท้อนกลับ ในการถ่ายพลังของเขา ได้ฝังเคราะห์กรรมเป็นตายเอาไว้

“ข้าไม่กลัว” มูชิงเกอเอ่ยปากกล่าว

ในเมื่อต้องตัดตบะบำเพ็ญทิ้งหมดของนาง ต่อให้นางจะต้องตาย ขอเพียงช่วยคนทิ้งหมดกลับมาได้ขอเพียงแก้ไขทุกสิ่งได้นางก็ไม่มีอะไรต้องกลัว

“แต่ว่า ระยะเวลาบำเพ็ญตบะของเจ้าตํ่าเกินไป” ชูเนี่ยนกล่าวต่อ

มู่ชิงเกอเหลือบตาทั้งคู่ขึ้นมองนาง

ชูเนี่ยนกล่าว “แม้ว่าตบะบำเพ็ญเจ้าจะสูงอย่างยิ่ง แต่ระยะเวลาบำเพ็ญของเจ้ากลับตํ่าเกินไป ตบะบำเพ็ญทิ้งหมดของเจ้า บวกกับพลังหมื่นปีที่หลอมได้จากผลภูติ ยังไม่ถึงหนึ่งหมื่นหนึ่งร้อยปีเลย ที่เจ้าต้องหวนคืนคือมิติของแผ่นดินเทพมารทั้งหมด จำเป็นต้องใช้ตบะบำเพ็ญมากกว่านี้”

ตูมมม

คำพูดของชูเนี่ยน ราวกับหินก้อนยักษ์ทุบลงมาบนหัวของมู่ชิงเกออย่างแรง

ตบะบำเพ็ญนางสูงอย่างยิ่ง แต่กลับสั้นเกินไปงั้นหรือ

ตอนนี้ แม้แต่ความสามารถในการหวนคืนมิติยังไม่มี ยังทำไม่ได้

ทว่า ทากนางทำไม่ได้ แล้วชูเนี่ยนจะบอกนางเรื่องนี้ทำไม

“ดังนั้น หากเจ้าคิดดีแล้วจริงๆ ว่าจะทำเช่นนี้ เช่นนั้นก็มีเพียงวิธีเดียวที่สามารถเลื่อนขั้นตบะบำเพ็ญของเจ้าได้” ชูเนี่ยนมองนางแล้วกล่าว

ไอดุร้ายบนร่างมู่ชิงเกอค่อยๆ สงบลงแล้ว

แต่ว่า ที่ปกคลุมอยู่บนร่างนาง ยังคงเป็นไอที่เย็นเยียบ “วิธีใด”

นางบีบคั้นทีละก้าว ส่วนลึกในดวงตาชูเนี่ยนปรากฎให้เห็นความเด็ดขาดและอาลัยที่ซ่อนลึกอย่างถึงที่สุดแวบหนึ่ง นางอยู่ใกล้มู่ชิงเกอเพียงนี้ หากเป็นมู่ชิงเกอเมื่อก่อน ด้วยพลังการสังเกตที่เฉียบแหลม จะต้องมองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในแววตานางอย่างแน่นอน

แต่ว่า มู่ชิงเกอในตอนนี้กลับมองไม่เห็น

นางมองเห็นเพียงความหวังที่ชูเนี่ยนนำมาให้นาง

“วิธีนี้ก็คือ…ฝืนนิพพาน” ในที่สุดชูเนี่ยนก็พูดวิธีของนางออกมา

“ฝืนนิพพานหรือ” ดวงตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอหดลง จ้องมองชูเนี่ยนนิ่ง รอให้นางอธิบาย

ชูเนี่ยนพยักหน้าเงียบๆ เดิมทีนางโผลงไปบนพื้น ตอนนี้ลุกขึ้นนั่งช้าๆ แล้ว มือของนางวางลงบนแขนของมู่ชิงเกอเบาๆ กล่าวเสียงเบา “ชะตาชีวิตเจ้าและข้าเชื่อมต่อกัน ชีวิตร่วมสุข ไฟนิพพานที่จุดขึ้นมาใหม่ สามารถเลื่อนขั้นอายุตบะบำเพ็ญของเจ้าให้สูงขึ้นได้กระทั้งสามารถเพิ่มตบะบำเพ็ญของข้าไว้ในร่างเจ้า เท่ากับว่าจะมีตบะบำเพ็ญสองเท่า เช่นนี้เจ้าก็จะมีตบะบำเพ็ญเพียงพอที่จะทวนคืนมิติ กลับไปส่จุดเริ่มต้น แก้ไขทุกอย่างได้แล้ว”

“แล้วเจ้าเล่า ฝืนนิพพานส่งผลกระทบต่อเจ้าหรือไม่”

ตอนที่มู่ชิงเกอพูดประโยคนี้ออกมา ชูเนี่ยนก็รู้ว่ามู่ชิงเกอที่นางรู้จักกลับมาแล้ว นางยังคงดึงนางกลับมาจากปลายขอบการเข้าวิถีมารได้แล้ว

ชูเนี่ยนเก็บความเศร้าโศกในใจไว้ เผยยิ้มออกมา “ข้าจะเป็นอันตรายอะไรไปได้ เฟิ่งหวงนิพพาน เดิมก็เป็นเรื่องปกติทั่วไป ครั้งนี้เพียงแค่ทำก่อนเวลาก็เท่านั้นเอง”

“เจ้าแน่ใจนะ” ในสายตามู่ชิงเกอ ยังคงดุดันผิดปกติ แต่ว่าไอดุร้ายกลิ่นคาวเลือดชนิดนั้นกลับหายไปแล้ว

ชูเนี่ยนยิ้มกล่าว พยักหน้าอย่างแรง “แน่นอน”

ดวงตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอกลับมาเย็นฉํ่าอีกครั้ง นางจ้องมองชูเนี่ยนอยู่นาน ในที่สุดก็พยักหน้า “ตกลง”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็รอข้าครู่หนึ่ง ข้าจะไปกำชับราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยสักหน่อย ให้เขาปกป้องข้า หลังจากนั้นก็เริ่มนิพพานได้” ชูเนี่ยนกล่าวกับมู่ชิงเกอ

ดวงตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอหรี่ลงเล็กน้อย แววตามีความสงสัยกะพริบวาบ

แต่ว่า คำพูดของชูเนี่ยนไม่มีปัญหาทั้งสิ้น นางหาความผิดปกติใดๆ ออกมาจากนางไม่ได้

นางมองชูเนี่ยนเดินไปหาราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย ทั้งสองกล่าวเสียงต่ำ สีหน้าของชูเนี่ยนสงบนิ่งอย่างถึงที่สุด ไม่เห็นการเคลื่อนไหวที่มากเกินไป

ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ มู่ชิงเกอจึงเก็บสายตากลับมามองซือมั่วที่กอดแนบแน่นอยู่ในอ้อมอกมาโดยตลอด

นางหลุบตาลง จัดผมที่ยุ่งเล็กน้อยให้เขาอย่างอ่อนโยน

“เจ้าจะทำอะไร” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยจ้องมองชูเนี่ยนนิ่ง กล่าวถาม

เขาเข้าใจแผ่นดินเทพมารดี ดีกว่ามู่ชิงเกอมาก เขาอยู่มาหลายหมื่นปี ความลับต่างๆ ที่รู้ก็มากยิ่งกว่ามู่ชิงเกอเช่นกัน

คำพูดของชูเนี่ยน มู่ชิงเกอฟังแล้วไม่เห็นช่องโหว่แม้แต่นิดเดียว

ทว่า เขากลับรู้ดี ทากจะหวนคืนมิติแผ่นดินเทพมารทั้งหมด แก้ไขชะตาชีวิตของคนจำนวนมากเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเพียงนั้นแน่นอน

ชูเนี่ยนยิ้มบางๆ โน้มตัวเข้าไปใกล้ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย กระซิบบอกเขาหลายประโยค ยื่นหินกึ่งโปร่งแสง ข้างในคล้ายมีโลหิตหนึ่งหยด เคลื่อนที่อยู่หนึ่งก้อนไปให้เขา

“ฝากด้วย หากถึงเวลา นางตำหนิตัวเอง ก็เอาของชิ้นนี้ให้นาง ข้ารู้ว่าตบะบำเพ็ญของท่านเข้าสู่จุดสำคัญแล้ว คาถาต้องห้ามหวนคืนไม่อาจลบล้างความทรงจำของท่านได้” ชูเนี่ยนมองราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย ในดวงตาเต็มไปด้วยความอ้อนวอน

ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยพยักหน้าด้วยความลำบาก สีหน้าเคร่งขรึม ในมือเขากำก้อนหินที่ชูเนี่ยนมอบให้ไว้แน่น มองชูเนี่ยนหมุนตัวเดินไปหามู่ชิงเกออย่างไม่คิดหันหลังกลับ

“อามว รอข้า ข้าจะแก้ไขทุกอย่าง ไม่ว่าใครก็ตายไม่ได้” มู่ชิงเกอวางซือมั่วลงเบาๆ กล่าวกับเขา

ชูเนี่ยนเดินไปข้างกายมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองนาง “ข้าพร้อมแล้ว”

ชูเนี่ยนยิ้ม พยักหน้ากล่าว “ดี”

ทันใดนั้น นางก็หยิบสุราสองไห โยนไหหนึ่งใบในนั้นให้มู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยื่นมือรับ มองนางเงียบๆ

“พวกเราไม่ได้ดื่มสุราร่วมกันนานแล้ว หลังนิพพาน ไม่แน่ว่าข้าอาจจะสูญเสียความทรงจำ ก่อนหน้านั้น พวกเราก็มาดื่มกันอีกครั้งแล้วกัน” ชูเนี่ยนกล่าวอธิบาย

มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ เปิดไหสุรา ชนกับชูเนี่ยนเบาๆ เงยหน้าดื่ม

สุราหนึ่งไห เร็วอย่างยิ่งก็ถึงก้นไห

สุรารสแรงไหลผ่านอวัยวะภายในร่างกายของมู่ชิงเกอ แผดเผาโลหิตทั่วร่างของนาง

ชูเนี่ยนดื่มหมดแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใด เจ้าถึงชอบสุราแรงมากเป็นพิเศษข้ายังคงคิดว่าสุราผลไม้เหมาะกับข้ามากกว่า”

“ชินแล้ว” มู่ชิงเกอยกมุมปากเบาๆ เผยรอยยิ้มที่บางจนแทบจะมองไม่เห็นออกมา

ชูเนี่ยนพยักหน้า โยนไหสุราในมือลง กล่าวกับมู่ชิงเกอ “เช่นนั้นพวกเรามาเริ่มกันเถอะ”

หลังจากที่มู่ชิงเกอพยักหน้า นางก็เดินไปข้างหลังมู่ชิงเกอ นั่งลงช้าๆ ยื่นแขนทั้งคู่ออกไป

ในตอนที่แขนทั้งสองของนางสัมผัสมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอก็พลันกล่าว “ชูเนี่ยน หากว่าหลังจากนิพพานเจ้าสูญเสียความทรงจำ ข้าจะตามหาเจ้าให้เจอเป็นสิ่งแรก ให้คนแรกที่เจ้าเห็นตอนที่เจ้าลืมตาขึ้นมา เป็นข้า”

แววตาชูเนี่ยนสั่นไหวน้อยๆ เผยรอยยิ้มที่งดงามออกมา กล่าวเสียงเบา “ตกลง”

นางโอบมู่ชิงเกอไว้ เงาร่างลวงตา กลายร่างเป็นเฟิ่งหวงเก้าสี ปีกที่ใหญ่ยักษ์ปกคลุมมู่ชิงเกอไว้ในนั้น…

กี๊ซ

เสียงร้องของเฟิ่งหวงเก้าสี ดังกึกก้องทั่วฟ้าดิน

ไฟนิพพานปรากฎขึ้นจากร่างชูเนี่ยนฉับพลัน กลายเป็นเปลวเพลิงหนึ่งกลุ่ม ปกคลุมนางกับมู่ชิงเกอไว้ข้างใน

ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยยืนอยู่ไกลๆ มองไฟนิพพาน ความรู้สึกในใจซับซ้อน ยากจะอธิบาย

เคราะห์ร้ายครั้งนี้ เขาเห็นมาเยอะอย่างยิ่ง เยอะอย่างยิ่ง และตระหนักได้มากมายอย่างยิ่งเช่นกัน

จู่ๆ ในวินาทีนั้น เขาก็คล้ายเข้าใจได้แล้ว เหตุใดในช่วงเวลาที่ยืดยาวช่วงนี้ถึงไม่มีใครสามารถออกจากแผ่นดินผืนนี้ได้ไม่มีทางบรรลุสู่ขั้นบรรพเทพได้

ที่แท้แล้ว ตอนที่พวกเขาไขว่คว้าขั้นที่สูงที่สุด ได้ลืมรากฐานไปแล้ว

หัวใจของเขาค่อยๆ กลายเป็นน้ำแข็ง การตระหนักรู้วิถี ทำให้พวกเขาเมินเฉยต่อความรู้สึกแบบปุถุชนทั่วไป ลืมเรื่องที่คนธรรมดาจำนวนมากต่างก็รู้ดี

พวกเขากำลังเสาะหาการบรรลุ แต่กลับไม่รู้ว่าพวกเขาสนใจแต่สิ่งเล็กน้อยจนละเลยสิ่งสำคัญมานานแล้ว

ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามมากเพียงใด ก็ไม่อาจบรรลุได้

“ตัดใจได้ ต้องตัดใจจึงจะได้ เดิมคิดว่าตัดความรู้สึกของมนุษย์ออกไปแล้วก็จะได้รับตบะบำเพ็ญที่สูงที่สุด แต่กลับไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัดออกไปคือ ปณิธานแรกเริ่มที่ได้รับ เป็นเพียงฝนแรกถุดูหนาว ไม่มีทางสัมผัสได้ถึง ตำแหน่งราชาเทวะที่เปลี่ยนไป ยืนอยู่สูงเกินไป บางทีอาจจะมองเห็นทิวทัศน์ที่ไกลอย่างยิ่ง กว้างใหญ่อย่างยิ่ง แต่กลับลืมทัศนียภาพที่อยู่ใกล้ตนที่สุด อยู่ใต้เท้าตน” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยพึมพำเสียงตํ่า

บางที นี่อาจจะเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนของการกลายเป็นยอดฝีมือ

แต่ว่า เขากลับมองเห็นด้านที่ต่างออกไปจากตัวมู่ชิงเกอ

นางต้องการเลื่อนขั้นตัวเองมากกว่าใครๆ นางพยายามไม่หยุดมาโดยตลอด ไม่ยอมพลาดโอกาสใดๆ ก็ตาม ต่อให้จะต้องเลือกระหว่างความเป็นความตาย นางก็ไม่เคยขลาดกลัว แต่ว่าสิ่งที่นางต่างจากพวกเขาก็คือ สายตาของนางแม้ว่าจะมองไปยังที่ไกลๆ แต่หางตากลับใส่ใจสิ่งที่อยู่ข้างหลังนางเสมอ

“วิถีใหญ่ไร้ปรานี จะบำเพ็ญวิถีใหญ่ได้ก็ต้องปลงตก เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ” แสงของไฟนิพพาน สะท้อนอยู่บนร่างราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย เขาเงยหน้าขึ้น มองท้องฟ้าที่โปร่งใสไม่มีเมฆแม้แต่นิดเดียวแล้วถามตัวเอง

ในไฟนิพพาน ร่างของมู่ชองเกอถูกไฟนิพพานเผาไหม้ แต่ความรู้สึกนึกคิดของนางกลับเข้าสู่สภาวะอีกชนิดหนึ่ง

เป็นตาย

วัฎจักร

เหตุผล

ลำดับ

ตัดใจ

กลับคืน

สมบูรณ์

นางตระหนักความหมายแห่งวิถีใหญ่ที่มีมากมายหลากหลายได้แล้ว แต่ว่า วันนี้วิถีใหญ่เหล่านี้ปรากฎอยู่ในปัญญาเทวะของนางอย่างต่อเนื่อง แต่ จู่ๆ กลับทำให้นางพบว่าตนไม่เข้าใจอะไรเลย

‘เคล็ดวิชาเทวะเล่มจบ หลังจากมีตำราที่ขาดหายทลอมรวมแล้ว สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดที่ปรากฎออกมานั้น เป็นเพียงวงกลมหนึ่งวง ข้าเคยคิดว่า นั้นเป็นเพียงการล้อเล่น วงกลมหนึ่งวง จะแทนอะไรได้ ข้ายังจะศึกษาบัญญัติอาคมที่เก่งกาจอะไรจากข้างในได้ ตอนนี้ข้าเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว’ มู่ชิงเกอกล่าวกับตัวเองในใจ

การเผาไหม้ของไฟนิพพาน ความเจ็บปวดบนร่าง บนจิตวิญญาณ ต่างก็ถูกนางลืมไปหมดแล้ว

นางเพียงแค่จมดิ่งอยู่ในการตระหนักรู้ล่าสุด

‘นิ้วหนึ่งจิต หนึ่งจิตเป็น หนึ่งจิตตาย…เข้าใจความเป็นตายแล้ว แล้วจะควบคุมอย่างไร ระหว่างหนึ่งจิตจะทำให้ศัตรูพังพินาศ มิตรสหายฟื้นคืนชีพ ได้จริงๆ หรือ’

ทันใดนั้นในดวงตามู่ชิงเกอก็เปล่งประกายออกมา

ฟ้าผ่าหนึ่งสาย ราวกับโจมตีเครื่องจองจำในใจนางจนพังทลาย ทำให้นางเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง

“เป็นตาย คือวงกลม เหตุผล คือวงกลม วัฎจักร คือวงกลม ลำดับก็คือ วงกลม ระหว่าการตัดใจและได้รับ ต่างฝ่ายต่างไม่อาจแยกออกจากกัน ยังคงเป็นวงกลมกลับคืน เป็นวงกลม ความสมบูรณ์…เป็นวงกลม” ในดวงตามู่ชิงเกอเกิดความประหลาดใจ

ตูมมม

ทันใดนั้น เปลวเพลิงบนร่างนางก็ลุกโหมขึ้นมาข้างบนไม่หยุด พลังชนิดนั้น ยากเกินต้านทาน หยุดยั้งไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

แกรก

มีของบางอย่าง แตกเป็นเสี่ยงอยู่ในร่างกายนาง

ทันใดนั้น ทัศนียภาพเบื้องหน้าก็หมุนย้อนกลับ ราวกับลำแสงดึงทุกสิ่งทุกอย่างกลับไปสู่จุดเริ่มต้นที่นางต้องการ

ปัง ปัง ปัง

มู่ชิงเกอรู้สึกได้ว่าร่างกายของตนกำลังถอยหลังอย่างรวดเร็ว

ตอนที่นางดิ้นหลุดออกมาจากความรู้ถึกเช่นนั้น ทัศนียภาพเบื้องหน้าก็กลับตาลปัตร ตอนที่กระจ่างชัด สิ่งที่นางมองเห็น ยังคงเป็นสนามรบที่ไม่มีพลังชีวิตเลยแม้แต่นิดเดียวผืนนั้น

‘การหวนคืนล้มเหลว’ มู่ชิงเกอตกใจในใจ

นางถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวทันที จู่ๆ ภาพเบื้องหน้านางก็ถูกดึงเข้ามาใกล้นางจึงมองเห็นได้ชัดเจน ตอนนี้นางยืนอยู่ข้างๆ นํ้าพุแห่งอนาคต

ภาพที่มองเห็นเมื่อครู่ คือจุดจบที่ปรากฎออกมาจากน้ำพุแห่งอนาคต

จุดจบที่เกิดขึ้นแล้ว ทำให้นางเจ็บปวดบ้าคลั่งนั้น

ผ่านไปหนึ่งครั้ง ในที่สุดนางก็เข้าใจจุดจบนี้แล้วว่าเหตุใดถึงที่เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นครั้งนี้นางจะฉวยโอกาสแก้ไขทุกอย่าง

มู่ชิงเกอยืดอก หลังเหยียดตรง เหมือนอย่างแต่ก่อน คล้ายไม่มีสิ่งใดกดทับนางได้

ทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่เคยเกิดขึ้น

โอกาสก็มีเพียงครั้งเดียว

มือของมู่ชิงเกอกำหมัดแน่น นางก้าวไปทีละก้าว เดินไปยังนํ้าพุแห่งอนาคต มองน้ำพุที่กลับคืนสู่ความสงบนิ่งนั้น มุมปากปรากฎรอยยิ้มเยาะ “น้ำพุแห่งอนาคตหรือ น้ำพุเล็กๆ เจ้ามีสิทธิ์มาตัดสินอนาคตทั้งหมดงั้นหรือ แม้ว่าเจ้าจะแค่บอกอนาคตล่วงหน้าแก่ข้าก็ไม่ได้”

น้ำเสียงที่เด็ดขาด ออกมาจากปากนาง

นางต่อยน้ำพุแห่งอนาคตเต็มแรง ทำลายน้ำพุแห่งอนาคตแตกเป็นเสี่ยง ก้อนหินที่ทลายลง ปิดตายปากน้ำพุ ข้างในใจกลางน้ำพุ ถล่มทลายอย่างต่อเนื่อง

บนโลกนี้ไม่มีน้ำพุแห่งอนาคตอีกต่อไป

ทำลายน้ำพุแห่งอนาคตแล้ว หัวใจมู่ชิงเกอก็คล้ายถอนหายใจออกมา

คิ้วนางขมวดเล็กน้อย พึมพำเสียงตํ่า “ไม่รู้ว่าตอนนี้ชูเนี่ยนจะเป็นอย่างไร เวลาหวนคืน นางในตอนนี้น่าจะอยู่ข้างกายราชาเฟิ่งที่แผ่นดินเทพมาร”

มู่ชิงเกอเก็บความกังวลในดวงตาลงไป เดินออกจากถํ้าจิ่วเฉวียน กลับหลินชวนทันที

วินาทีนั้นที่นางก้าวเท้าเข้าไปในหลินชวนใหม่อีกครั้ง มองเห็นจวนตระกูลมู่ที่คุ้นตา มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ปกติและสงบสุข ความรู้สึกเสมือนอยู่ในโลกอีกใบก็จู่โจมหัวใจ

“เสียวเกอเอ๋อร์”

เสียงที่คุ้นหู เสียงที่หลอมรวมเข้าไขกระดูกนั้นดังขึ้นมา ร่างมู่ชิงเกอราวกับถูกฟ้าผ่า

นางหมุนคอที่แข็งทื่อเล็กน้อย มองซือมั่วที่ยืนมองนางอยู่หน้าประตูจวนตระกูลมู่ นํ้าตาพลันล้นเอ่อออกมา

เมื่อนางร้องไห้ซือมั่วก็ตกใจ ขยับเข้ามาข้างนางทันที กอดนางแล้วกล่าวถาม “เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม มีคนรังแกเจ้าหรือ”

มู่ชิงเกอถูกเขากอดไว้ในอ้อมอก ถูกคำพูดของเขาทำให้ร้องไห้และยิ้มไปพร้อมกัน

แต่ว่า สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของซือมั่วอีกครั้ง และไม่ใช่ความรู้สึกเย็นเยียบ ทำให้นางรู้สึกว่าทุกอย่างคุ้มค่า แม้ว่าหลังจากการหวนคืนจบลง นางแก้ไขทุกอย่างแล้ว ต้องแบกรับการแว้งกัดที่ทรมานยิ่งกว่าเคราะห์กรรมเป็นตาย นางก็ยินดี

“ไม่ต้องร้องแล้ว เหตุใดออกไปแล้วกลับมาจึงเป็นเช่นนี้” ซือมั่วกล่าวด้วยความสงสาร

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึก เก็บนํ้าตาไว้นางคว้าข้อมือของซือมั่ว กล่าวกับเขา “เจ้าตามข้ามา”

พูดจบ ทั้งสองก็หายไปจากหน้าประตูจวนตระกูลมู่

ตอนที่ปรากฎตัวอีกครั้ง ทั้งสองก็มาถึงทะเลแห่งความจริงแล้ว

เทพมารที่เผ้าระวังทะเลแห่งความจริง คู่ๆ ก็มองเห็นทั้งสองเข้ามากลางดึก ต่างตกตะลึง

“เจ้าแห่งมาร ราชาเทวะมู่”

มู่ชิงเกอกล่าวกับพวกเขา “พวกเจ้าถอยไป ห้ามใครก็ตามเข้าใกล้ที่นี่”

คนทั้งหมดถอยไปอย่างประหลาดใจ เชื่อฟังคำสั่ง ไม่กล้าเข้าใกล้

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไรไป วันนี้เจ้าแปลกๆ” ซือมั่วมองนาง ในดวงตาปรากฎความสงสัย

แปลกหรือ

แน่นอนว่านางแปลก

หลังจากที่ผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่ผิดหวังนั่นนางจะยังเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ได้อีกอย่างไร นางไม่เข้าวิถีมาร ต้องขอบคุณชูเนี่ยน

หากไม่ใช่ว่านางดึงมู่ชิงเกอกลับมาทันเวลา เกรงว่า…

มู่ชิงเกอส่ายหน้า นางในตอนนี้ ยังคงหวาดผวา แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่เวลามาคิดถึงปัญหาข้อนี้

“อามั่ว เจ้าบอกข้ามาตามตรง เจ้าเข้าใจกุญแจสำคัญของขั้นบรรพเทพแล้วใช่หรือไม่” มู่ชิงเกอยืนยันกับซือมั่วเสียงตํ่า

ซือมั่วตกตะลึง ดวงตาสีอำพันปรากฎความตกใจ

เห็นสีหน้านี้ของเขา มู่ชิงเกอก็เข้าใจแล้ว

นางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ใช้มือคว้าข้อมือของซือมั่วไว้ กล่าวกับเขา “ข้าหวังว่าเจ้าจะบรรลุมันเดี๋ยวนี้”

ดวงตาทั้งคู่ของซือมั่วหดลงอย่างรวดเร็ว นัยน์ตามีความตกตะลึงซัดสาด

เขาจ้องมองนาง กล่าวถามเสียงตํ่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปรู้เรื่องนี้มาจากที่ใด เจ้าให้ข้าบรรลุ เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังบรรลุแล้วจะเกิดอะไรขึ้น”

“ข้ารู้” มู่ชิงเกอกลับให้คำตอบที่แน่วแน่แก่เขาอย่างเหนือความคาดหมาย

การตอบสนองของมู่ชิงเกอ ทำให้ซือมั่วหรี่ตาอย่างรวดเร็ว

“หลังบรรลุแล้ว เจ้าจะต้องถูกบังคับให้ขึ้นไปบนโลกใบหลักภายในระยะเวลาสั้นๆ เจ้าถ่วงเวลาไม่ยอมบรรลุ เพราะว่าไม่อยากจากข้าไป ไม่วางใจในความปลอดภัยของข้า กลัวว่าข้าจะได้รับบาดเจ็บในสงครามกับเผ่าฝู” มู่ชิงเกอมองตาทั้งสองของเขา พูดทุกสิ่งที่อยู่ในใจเขาออกมา

ตูม

ในสมองซือมั่วเกิดระเบิด เขาคิดไม่ตก เหตุใดมู่ชิงเกอถึงรู้เรื่องเหล่านี้

เรื่องเหล่านี้ เขาซ่อนไว้ลึกอย่างยิ่ง แม้แต่กู่หยากู่เย่ที่สนิทกับเขาที่สุด ยังไม่เคยปริปากแม้แต่นิดเดียว

เพราะว่า เขารู้ว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาฉลาดอย่างยิ่ง เฉียบแหลมอย่างยิ่ง หากไม่ระวังเพียงนิดเดียว ก็อาจจะถูกนางสังเกตเห็นทุกอย่างได้ เขาเองก็คาดเดาได้ว่า หากมู่ชิงเกอรู้เรื่องทุกอย่างจะต้องไม่ให้เขาเสียเวลาเพื่อตนเป็นแน่

แต่ว่า เขาปิดบังสนิทเช่นนี้มู่ชิงเกอรู้ได้อย่างไรกัน

ซือมั่วคิดไม่ตก ดวงตาสีอำพันจ้องมองนางนิ่ง คล้ายอยากจะค้นหาคำตอบจากสีหน้าของนาง

“อามั่ว เจ้าฟังข้า เจ้าต้องบรรลุ เช่นนี้จึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้” ขณะที่มู่ชิงเกอพูด ก็ยกนิ้วมือชี้ไปบนท้องฟ้าเหนือทะเลแห่งความจริง

ที่นี่ในตอนนี้ยังไม่ถูกโจมตีจนเกิดซ่องโหว่ เหมิงเหมิงเองก็ยังไม่กลายเป็นหินอุดฟ้า อุดช่องโหว่ไว้

“พรุ่งนี้ที่นี่จะถูกเผ่าฝูปะทะ ความบ้าคลั่งของพวกเขาเกินกว่าที่พวกเราคาดคิด พวกเขาใช้โลกใบเล็กหนึ่งใบปะทะหลินชวน เพียงเพื่อจะเปิดประตูใหญ่มารุกลํ้าแผ่นดินเทพมาร พวกเราต้องหยุดไม่ให้เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้น” มู่ชิงเกอกล่าว

“เจ้ารู้ได้อย่างไร” ซือมั่วไม่มองทิศทางที่มู่ชิงเกอชี้ แต่มือทั้งสองกลับจับแขนของนางไว้แน่น กล่าวถามอย่างร้อนใจ

ดวงตามู่ชิงเกอปรากฎความทุกข์ตรม ฉากแต่ละฉากที่เคยผ่านมา ปรากฎขึ้นอีกครั้งตรงหน้านาง

ความเจ็บปวดในดวงตาของนาง ทำให้ซือมั่วแสดงสีหน้า

ทันใดนั้น ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็หดลงอย่างรวดเร็ว กล่าวด้วยความตกใจ “เจ้าใช้คาถาต้องห้ามหวนคืน”

เขาไม่โง่ เหตุผลที่มู่ชิงเกอรู้เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือนางผ่านมาแล้ว

การคาดเดานี้ทำให้ซือมั่วกังวลขึ้นมาในใจทันที

ต้องผ่านความผิดหวังแบบใด ความเจ็บปวดแบบใดจึงทำให้มู่ชิงเกอเลือกที่จะใช้คาถาต้องห้ามหวนคืน

เขาเคยใช้คาถาต้องห้ามหวนคืนเพื่อมู่ชิงเกอ สัมผัสรสชาติในนั้นด้วยตัวเอง ทว่า ตอนนั้น เขาเพียงแค่หวนคืนชะตาชีวิตของคนส่วนน้อย

แต่มู่ชิงเกอเล่า นางหวนคืนชะตาชีวิตทั้งแผ่นดินเทพมารหรือ

เช่นนั้นอนาคต นางจะต้องแบกรับผลสะท้อนกลับที่มากมายเพียงใด

ผลลัพธ์นี้ซือมั่วไม่อาจแบกรับ เขาคว้าข้อมือของมู่ชิงเกอด้วยความรวดเร็ว ตรวจร่างกายของนาง ปกติแล้วคนที่ใช้คาถาต้องห้ามหวนคืน หลังจากการหวนคืนเริ่มต้นแล้ว จะต้องทิ้งตราแว้งกัดไว้ในร่างกาย

เหมือนเป็นคนที่ติดหนี้ เมื่อถูกเตือน ก็ต้องคืนหนี้ภายในระยะเวลานั้นๆ

แต่ว่า หลังจากที่เขาตรวจสอบหนึ่งรอบ กลับพบว่าภายในร่างมู่ชิงเกอไม่มีตราของการสะท้อนกลับอย่างสิ้นเชิง กระทั่งตบะบำเพ็ญยังไม่ถูกตัดทิ้ง

‘นี่มันอะไรกัน’ ซือทิ้วขมวดคิ้ว ชั่วขณะก็คิดไม่ตก

“อามั่ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดถึงปัญหาของข้า นี่คือโอกาสเพียงครั้งเดียวของพวกเรา หยุดยั้งไม่ให้เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้น การสะท้อนกลับของคาถาต้องห้ามทวนคืน ค่อยว่ากันภายหลัง” มู่ชิงเกอดึงมือของตนออก

คำพูดของนาง ทำให้ซือมั่วตกใจ

มู่ชิงเกอคล้ายไม่รู้เลยว่า ตนไม่ได้รับการสะท้อนกลับจากคาถาต้องห้าม

แต่ว่า หากนางไม่รู้ซือมั่วก็ไม่เอ่ยเตือน อย่างไรเสีย ขอเพียงแค่เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาไม่เป็นไรก็พอแล้ว

“เจ้าบอกข้ามาก่อนว่า เหตุการณ์ที่เจ้าพบเจอก่อนหน้านี้คืออะไร” ซือมั่วเก็บอารมณ์กล่าวถาม

มู่ชิงเกอไม่ปิดบัง เล่าเรื่องทั้งหมดด้วยความรวดเร็วหนึ่งรอบ เรื่องที่เจ็บปวดเจียนตายเหล่านั้น นางไม่ได้เล่า เพียงแค่เล่าถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น

หลังจากฟังเสร็จ ซือมั่วก็นิ่งเงียบ

นานอย่างยิ่ง เขาจึงกล่าว “ดังนั้น พรุ่งนี้หลินชวนจะเกิดหายนะ แผ่นดินเทพมารก็จะเปิดศึกใหญ่ด้วยเหตุนี้ ผลสุดท้ายเผ่าฝูพ่ายแพ้ แต่ว่า พวกเราเองก็สูญเสียคนไปจำนวนมากเช่นกัน…”

เขาเบนสายตา ตกลงบน หน้ามู่ชิงเกอ กล่าวเสียงตํ่า “รวมถึงข้าด้วย ช่หรือไม่”

มู่ชิงเกอเจ็บปวดใจ นางกล่าว “พวกเรามีโอกาสแก้ไข”

“เจ้าจะทำอย่างไร ข้าบรรลุขั้นบรรพเทพ สร้างเสถียรภาพให้แผ่นดินเทพมารได้ไม่ต้องกังเวลเรื่องชีวิต แต่ว่า คนที่เจ้าไม่อยากให้ตายเหล่านั้น ก็ยังยากจะหลุดออกจากจุดจบของพวกเขาได้ แต่ว่า หากต้องให้เจ้าทิ้งหลินชวน ฉวยโอกาสตอนที่ทุกอย่างยังไม่เกิดขึ้นพาคนทั้งหมดออกจาหลินชวน เกรงว่าคงยากจะหนีการไล่ล่า” ซือมั่วกล่าว

มู่ชิงเกอพยักหน้า “ดังนั้น พวกเราจะต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม”

“ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมอย่างไร” ซือมั่วกล่าวถาม

มู่ชิงเกอกล่าว “พวกเรารู้เวลาที่พวกเขาจะเริ่มโจมตี ขอเพียงขัดขวางพวกเขาก่อนหน้านั้น ก็จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้”

ซือมั่วจ้องมองนางนิ่ง รอประโยคถัดไปของนาง

“เรือต้าเซียน บรรทุกคนได้หนึ่งพันคน เจ้าบรรลุ ข้าไปเรียกรวมนักรบหนึ่งพันนาย นั่งเรือต้าเซียนเข้าสู่โลกเผ่าฝู ถอนฟืนใต้กระทะพร้อมกัน” มู่ชิงเกอพูดแผนการของตนออกมา

นางไม่อาจเป็นผู้ถูกกระทำได้ในเมื่อกุมโอกาสก่อน ก็ต้องเปลี่ยนจากผู้ถูกกระทำเป็นผู้กระทำ

เมื่อซือมั่วบรรลุขั้นบรรพเทพแล้ว ต่อให้พวกเขาจะมีเพียงพันคน ตอนที่สู้รบกับเผ่าฝูทั้งหมด ก็ยังสามารถกุมความมั่นใจว่าจะชนะได้

ครั้งนี้พวกเขาตั้งสนามรบไว้บนโลกของเผ่าฝู เช่นนั้นโลกทั้งหมดของแผ่นดินเทพมาร ก็จะปลอดภัยหายห่วง

กระทั้ง นอกจากคนของแผ่นดินเทพมารแล้ว คนในโลกอื่นๆ จะไม่มีวันได้รู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสงครามใหญ่แห่งยุคครั้งนี้

“ดูท่าแล้ว นี่คงจะเป็นวิธีเดียว” ซือมั่วเห็นด้วยกับแผนการของมู่ชิงเกอ

นี่คือวิธีเดียวที่จะตัดเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นตอโดยตรง เปลี่ยนทิศทางอนาคต ก่อนที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้น

ซือมั่วเดินเข้าไปใกล้มู่ชิงเกอ มือทั้งสองกอบแก้มของนางขึ้น รับปากกับนาง “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ข้ารับปากเจ้า ครั้งนี้จะไม่มีทางเกิดเรื่องที่ทำให้เจ้าต้องเสียใจอีก”

ซือมั่ว กลับไปบรรลุที่แดนมาร

เขาเข้าใจทะลุปรุโปร่งนานแล้ว เพียงแต่ตนถ่วงเวลาไม่ยอมก้าวออกไปที่ขั้นนั้นก็เท่านั้นเอง

หากคิดจะบรรลุ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด

มู่ชิงเกอกลับไปยังจวนตระกูลมู่ ยืนอยู่ในลานบ้าน มองฉากที่อบอุ่นในบ้านอยู่ไกลๆ หลังศึกใหญ่ที่ทะเลแห่งความจริง ก็ทำให้คนที่รอดชีวิตทะนุถนอมทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในตอนนี้มากขึ้น

อนาคตนั้น สำหรับพวกเขาแล้วไม่เคยมีอยู่อย่างสิ้นเชิง

‘ข้าเองก็จะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง’ มู่ชิงเกอกำมือทั้งสองแน่น สายตาปรากฎความเด็ดขาด

นางไม่ได้เข้าไปใช้เวลาร่วมกับคนในครอบครัว

ในอนาคตที่ผ่านมานั้น นางต้องรีบกลับไปแผ่นดินเทพมาร และไม่อาจบอกท่านปู่ได้แม้แต่ประโยคเดียว วันนี้นางไม่ต้องการให้ทุกอย่างเกิดขึ้นอีก นางจึงไม่มีเวลาไปบอกลาคนในครอบครัวเช่นเดียวกัน

ครั้งก่อน พวกเขาเสียสละชีวิต ครั้งนี้ถึงตานางทุบหม้อข้าวจมเรือ แก้ไขชะตาชีวิตของคนทั้งหมด

มู่ชิงเกอหันหลังกลับ ก้าวยาวจากไป

การจากไปของนาง ไม่ทำให้ผู้ใดรู้สึกตัว

โย่วเหอกับฮวาเยวี่ย ถูกนางสั่งให้อยู่ต่อ

นางเพียงแค่นำองครักษ์เขี้ยวมังกร รวมถึงหยินเฉิน ไป๋สี่ออกจากหลินชวน กลับแผ่นดินเทพมารไปพร้อมกัน

คนของแผ่นดินเทพมารห้าพันคนที่ถูกนางนำมากลุ่มนั้นก็อยู่ต่อ พวกเขาไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ยังคงคุ้มกันพื้นที่ที่ถูกผนึกนั้น ป้องกันการบุกรุกอีกครั้งของเผ่าฝู

มู่ชิงเกอกลับไปที่เก้าชั้นฟ้า ภายในใจเกิดความรู้สึกต่างๆ นานา ซวีซิวกับราชครูได้รับคำสั่งจากมู่ชิงเกอ เรียกรวมคนทั้งหมดมาที่เก้าชั้นฟ้าแล้ว

ตอนที่มู่ชิงเกอกลับมาถึง ราชาเทวะแต่ละแดน เจ้าเมืองย่อยแดนมาร ราชาอสูรป่าอสูร ต่างก็อยู่ตามลำดับ

“การบุกรุกของเผ่าฝูไม่อาจหยุดนิ่ง แทนที่จะรออยู่อย่างผู้ถูกกระทำ ไม่สู้เป็นผู้กระทำบุกโจมตีเสียเอง เจ้าแห่งมารกำลังบรรลุชั้นบรรพเทพแล้ว นี่คือโอกาสของพวกเรา บนเรือต้าเชียนของข้ายังมีจำนวนคน 998 คน ผู้ใดยินดีจะเดินทัพไปโลกของเผ่าฝูพร้อมกับพวกข้า ถอนฟืนใต้กระทะ หยุดยั้งความทะเยอทะยานของเผ่าฝู” มู่ชิงเกอกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

“คุณชาย องครักษ์เขี้ยวมังกร 501 นาย เต็มจำนวน ยินดีจะร่วมศึกกับคุณชาย” เมื่อมู่ชิงเกอพูดจบ มั่วหยางก็ยืนขึ้นมาก่อน

ข้างหลังเขา คือองครักษ์เขี้ยวมังกรที่หน้าตรงอกตั้ง ท่าทางเด็ดเดี่ยว

มู่ชิงเกอมองพวกเขา สายตาที่เย็นฉํ่ากวาดผ่านใบหน้าที่เข้มแข็งของพวกเขาช้าๆ เม้มปากไม่พูด

ยังดี ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น

เห็นมู่ชิงเกอไม่พูด มั่วหยางก็กล่าวเสียงดังต่อ “คุณชาย องครักษ์เขี้ยวมังกรคือทหารคนสนิทของท่าน ควรจะร่วมศึกกับท่าน”

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึก พยักหน้ากล่าวเสียงตํ่า “ดี”

“ชิงเกอ เรื่องสั่งสอนเผ่าฝูเช่นนี้ จะขาดข้าไปได้อย่างไร” ไป๋สี่กล่าวอย่างยิ้มแย้ม

“ข้าด้วย” หยินเฉินเองก็กล่าว

โห่วเองก็เดินออกมา กล่าว “พวกเขาไปหมดแล้ว ไม่มีเหตุผลที่ข้าจะไม่ไป”

“ข้าไปด้วย” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยที่นิ่งเงียบมาโดยตลอด พลันเอ่ยปาก

มู่ชิงเกอละสายตามองเขา แววตาซับซ้อน

แต่ว่า ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยกลับไม่ได้แสดงความผิดปกติใดๆ

“ในเมื่อต้องการกองกำลังทหาร แผ่นดินเทพมาแห่งนี้จะยังมีใครมีคุณสมบัติไปมากกว่าข้า” ราชาเทวะจงซานเองก็ยิ้มกล่าว “อย่างไรเสีย แดนจงซานของข้าก็มีคนสืบทอดแล้ว ต่อให้จะต้องตายอยู่ที่นั่น ก็ไม่กลัว”

ท่าทางสบายใจของเขา ทำให้คนไม่น้อยสะเทือนใจ ราชาเทวะหลายคนต่างก็แสดงท่าทีจะตามไป เจ้าเมืองย่อยแดนมารย่อมไม่น้อยหน้า

เรื่องๆ นี้ คนที่มู่ชิงเกอบอก ล้วนแต่เป็นคนที่มีความสามารถ ไปแล้วมีประโยชน์มีคนจำนวนมากที่ไม่รู้แผนการนี้อย่างสิ้นเชิง

“ราชาเทวะ…”

“เจ้าอยู่ที่นี่” ซวีซิวเพิ่งจะเอ่ยปาก ก็ถูกมู่ชิงเกอพูดตัดบท “บนเก้าชั้นฟ้า เจ้ากับราชครูสองคน ต้องอยู่รักษาสถานการณ์โดยรวม”

แววตาของมู่ชิงเกอ ไม่ยอมให้ปฏิเสธ บีบบังคับให้ซวีซิวกับราชครูที่คันไม้คันมือ ทำได้เพียงถอยไปข้างๆ อย่างจนใจ

ครั้งนี้ แผ่นดินเทพมารไม่ได้รบสุดกำลัง แต่กลับรวบรวมพลังสูงสุดทั้งหมด

อินเจวี๋ยเดินออกมา ราชามังกรคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเดินออกมาเช่นกัน

จู่ๆ ราชาเฟิ่งก็หัวเราะร่าขึ้นมา “หรือว่าครั้งนี้เผ่าต่างๆ บนแผ่นดินเทพมารของพวกเราจะรวมตัว เดินทัพปราบเผ่าฝูด้วยกัน อีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ มีบันทึกลงในประวิติศาสตร์แผ่นดินเทพมารของพวกเราก็คงจะงดงามอย่างยิ่ง”

“ราชาเฟิ่ง แผ่นดินเทพมารของเรายังมีเผ่าฉงอีกด้วย” ราชาเทวะเฝินไห่กล่าวอย่างหยอกล้อ

ราชาเทวะสือฟางยิ้มกล่าว “เมื่อเผ่าฉงออกจากสระนํ้าลึกแมลงก็ไม่มีความสามารถมากแล้ว ต่อให้จะรวมพวกเขาเข้าไป ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก”

ในตำหนัก ความเคร่งเครียดแต่เดิมพลันผ่อนคลายลงทันที

สงครามที่ต้องการทุบหม้อข้าวจมเรือเผ่าฝู ไม่มีกองกำลังหนุน ไม่รอดก็ตาย พวกเขากลับยังพูดคุยหยอกเล่นกันได้

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึก กล่าวกับคนทั้งหมด “ในเมื่อทุกคนตัดสินใจแล้ว ก็แยกย้ายกันไปเตรียมตัวเถิด พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทาง”

การโจมตีหลินชวนของเผ่าฝู กระชั้นชิดเข้ามาแล้ว พวกเขาต้องชิงลงมือก่อน

คนทั้งหมดลุกขึ้น เดินไปข้างนอก ในเมื่อต้องไปสู้รบ เรื่องบางเรื่องที่ควรจะมอบหมาย ก็ต้องมอบหมายให้ชัดเจน

“ราชาเฟิ่งช้าก่อน” มู่ชิงเกอเห็นราชาเฟิ่งกำลังจะจากไป ก็เรียกขึ้นมาทันที นางไม่รู้สึกถึงลมปราณของชูเนี่ยนบนเก้าชั้นฟ้าจึงอยากยืนยันสถานการณ์ของชูเนี่ยนกับราชาเฟิ่ง

พวกนางร่วมชีวิตเป็นตายด้วยกัน ซํ้าชูเนี่ยนยังฝืนนิพพาน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่

ราชาเฟิ่งหันกลับมองด้วยความสงสัย มองมู่ชิงเกอ “ราชาเทวะมู่ มีอะไรจะกำชับหรือ”

มู่ชิงเกอยิ้มกล่าว “เปล่า เพียงแค่อยากถามราชาเฟิ่งว่า ชูเนี่ยนอยู่ที่ใด”

“ชูเนี่ยนหรือ ชูเนี่ยนอะไร เกรงว่าราชาเทวะมู่จะถามผิดคนแล้วกระมัง”

ทว่า ท่าทีของราชาเฟิ่งกลับแปลกประหลาดอย่างยิ่ง คล้ายไม่รู้จักชูเนี่ยนอย่างสิ้นเชิง

ดวงตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอหดลงอย่างรวดเร็ว กล่าวด้วยความตกใจ “ท่านว่าอะไรนะ”

ราชาเฟิ่งกล่าวด้วยความแปลกใจ “ราชาเทวะมู่ ท่านเป็นอะไรไป ชูเนี่ยนที่ท่านว่า ข้าไม่รู้จักแน่นอน หากไม่มีเรื่องอะไร ข้าต้องขอตัวก่อน เวลามีจำกัด ข้ายังต้องกลับป่าอู๋ถงไปจัดการธุระอีก”

ราชาเฟิ่งพูดจบ ก็หมุนตัวจากไป

มู่ชิงเกอตกตะลึงอยู่กับที่ ในใจนาง เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว คาดไม่ถึงว่าราชาเฟิ่งไม่รู้จักชูเนี่ยน

นางละสายตาออกไป ตกลงบนร่างองครักษ์เขี้ยวมังกร ไป๋สี่ หยินเฉิน รวมถึงคนที่รู้จักชูเนี่ยนบนเก้าชั้นฟ้า ถามด้วยเสียงที่ยากลำบาก “พวกเจ้า รู้จักชูเนี่ยนหรือไม่”

ทว่า การตอบสนองของนาง เพียงแค่ทำให้ทุกคนงุนงงต่างก็ส่ายหน้าช้าๆ

“ชูเนี่ยนคือใคร ข้าเพิ่งเคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงชื่อนี้เป็นครั้งแรก” ไป๋สี่ถามอย่างสงสัย

ไม่มีใครรู้จัก

เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้

ตอนที่มู่ชิงเกอตกตะลึง ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยที่ไม่ได้จากไปไหนกลับเดินมาข้างกายนาง ในมือถือหินหนึ่งก้อน ยื่นไปข้างหน้ามู่ชิงเกอ “นี่คือของที่ชูเนี่ยนฝากข้ามาให้เจ้า”

ชูเนี่ยน

มู่ชิงเกอหันหลังกลับฉับพลัน มองราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย ตาทั้งคู่เบิกโต จ้องมองใบหน้าเขานิ่ง จากนั้นจึงละสายตาจากหน้าเขา มองหินกึ่งโปร่งแสง ข้างในคล้ายซ่อนโลหิตหนึ่งหยดไว้ในมือเขา

“ท่านจำเรื่องทั้งหมดได้จริงๆ” มู่ชิงเกอกล่าวเสียงตํ่า

ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยยิ้มบางๆ “บางครั้ง ยอมที่จะลืมยังดีเสียกว่า แต่ว่าหากข้าลืม ตอนนี้จะมีใครสามารถคลายความสงสัยให้เจ้าได้อีกเล่า”

“ที่แท้แล้วเกิดเรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดคนทั้งหมดถึงจำชูเนี่ยนไม่ได้” มู่ชิงเกอเหลือบตาขึ้น มองเขา สายตาเย็นเยียบ

มู่ชิงเกอรับหินในมือราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยมากำไว้ในฝ่ามือแน่น

ในตำหนัก ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังคงมองพวกเขาด้วยความงุนงง ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยกล่าว “เจ้าตามข้ามา”

มู่ชิงเกอเม้มปาก เดินตามราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยออกมาจากตำหนักใหญ่

ในมือนาง ยังคงกำหินที่ชูเนี่ยนฝากไว้ก้อนนั้น

“จะหวนคืนชะตาชีวิตของคนทั้งแผ่นดินเทพมาร ข้อแลกเปลี่ยนและผลสะท้อนกลับ เช่นนี้มีมากมาย เกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ สภาพการณ์ตอนนี้ดีที่สุดแล้ว” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยยืนอยู่ตรงข้ามมู่ชิงเกอ เอ่ยปากกล่าว

“ชูเนี่ยนทำอะไร” มู่ชิงเกอกล่าวถาม

ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยละสายตามองนาง “ข้าเองก็แปลกใจยิ่งนัก คาดไม่ถึงว่านางสามารถทำโดยไม่ส่งผลกระทบถึงเจ้าได้แม้แต่นิดเดียว”

จู่ๆ ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็เบิกกว้างทันที กล่าวอย่างตกใจ “หรือว่าเจ้า…”

มู่ชิงเกอเม้มปากแน่นสายตานิ่งไปเล็กน้อย

ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยสูดหายใจเข้าลึก พยักหน้ากล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว อันที่จริง ต่อให้นางจะทุ่มสุดแรงปกป้องเจ้า ผลสะท้อนกลับที่ใหญ่เช่นนี้ อย่างน้อยเจ้าก็ต้องได้รับผลกระทบบ้าง ตอนนี้ในเมื่อเจ้าไม่ได้รับผลกระทบ นอกจากนางแล้ว ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือเจ้าบรรลุแล้ว”

ความตกใจของเขา ไม่ได้ทำให้มู่ชิงเกอเผยความรู้สึกออกมามากเกินไป

นางบรรลุแล้ว ในไฟนิพพานวิถีของนางสมบูรณ์แล้ว ตระหนักได้ถึงความหมายแท้จริง

ดังนั้น…

คนจากแผ่นดินเทพมารที่จะมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตของเผ่าฝู ไม่ใช่ขั้นบรรพเทพคนเดียว แต่เป็น…สองคน

“ชูเนี่ยน” มู่ชิงเกอกล่าวเตือนหนึ่นิ่งประโยค

คนที่นางเป็นห่วง มีเพียงชูเนี่ยน

เหตุใด เหตุใดคนทั้งหมด ต่างจดจำการมีอยู่ของชูเนี่ยนไม่ได้

ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยถอยหายใจกล่าว “เจ้ากับชูเนี่ยน ร่วมเป็นร่วมตาย ตอนนี้เจ้ายังมีชีวิต นางสาบสูญ เจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่าเป็นเพราะอะไร คาถาต้องห้ามหวนคืน กำลังเจ้าเพียงคนเดียวไม่มีทางใช้ได้นางเผาไหม้ชีวิตตนเองในไฟนิพพานจึงสามารถใช้คาถาต้องห้ามได้ ส่วนผลสะท้อนกลับของคาถาต้องห้าม นางรู้ว่าอาศัยเจ้าคนเดียวไม่มีทางแบกรับได้นางจึงเลือกที่จะแบกรับผลสะท้อนกลับในขีดจำกัดของนาง เพราะว่าพวกเจ้าร่วมชีวิตกัน ดังนั้นนางจึงสามารถช่วยเจ้าแบกรับทั้งหมดได้ไม่ใช่ ว่าพวกเขาจำไม่ได้ แต่ผลสะท้อนกลับนี้ ลบนางออกไปจากความทรงจำของคนทั้งหมด สำหรับพวกเขาแล้ว บนโลกนี้ไม่เคยมีชูเนี่ยนมาก่อน”

มู่ชิงเกอตะลึงกันทันที ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว

“เพราะเหตุใด เดิมทีนี่ควรจะเป็นสิ่งที่ข้าต้องแบกรับ” ในเสียงที่ตํ่าลึกของมู่ชิงเกอ สะกดอารมณ์อํ้าอึ้งเอาไว้

ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเข้ามาใกล้นาง “มู่ชิงเกอ เจ้ามีพลังดึงดูดบางอย่างทำให้คนที่ชอบเจ้า ยินยอมพร้อมใจจะถวายชีวิตให้เจ้า เจ้าเข้าใจคำว่ายินยอมพร้อมใจหรือไม่ หมายความว่าเจ้าไม่ต้องไปแบก รับภาระใดๆ สิ่งที่เจ้าคิดว่าไม่ควร สำหรับพวกเขาแล้วก็คือเรื่องที่ควรทำที่สุด เจ้าอยากปกป้องคนที่เจ้ารักไว้ข้างหลัง แต่พวกเขาเองก็อยากปกป้องเจ้าไว้ข้างหลังเหมือนกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา คำคำนี้เจ้าน่าจะเข้าใจยิ่งกว่าข้า”

มู่ชิงเกอเหลือบตาขึ้น ดวงตาแดงก่ำ นางมองราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย พูดไม่ออก

“เจ้าไม่ต้องไปคิดอะไร เจ้าบรรลุขั้นบรรพเทพแล้ว การสละชีพของชูเนี่ยนไม่เสียเปล่า บนโลกนี้ไม่มีเรื่องใดๆ ที่ทำแล้วไม่ต้องแลกเปลี่ยน แม้ว่าเจ้าจะสำเร็จเป็นบรรพเทพแล้ว แต่สิ่งต้องห้ามเช่นการหวนคืนมิตินี้ก็ยังแตะต้องได้ยาก ยิ่งพลังมากผลสะท้อนกลับก็ยิ่งมาก ครั้งนี้ เจ้ารอดพ้นเคราะห์กรรมได้ก็เพราะว่าชูเนี่ยน เพราะว่าเจ้าโชคดี บรรลุพอดี พลังจากการบรรลุขั้นบรรพเทพจึงลดผลกระทบสุดท้ายไป” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย กล่าว

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึก มองราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยหมุนตัวจากไป

หลังจากที่เขาเดินไปไกลแล้ว มู่ชิงเกอก็ตรงกลับไปที่ตำหนักบรรทมในวังราชาเทวะทันที นางหยิบก้อนหินที่ชูเนี่ยนทิ้งไว้ให้ออกมา

ในก้อนหินกึ่งโปร่งแสง โลหิตหยดนั้น สีแดงฉานราวกับไฟ

จู่ๆ ก้อนทินก็ละลายลงในฝ่ามือของมู่ชิงเกอ โลหิตหยดนั้นลอยขึ้นมาตรงหน้ามู่ชิงเกอ กลายเป็นภาพของชูเนี่ยน

“ชูเนี่ยน!” มู่ชิงเกอลุกขึ้นยืน โผเข้าไปหานางทันที

แต่ว่า ร่างกายของนางกลับทะลุผ่านร่างชูเนี่ยนออกไป ที่ยืนอยู่ตรงนั้น เป็นเพียงภาพลวงตาที่ชูเนี่ยนใช้โลหิตแปลงสภาพมาเท่านั้นเอง

หัวใจมู่ชิงเกอเจ็บปวด ละสายตามองชูเนี่ยน

ชูเนี่ยนเองก็มองนางเช่นกัน “ชิงเกอ ตอนที่เจ้าเห็นภาพนี้ก็ หมายความว่าข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าอย่าเป็นทุกข์อย่าโทษตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่ข้าติดค้างเจ้า”

ชูเนี่ยนเอ่ยปาก ราวกับว่าการปรากฎตัวของ ‘นาง’ เพียงเพื่อต้องการจะพูดสิ่งที่ยังไม่ทันได้พูดให้มู่ชิงเกอฟัง

“ติดค้างอะไรข้า” มู่ชิงเกอกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า

‘มีแต่ข้าที่ติดค้างเจ้า ชูเนี่ยนเจ้าจะติดหนี้ข้าได้อย่างไร’

“ตอนนั้น ข้าใช้ไฟนิพพาน ให้เจ้าผูกมัดคำสัญญาตลอดชีวิตกับข้า อันที่จริง ไม่ใช่เพราะว่าข้าไม่สามารถทนรับไฟนิพพานได้ เสด็จพ่อเตรียมของลํ้าค่าที่ใช้ต้านทานไฟนิพพานไว้มากมายให้ข้า ข้าจะทนรับไม่ไหวได้อย่างไร แต่ว่า ข้าก็ยังคงขอความช่วยเหลือจากเจ้า เพราะว่าความรู้สึกเห็นแก่ตัวในใจข้า เช่นนี้ข้าก็สามารถอยู่กับเจ้าตลอดไปได้ร่วมเป็นร่วมตายกับเจ้ามีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมที่สุด ดังนั้น ข้าจึงหลอกเจ้า อาจจะเป็นเพราะข้าหลอกเจ้า ติดค้างเจ้า ดังนั้นจึงทำให้พวกเราต้อง เผชิญหน้ากับทางเลือกเช่นนี้ข้าไม่อยากเห็นเจ้าทุกข์ใจ และไม่อยากให้เจ้าแบกรับความเจ็บปวดใดๆ ดังนั้น ข้าจึงทำเรื่องที่ข้าควรทำ เช่นนี้พวกเราก็ไม่ติดค้างกันแล้ว”

“ไม่…ไม่ใช่…ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าหลอกข้า…” มู่ชิงเกอกลั้นน้ำตา ส่ายหน้า

ประโยชน์ที่นางได้รับจากไฟนิพพาน ใช่น้อยๆ ที่ไหนกัน

“ชิงเกอ อย่าทุกข์ใจไปเลย แม้ว่าคนทั้งหมดจะจำไม่ได้ว่ามีเฟิ่งหวงเก้าสีที่ชื่อชูเนี่ยน แต่ว่า ขอเพียงแค่เจ้ายังจำข้าได้ ก็เท่ากับว่าข้าเคยมีอยู่ ข้าคือเฟิ่งหวง เฟิ่งหวงเลื่องชื่อว่าเป็นนกอมตะ ขอเพียงแค่เจ้าจำข้าได้ รอข้ากลับชาติมาเกิดก็จะกลับมาอยู่ข้างกายเจ้าตามความทรงจำของเจ้าได้” เงาร่างของชูเนี่ยน ค่อยๆ จางหายไป ท้ายที่สุดก็หายไปจากตรงหน้านาง

“ชูเนี่ยน!” มู่ชิงเกอโผเข้าไป แต่กลับคว้าเงาที่หายไปของนางไว้ไม่ได้

แสงที่จางหายไปนั้นกลายร่างเป็นเส้นด้ายกลางอากาศ ตกลงมาที่มู่ชิงเกอ

ลำแสงสีแดงโลหิต ตกลงตามคอเสื้อของมู่ชิงเกอ ตกลงบริเวณกระดูกไหปลาร้าทางไหล่ซ้ายของนาง

มู่ชิงเกอดึงคอเสื้อของตนออก มองเห็นตรงบริเวณกระดูกไหปลาร้าทางไหล่ซ้ายของตน มีตราเฟิ่งหวงสีแดงเพิ่มขึ้นมา นางรู้ว่า นี่คือสัญลักษณ์ที่ชูเนี่ยนทิ้งไว้บนร่างนาง เพื่อที่จะสามารถทำให้พวกนางได้พบกันอีกครั้งหลังกลับชาติมาเกิด

มู่ชิงเกอค่อยๆปล่อยคอเสื้อลงพึมพำหนึ่งประโยค “ชูเนี่ยนข้าจะรอเจ้า ไม่ว่ากี่ปี ข้าก็จะรอเจ้ากลับมาอยู่ข้างกายข้า”

หวูด หวูด!

เสียงแตรเดินทัพ ดังขึ้นบนแผ่นดินเทพมาร

ภายใต้ความสงสัยและการจับจ้องของคนนับไม่ถ้วน เรือต้าเซียนนำคนพันคนทะลุฉากกำบังของแผ่นดินใหญ่ มุ่งหน้าไปยังจักรวาลขนาดใหญ่อีกหนึ่งแห่ง

บนเรือต้าเซียน คนหนึ่งพันคน เป็นบุคคลชั้นยอดของแผ่นดินเทพมาร

ในแผนการของมู่ชิงเกอ พวกเขาก็คือกระบี่แหลมที่แทงเข้าไปในหัวใจเผ่าฝูอย่างโหดเหี้ยม!

มู่ชิงเกอกับซือมั่วอยู่บนหัวเรือ สบตากันปราดหนึ่ง ทั้งสองต่างก็ยกยิ้มจางๆ ขึ้นมาอย่างไม่ได้นัดหมาย

ที่เผ่าฝู กองทัพเผ่าฝูยังคงระดมกำลัง

พวกเขากำลังเตรียมการขั้นสุดท้ายในการเคลื่อนที่โลกใบเล็กปะทะหลินชวน

ผู้บัญชาการอักขระสีดำนายหนึ่งวิ่งมาข้างหน้ายักษ์ตัวที่มีรูปร่างพิเศษตัวนั้นกล่าวกับสตรีในม่านทอง “องค์ราชา ทุกอย่างกำลังดำเนินการตามปกติ อีกไม่นาน พวกเราก็จะเคลื่อนโลกใบเล็กปะทะเข้าไปได้แล้ว”

ในม่านทอง เรือนร่างอรชรคล้ายเห็นคล้ายไม่เห็น ริมฝีปากแดงของนางยกขึ้นเบาๆ เสียงที่เกียจคร้านอย่างยิ่งกล่าวขึ้นช้าๆ “ดี”

ตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ว่า เรือต้าเซียนกำลังเข้ามาในโลกของพวกเขาเงียบๆ แล้ว

บนเรือต้าเซียน จดพิกัดเส้นทางเดินเรือไว้อยู่

ครั้งก่อน มู่ชิงเกอกับซือมั่วเคยนั่งเรือต้าเซียนออกมาจากจุดศูนย์กลางของเผ่าฝูกลับไปยังแผ่นดินเทพมาร ครั้งนี้เรีอต้าเซียนก็กำหนดพิกัดสถานที่นั้นเอง

ทว่า ราชินีเผ่าฝูกลับนำทหารทั้งหมดไปยังโลกใบเล็กที่ใกล้หลินชวนแห่งนั้น เพื่อที่จะโจมตีแผ่นดินเทพมาร

พูดได้ว่า…

ครืน!

เรือต้าเชียนพุ่งเข้าไปในฉากกำบังโลกเผ่าฝู ปรากฎตัวบนท้องฟ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าฝูฉับพลัน

บนพื้นดินล่างเรือต้าเซียน คือสิ่งปลูกสร้างหอแหลมที่เป็นเอกลักษณ์ของเผ่าฝู

และตอนนี้ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ นอกจากทหารอารักขา อักขระสีแดงที่ตํ่าที่สุดจำนวนหนึ่ง ก็ไม่มีทหารคุ้มกันอื่นๆ อีก

คนพันคนบนเรือต้าเซียน พากันยืนอยู่ข้างกาบเรือมองลงไปข้างล่าง

“ที่นี่คือโลกของเผ่าฝูหรือ”

“โลกเผ่าฝูนี้ก็ไม่ได้แปลกอะไรนี่”

“เหตุใดคนข้างล่างถึงน้อยเพียงนั้น”

ในเสียงถกเถียงเซ็งแซ่ เรือต้าเซียนก็เริ่มหยุดลงแล้ว

มู่ชิงเกอมองพวกเขามุมปากกระตุกยิ้มเยาะ“ทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของเผ่าฝู เปิดฉากสังหารนับตั้งแต่บัดนี้!”

บนพื้นดิน ทหารอารักขาอักขระสีแดงเหล่านั้นของเผ่าฝู ไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าอย่างสิ้นเชิง

เป็นเพราะว่าความสามารถในการพรางตัวของเรือต้าเซียน สามารถทำให้ไม่ถูกคนนอกพบเห็นได้

พวกเขาต่างทำเรื่องที่ตนควรทำ

จู่ๆ เสียงดังสนั่นแต่ละเสียงก็ดังมาจากท้องฟ้า ภายใต้ความตกใจ พวกเขาพากันเงยหน้ามองท้องฟ้า

หลังจากนั้น พวกเขาก็มองเห็นภาพที่ชั่วชีวิตยากจะลืม!

เงาร่างหนึ่งพันสาย ตกลงมาจากฟ้า ราวกับกระบี่แหลมแต่ละเล่มๆ แทงตรงลงมาบนพื้นดิน

ภาพๆ นี้ ทำให้แววตาพวกเขาปรากฎความตกใจ

ทว่า พวกเขายังไม่ทันได้ตอบสนองอย่างอื่น คนที่ตกลงมาจากฟ้าเหล่านั้น ก็ยืนอยู่บนพื้น อยู่ใกล้พวกเขาอย่างยิ่งแล้ว

“ฆ่า!” สายตามู่ชิงเกอเด็ดขาด คำที่เย็นชาดุร้ายหนึ่งคำดังออกมาจากปากนาง

“ฮ่าๆๆๆ! ฆ่ากากเดนเหล่านี้ก่อน!” ราชาเทวะเฝินไห่หัวเราะบ้าคลั่ง ฝ่ามือหนึ่งตบลงบนทหารอารักขาอักขระสีแดงผู้หนึ่งข้างกายเขา

หลังจากคำสั่งของมู่ชิงเกอดังออกไป องครักษ์เขี้ยวมังกรก็เริ่มเก็บศีรษะคนอย่างเงียบๆ

การสังหารเปิดฉากขึ้นที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าฝู

ครั้งนี้ คนที่มาจากแผ่นดินเทพมาร แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือ ส่วนคนเผ่าฝูที่อยู่ที่นี่กลับเป็นทหารอารักขาอักขระสีแดงที่ตํ่าต้อยที่สุด

การสังหาร เป็นเพียงการฆ่าฝ่ายเดียวจริงๆ

“สะใจ! ทุกครั้งล้วนแต่เป็นคนเผ่าฝูมาก่อเรื่องในอาณาเขตของพวกเรา คราวนี้ถึงตาพวกเราฆ่าโหดในรังพวกมันแล้ว!” ราชาเทวะสือฟาง หัวเราะร่ากล่าว ทหารอารักขาอักขระสีแดงเหล่านี้ใต้นํ้ามือของเขา ไม่มีแรงสู้กลับอย่างสิ้นเชิง

“เช่นนั้นก็มาแข่งกันดูหน่อย ใครจะฆ่าได้เยอะกว่า!” ราชาเทวะเซียนเหนี่ยวกล่าวอยู่ข้างๆ เขา

ราชาเทวะจินกวงทำลายอักขระของทหารอารักขาอักขระสีแดงนายหนึ่ง ยืนอยู่ข้างหน้าคนทั้งสองด้วยสีหน้าทะนงตนกล่าว “ฆ่าคนเหล่านี้จะมีความหมายอะไร ต้องฆ่าอักขระสีดำถึงจะสนุก”

สือฟางกับเซียนเหนี่ยวสบตากับปราดหนึ่ง มองจินกวงแล้วกล่าวพร้อมกัน “เช่นนั้นก็แข่งว่าใครจะฆ่าอักขระสีดำได้มากกว่ากัน!”

ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าฝู เสียงกรีดร้อง เสียงโอดครวญ ดังขึ้นๆ ลงๆ

ทหารอารักขาอักขระสีแดงเหล่านั้น สำหรับพวกเขาแล้วอ่อนแอเกินไปจริงๆ

เสียงร้องโอดครวญเหล่านี้ เข้าไปในหูมู่ชิงเกอแล้ว รู้สึกมีความสุขมากเป็นพิเศษ

นางไม่ได้ลงมือ ซือมั่วเองก็ไม่ได้ลงมือ ต่างคนต่างมองกันปราดหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปที่หอสูงแห่งหนึ่ง

มาถึงหอสูง มู่ชิงเกอก็กระโดด ลอยตัวขึ้นมา บินไปยังยอดหอคอย นางพุ่งลงมากลางอากาศ ฝ่ามือข้างหนึ่งโจมตีไปยังหอคอยแหลมเปรียว…

ตูม!

ตูม! ตูม!

เสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหว ดังขึ้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าฝู หอแหลมที่เป็นสัญลักษณ์ของเผ่าฝูนั้น ถูกมู่ชิงเกอกับซือมั่วร่วมมือกับทลาย

หลังจากที่พวกเขาทลายหอแหลมแล้ว ยอดหอคอยที่สูงตระหง่านก็ยิงสายฟ้านับไม่ถ้วนออกมา รวมตัวเข้าไปกลางอากาศ

ชั่วพริบตา ลมเมฆก็เปลี่ยนสี สายฟ้าเหล่านั้นเข้าไปบนท้องฟ้า แล้วกลายเป็นตาข่ายสายฟ้านับไม่ถ้วน แผ่ขยายอยู่บนท้องฟ้า

เสียงฟ้าร้องดังครั่นครืน สายฟ้าปกคลุมทั่วสารทิศ!

ชั่วขณะ ประชาชนสรรพสิ่งที่อยู่ในโลกทั้งหมดของโลกเผ่าฝู ต่างก็เกิดความรู้สึกหวาดผวาขึ้นมา

แต่ไหนแต่ไร…ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน!

เผ่าฝู ท้องฟ้าของพวกเขา ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน!

ในโลกใบเล็กที่อยู่ห่างไกลดินแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าฝูนั้น ท้องฟ้ามืดฉับพลัน สายฟ้าเต็มท้องฟ้า ทำให้ราชินีเผ่าฝูลุกขึ้นนั่งจากม่านทอง สายตานิ่งงัน สีหน้าดุร้ายปรากฎ

ตอนที่เหล่าผู้บัญชาการอักขระสีดำพากันวิ่งเข้ามาหานาง เสียงของนางลอยออกไปจากม่านทองแล้ว “กลับแผ่นดินใหญ่เดี๋ยวนี้!”

ไม่ได้พูดเหตุผลใดๆ ออกไป กองทัพเผ่าฝูก็ละทิ้งการเตรียมการที่กำลังทำอยู่ในมือทันที เปลี่ยนทิศทาง ตามกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาด้วยความเร็วที่เร็วอย่างยิ่ง

ทว่า พวกเขาเร็วอย่างยิ่งแล้ว แต่ว่า ราชินิเผ่าฝูกลับยังรู้สึกว่าไม่พอ

นางลุกขึ้นมาจากม่านทอง กล่าวกับผู้บัญชาการอักขระสีดำเหล่านั้น “ทิ้งผู้บัญชาการหนึ่งนายไว้ พวกเจ้าตามข้ากลับไปที่แผ่นดินใหญ่ก่อน คิดไม่ถึงว่าเผ่าชั้นต่ำเหล่านี้จะแฝงตัวเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าเราแล้ว!”

เป็นถึงราชินีเผ่าฝู แสงฟ้าแลบทั่วท้องฟ้านี้กำลังบอกนางว่า มีคนบุกรุก ซ้ำยังกำลังพังทลายดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของนางอยู่

อัปยศ! อัปยศจริงๆ!

ราชินีเผ่าฝูกลับมาถึงแผ่นดินใหญ่ด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด

กองทัพเผ่าฝูก็กำลังตามมาข้างหลังติดๆ คาดว่าน่าจะมาถึงช้ากว่าพวกเขาครึ่งวัน

ตอนที่ราชินีเผ่าฝูตามมาถึง มองเห็นซากปรักหักพังทั่วทุกแห่ง ชั่วขณะก็โมโหสุดขีด ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของเผ่าฝู ความศรัทธาในใจคนเผ่าฝู ตอนนี้กลับกลายเป็นซากปรักหักพัง

“คนเล่า! คนเล่า!” ราชินีเผ่าฝูกล่าวอย่างดุร้าย

ไม่มีใครรู้ว่า คนที่นางถามคือคนที่อยู่คุ้มกันหรือว่าคนที่บุกรุก

“ไปหามาเดี๋ยวนี้!” ราชินีเผ่าฝูยื่นมือชี้ไปในซากปรักหักพัง สั่งคนอักขระสีดำข้างหลัง

ทันใดนั้น คนอักขระสีดำที่ตามนางมาถึงก่อนหนึ่งก้าวก็แบ่งออกเป็นสิบกว่าคน ค้นหาในซากปรักหักพัง หาใคร แน่นอนว่าหาคนหน้าไม่อายที่กล้ามาบุกถึงเผ่าฝูของพวกเขาเหล่านั้น!

คนอักขระสีดำเหล่านั้น ในดวงตาปรากฎความดุร้าย เดินเข้าไปในซากปรักหักพังด้วยท่าทางเหี้ยมโหด

ตอนที่พวกเขาค่อยๆ เข้าไปใกล้ กลับไม่รู้ว่าในซากปรักหักพัง มีลูกธนูแหลมคมนับไม่ถ้วน เล็งหว่างคิ้วของพวกเขาอยู่แล้ว

มู่ชิงเกอมองพวกเขาเข้าไปในรัศมีการยิงของเผ่าภูติภูเขาทีละก้าวๆ รอจังหวะ ดวงตาทั้งคู่หรี่ลง มือที่ยกขึ้นโบกบัญชาการ

ชั่วขณะ ธนูแหลมสีดำอมเขียวนับไม่ถ้วน ยิงออกมาจากความมืด พุ่งตรงไปยังอักขระบนหว่างคิ้วของคนอักขระสีดำ

แสงธนูมากะทันหันทำให้คนอักขระสิบกว่าคนนี้ไม่ทันระวังอย่างสิ้นเชิง

“อ๊ากกก!”

คนอักขระสีดำพากันโดนธนูยิง อักขระหว่างคิ้วของพวกเขาถูกลูกธนูโจมตีจนแหลกละเอียด ทำได้เพียงร้องโอดครวญ จากนั้นก็มลายหายไป

ทันใดนั้น ลูกธนูที่ราวกับฝน ก็ยิงไปยังคนอักขระสีดำอย่างต่อเนื่อง

มู่ชิงเกอหัวเราะเยาะในใจ พึมพำเสียงตํ่า “นี่สิถึงจะเป็นการเริ่มต้น”

“พวกระยำ พวกโง่”

คนอักษรฝูสีดำที่เข้าไปกลุ่มแรก คาดไม่ถึงว่ายังไม่เห็นเงาศัตรูก็แพ้ย่อยยับทั้งกองทัพ แสงธนูสีเขียวอมดำเหล่านั้น ยั่วยุราชินีเผ่าฝู ดวงตาทั้งคู่แทบจะพ่นไฟออกมา

“องค์ราชา พวกเขาซ่อนอยู่ข้างใน พวกเราเข้าไปได้ยากอย่างยิ่ง” มีคนพูดตามความจริง

สายตาราชินีเผ่าฝูเย็นเยียบกล่าวเสียงเฉียบขาด “ให้ยักษ์ไปสำรวจเส้นทาง พวกเจ้าตามไปข้างหลังยักษ์”

ชั่วขณะ ยักษ์สิบกว่าตัวก็ใช้ร่างกายที่สูงใหญ่ เชื่อมต่อกันเป็นกำแพงหนึ่งด้าน เดินไปยังซากปรักหักพัง ส่วนคนอักษรฝูสีดำกลุ่มที่สองก็ตามไปข้างหลังยักษ์ใช้ยักษ์เป็นโล่กำบังร่างของตน

ทว่า พวกเขาเข้าไปถึงบริเวณที่ถูกลอบโจมตีก่อนหน้านี้แล้ว แต่กลับไม่มีลูกธนูยิงมาหาพวกเขาอีก

ความผิดปกตินี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาผ่อนคลาย แต่ในใจกลับยิ่งกระวนกระวาย

ยักษ์ไม่ได้ถูกเปิดสติปัญญา ไม่มีความคิดไปวิเคราะห์ความผิดปกติในตอนนี้ทำได้เพียงปฎิบัติตามคำสั่ง เดินหน้าต่อไป

เมื่อพวกมันขยับ คนอักษรฝูสีดำที่ตามอยู่ข้างหลังก็ไม่ได้รับคำสั่งถอยทัพจากราชินีเผ่าฝูจึงทำได้เพียงกลํ้ากลืนเดินไปข้างหน้าต่อ

เงียบอย่างยิ่ง ผิดปกติอย่างยิ่ง

ราชินีเผ่าฝูเองก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ นางขมวดคิ้วมุ่น กำลังเตรียมจะเรียกคนกลับมา แต่ จู่ๆ…

ตูมๆๆ

เสียงระเบิดรุนแรง พลันดังขึ้นมา

ในซากปรักหักพัง เกิดระเบิดฉับพลัน แสงไฟจากระเบิดรวมถึงสะเก็ด โจมตีมายังยักษ์และคนอักษรฝูสีดำอย่างไม่เกรงกลัว

มู่ชิงเกอที่ซ่อนอยู่ในที่มืด ในมือกุมระเบิดวิญญาณหนึ่งลูก มองประกายไฟที่ระเบิดนั้น รวมถึงเงาร่างที่สับสนอลหม่านข้างใน

และข้างซ้ายข้างขวานาง เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรแต่ละคนถือระเบิดวิญญาณหนึ่งลูก รอคำสั่งของมู่ชิงเกออยู่

หลายลูกนั้นที่ระเบิดเมื่อครู่ เป็นระเบิดที่ฝังอยู่ใต้ดินก่อนหน้านี้

หลังจากนั้น…

มุมปากมู่ชิงเกอยกยิ้มแปลกประหลาดออกมา ขว้างระเบิดในมือออกไปข้างนอก

ทันใดนั้น องครักษ์เขี้ยวมังกรก็เคลื่อนไหวทันที ขว้างระเบิดในมือออกไปข้างนอกทั้งหมด

ระเบิดวิญญาณ 500 ลูก โยนออกไปพร้อมกัน ภาพภาพนั้นสั่นสะเทือนจริงๆ

คนอักษรฝูสีดำที่เดิมก็ถูกระเบิดวิญญาณทำให้ตกใจจนอกสั่นขวัญหาย หูอื้อตาลาย ได้รับบาดเจ็บภายนอกไปไม่น้อย รวมถึงยักษ์ที่ตอนนี้สับสนมึนงง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างสิ้นเชิง

ราชินีเผ่าฝูมองเห็นเพียงระเบิดวิญญาณเหล่านั้นที่ปรากฎออกมาจากท้องฟ้า นางไม่รู้ว่านั้นคืออะไร แต่กลับรู้สึกได้ถึงอันตรายโดยสัญชาตญาณ

ตูม ตูม ตูม ตูม ตูม ตูม

ปัง ปัง ปัง

ประกายไฟสว่างโชติช่วง งดงามน่าหลงใหล

ในซากปรักหักพังของเผ่าฝู ดอกไม้สีเพลิงเบ่งบานทีละดอก…ทีละดอก

ภาพภาพนี้ทำให้คนเผ่าฝูที่ยืนอยูริมขอบและไม่ได้รับแรงกระทบกระเทือนเหล่านั้นเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา พวกเขางงงันไป เหมือนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างสิ้นเชิง

ภายใต้ความตกใจ ในดวงตาราชินีเผ่าฝูเต็มไปด้วยไอดุร้าย

นางรู้สึกถึงเจตนาเล่นสนุกของฝ่ายตรงข้ามแล้ว

ในอาณาเขตของตนถูกคนมาก่อกวนเช่นนี้ ความอัปยศเช่นนี้ ความอัดอั้นเช่นนี้ทำให้นางอยากจะเป็นบ้า อักษรฝูสีทองกลางหน้าผาก เปล่งประกายไม่มั่นคง พลังที่แข็งกล้านั้นคล้ายกำลังจะระเบิดออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่แล้ว

สงครามข้างหน้า กองทัพข้างหลัง ไม่รู้สถานการณ์อย่างสิ้นเชิง พวกเขาเพียงใช้ความเร็วสูงสุด ตามไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ทว่า ตอนที่กำลังจะถึง กลับถูกคนหนึ่งกลุ่มขวางไว้

คนกลุ่มนี้ มีเพียงร้อยกว่าคน สำหรับพวกเขาแล้ว ดูไม่ใช่ปัญหาอย่างยิ่ง

ซือมั่วยืนอยู่ข้างหน้ากองทัพมองคนเผ่าฝูกลุ่มนี้แล้วยิ้มเยาะ ในดวงตาสีอำพันพลันปรากฎการสังหาร “ลงมือ”

เมื่อคำสั่งดังออกไป คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาก็พุ่งออกมาทันที พุ่งไปยังกองทัพเผ่าฝู

กองทัพเผ่าฝูตะลึงงัน คนร้อยคนเช่นนี้ ยังกล้าพุ่งมาหาพวกเขาด้วยหรือ

ทว่าตอนที่พวกเขาคิดอยากจะหัวเราะเยาะอย่างไร้ปรานี กลับมองเห็นภาพที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวไปจนถึงชาติหน้า ชายผู้เอ่ยปากตอนแรกสุดผู้นั้น ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่เดินเข้ามาหาพวกเขาราวกับเดินเล่นในสวน

แต่ว่า ทุกๆ แห่งที่เขาผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นคนอักษรฝูสีแดง หรือว่าคนอักษรฝูสีดำ หรือยักษ์โถวถัว…ทุกสิ่งทุกอย่างที่เพียงแค่อยู่ใกล้เขา ภายในหนึ่งจั้งต่างก็ถูกฟันเป็นผงละเอียด สลายหายไป

ตายอย่างไร

มองไม่เห็น และไม่รู้อย่างสิ้นเชิง

เพียงแค่เขาก้าวเท้าก็มีคนเผ่าฝูเกือบหมื่นถูกฟันจนเป็นเศษผง จะไปสู้ได้อย่างไร

พลังเช่นนี้พวกเขาเทียบไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

เพียงแค่คนเดียวก็น่ากลัวเช่นนี้ ร้อยกว่าคนที่เหลือ ต่างก็ลงมือโหดเหี้ยม ค่อยๆ กลืนกินพวกเขาอย่างต่อเนื่อง

ซือมั่วบรรลุขั้นบรรพเทพ ความแข็งแกร่งของเขา ก้าวข้ามการตระหนักรู้ของจักรวาลขนาดใหญ่แล้ว ทว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มีเขาบัญชาการ คนที่เหลือสังหาร ก็เป็นความรู้สึกที่สบายอารมณ์อย่างถึงที่สุดจริงๆ

สบาย ช่างปะไร เผ่าฝูเห็นเทพมารเป็นอาหารมิใช่หรือ

ไม่ใช่คิดอยากจะกลืนกินแผ่นดินเทพมาร ตั้งอาณานิคมหรอกหรือ

เช่นนั้นพวกเขาจึงมาส่งตัวถึงหน้าบ้าน มากินสิ มากินสิ เก่งนักก็มากินสิ

ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยกำลังฆ่าคู่ต่อสู้ทิ้งละลายตามองซือมั่ว ความแข็งแกร่งของซือมั่วทำให้เขาตกใจและเกิดความปรารถนา

พวกเขาแบ่งทัพเป็นสองฝั่ง แยกย้ายกันหมอบซุ่ม ฆ่าจนเผ่าฝูรับมือไม่ทัน สองฝั่งล้วนแต่มีบรรพเทพนำทัพ ศึกครั้งนี้ในที่สุดก็ทำให้ความรู้สึกที่อัดอั้นมานานของพวกเขาได้รับการปลดปล่อยเสียที

ในซากปรักหักพังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าฝู ประกายไฟครึ่งวัน ในที่สุดก็หยุดลง และยักษ์กับคนอักษรฝูสีดำที่เข้ามาในซากปรักหักพังเหล่านั้นก็ถูกระเบิดจนแหลกละเอียด

อย่าว่าแต่พวกเขามีหนึ่งร่างสองชีวิต ต่อให้มีหนึ่งร่างสิบชีวิต ภายใต้การระเบิดที่ใหญ่เช่นนี้ก็ตายจนหมดเกลี้ยงไม่เหลือ

เครื่องหน้าทั้งห้าที่งดงามของราชินีเผ่าฝู โมโหจนบิดเบี้ยวแล้ว

“โถวถัว” นางไม่ใช้เผ่าฝูอีก แต่กลับปล่อยโถวถัวออกมา

โถวถัวไม่ได้เข้าไปในซากปรักหักพัง แต่กลับแยกร่างตัวประหลาดตัวเล็กออกมานับไม่ถ้วนวิ่งพุ่งไปยังซากปรักหักพัง

ตัวประหลาดตัวเล็กหนึ่งตัวแบ่งเป็นสองตัว สองตัวแบ่งเป็นสามตัว ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็กลายเป็นคลื่นสมุทรสีเขียวอมดำหนึ่งผืนวิ่งไปยังซากปรักหักพัง

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะในความมืด เอ่ยปากกล่าว “ต้องทำเช่นนี้ถึงจะถูกบีบจนร้อนใจใช่หรือไม่”

“เป็นเจ้า” ราชินีเผ่าฝูจำเสียงของมู่ชิงเกอได้ ดวงตาทั้งคู่หดลงอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น แสงสีทองหนึ่งผืนก็กวาดออกมาจากข้างในซากปรักหักพัง พุ่งตรงไปยังตัวประหลาดตัวเล็กเหล่านั้น ทุกๆ แห่งที่แสงทองผ่านไป ตัวประหลาดตัวเล็กที่กำลังวิ่งก็ถูกแช่แข็งไว้ทั้งหมด

ทันใดนั้น เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ใช้ทวนที่มู่ชิงเกอทำขึ้นมาใหม่ กวาดตัวประหลาดตัวเล็กที่แช่แข็งเหล่านั้นอย่างโหดเหี้ยมในชั่วพริบตา

ตัวประหลาดตัวเล็กแต่ละตัวๆ หายไปอย่างต่อเนื่อง

ลูกธนูของภูติภูเขาก็เล็งโถวถัวที่แยกร่างตัวประหลาดตัวเล็กเหล่านั้นไว้แล้วเช่นกัน

“องค์ราชา พวกเราถอยก่อนดีกว่าพะย่ะค่ะ”

คนอักษรฝูสีดำที่เหลืออยู่เหล่านั้นโน้มน้าวราชินีเผ่าฝู

แต่ว่า นางคิดจะหนีก็ต้องดูด้วยว่ามู่ชิงเกอ อนุญาตหรือไม่

โถวถัวถูกยิงสังหารไม่หยุด เหล่าตัวประหลาดตัวเล็กก็ถูกแช่แข็งอยู่ในแสงทอง สลายหายไปอย่างต่อเนื่อง

ชุดแดงสีสดหนึ่งสาย กลับเดินออกมาจากส่วนลึกในซากปรักหักพังด้วยความสุขุมแน่นิ่ง เมื่อนางปรากฎตัว การยิงโจมตีก็หยุดลง ราชินีเผ่าฝูเห็นเงาร่างของมู่ชิงเกอ สีหน้าก็เหยเกอย่างยิ่ง

มู่ชิงเกอยืนอยู่หน้าเหล่าตัวประหลาดตัวเล็กที่ถูกปัญญาเทวะของนางแข่แข็ง ยกมือขึ้นช้าๆ ยื่นนิ้วมือออกไปแตะ

ชั่วพริบตา ตัวประหลาดตัวเล็กที่ถูกแช่แข็งในปัญญาเทวะของนางก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ หายไปจากที่เดิม

“เจ้า!” ราชินีเผ่าฝูจ้องมองนางด้วยสายตาโหดเหี้ยม เขี้ยวเงินในปากแทบจะถูกกัดจนแตก

มู่ชิงเกอกระตุกปากยิ้มเยาะ เครื่องหน้าทั้งห้าที่งดงามเปล่งประกายละลานตา “ในเมื่อฆ่าเจ้าไปแล้วหนึ่งครั้ง ฆ่าอีกสักครั้งก็คงไม่เป็นไร”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version