ตอนที่ 968
ตอนพิเศษ 9
ความมุ่นมั่นในการเปลี่ยนชื่อของซือนาจา
หลี่ซิวหยวนมาถึงหน้าป้ายหสุมศพ วางดอกเบญจมาศสีขาวในมือลงหน้าป้ายหสุมศพเบาๆ
การกระทำนี้ เขาทำแล้วดูคล่องแคล่วอย่างถึงที่สุด คล้ายทำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
มู่ชิงเกอซ่อนอยู่ในเงามืด ไม่อยากให้หลี่ซิวหยวนสังเกตเห็นนาง นั่นคือเรื่องที่ง่ายอย่างยิ่ง นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ความสงสัยในดวงตายังไม่จางหาย
หลี่ซิวหยวน คือเพื่อนสนิทคนนั้นที่นางเล่าให้ซือมั่วฟัง
บ้านที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ก็เป็นอสังทาริมทรัพย์ของหลี่ซิวหยวน กระทั่งหลังจากที่ซื้อบ้านแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นหลี่ซิวหยวนที่จัดการให้
เขา คือหนึ่งในเพื่อนไม่กี่คนนอกกองทัพของมู่ชิงเกอ
ตอนที่นางกลับไปยังคฤหาสน์ทุกสิ่งทุกอย่างข้างในต่างก็ทำให้นางรู้สึกว่า หลี่ซิวหยวนไม่รู้เรื่องที่นางตายในหน้าที่ ดังนั้นทั้งหมดจึงยังเหมือนเดิม
แต่ว่าตอนนี้ตอนที่นางเห็นหลี่ซิวหยวนยืนอยู่หน้าหลุมฝังศพตัวเองกับตา นางก็รู้ว่า…ที่จริงแล้ว หลี่ซิวหยวนก็รู้ข่าวการตายของตนมานานแล้ว
‘ในเมื่อรู้นานแล้ว แล้วเหตุใดยัง…’ แววตามู่ชิงเกอจมดิ่งเล็กน้อย ทันใดนั้น นางก็หัวเราะเยาะกับตัวเอง คงจะเป็นวิธีการไว้อาลัยเฉพาะตัวอย่างหนึ่งกระมัง
ชาติก่อน นางเป็นวีรบุรุษไร้นาม ทั้งยังตายอย่างกลํ้ากลืน
แม้ว่า การยืนหยัดที่จะตายอย่างกลํ้ากลืนเช่นนั้น ได้ผ่านไปตามกาลเวลา สูญสลายไปพร้อมการคืนชีพของนาง แต่กลับไม่ได้หมายความว่าไม่เคยมีอยู่อย่างสิ้นเชิง
“มู่เกอ ฉันกลับมาแล้ว” จู่ๆ หลี่ซิวหยวนก็เอ่ยปาก
เมื่อเขาพูด มู่ชิงเกอก็หยุดความคิด นางยืนอยู่ข้างหลังเขาไม่ไกล มองใบหน้าด้านข้างและแผ่นหลังของเขา แต่ว่าเขากลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
‘‘การเจรจาธุรกิจครั้งนี้ไม่เลวเลย ถ้าราบรื่น แค่งานเดียวก็สามารถทำกำไรให้บริษัทได้เป็นพันล้านแล้ว” หลีซิวหยวนกล่าว ความหมายแฝงในคำพูดของเขาล้วนแต่เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจของตนเอง
มู่ชิงเกอฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว
หลี่ซิวหยวนรู้ดีว่านางไม่เข้าใจเรื่องธุรกิจ ยิ่งไม่เคยสนใจเรื่องธุรกิจเหล่านี้มาก่อน เหตุใดถึงมาพูดเรื่องเหล่านี้หน้าหลุมศพนางเล่า
พูดเรื่องที่นางสนใจ ไม่ดีกว่าหรือ
“พวกเขาต่างก็พูดว่าเธอจากไปแล้ว แล้วยังตั้งสุสานให้เธอด้วย แต่ฉันไม่เชื่อ ฉันรู้สึกว่าเธอยังมีชีวิตอยู่เสมอ เพียงแค่มีชีวิตอยู่ในโลกที่ต่างจากพวกเรา” หลี่ซิวหยวนกล่าวต่อ
ประโยคนี้ของเขาทำให้มู่ชิงเกอใจสั่น คำพูดตามอำเภอใจประโยคนี้ กลับพูดความจริงออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“….ดีเหมือนกัน ขอเพียงแค่เธอยังมีชีวิตอยู่ จะเป็นโลกเดียวกันหรือไม่ ก็ไม่ได้สำคัญอะไร ยังไงซะฉันก็รู้ว่านิสัยและความสามารถของเธอ ไม่ว่าจะอยู่ในโลกไหนก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม ไม่เหมือนฉันที่นอกจากทำธุรกิจแล้วก็ทำอะไรไม่เป็นอีก” หลี่ซิวหยวนกล่าวพึมพำกับตัวเอง
น้ำเสียงของเขา เหมือนกำลังพูดคุยเปิดอกกับเพื่อนเก่า ราวกับว่าภายใต้หลุมศพแห่งนี้ เขาจึงจะผ่อนคลายที่สุด เป็นตัวของตัวเองที่สุด
มู่ชิงเกอไม่ได้คิดจะปรากฏตัวในตอนนี้ หนึ่งคือรูปร่างหน้าตาของนางในตอนนี้ไม่เหมือนชาติก่อนแล้ว สองคือ หลังจากที่นางปรากฎตัว ยังต้องมานั่งอธิบายทุกอย่างให้หลี่ซิวหยวนฟังหน้าหลุมศพตนงั้นหรือ
สรุปแล้ว ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่ดี
หลี่ซิวหยวนไม่ได้อยู่หน้าหลุมศพนานนัก หลังจากพูดคุยกับ ‘มู่เกอ’ เสร็จแล้ว เขาก็หันหลังจากไป
ตอนที่เขาจากไป มู่ชิงเกอดีดปลายนิ้ว ทิ้งปราณหนึ่งสายไว้บนร่างเขา ขอเพียงเขายังอยู่บนโลกนี้ นางก็สามารถตามหาตำแหน่งเขาได้ทุกเมื่อ
รถของหลี่ซิวหยวนแล่นผ่านหน้าซือมั่วและซือนาจาไป
พวกเขาสองคนนั่งอยู่บนรถ ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของหลี่ซิวหยวน แต่ว่ารถของหลี่ซิวหยวน กลับทำให้ซือมั่วจ้องมองอยู่สักพัก
ข้างๆ เขา ซือนาจากำลังถือโทรศัพท์มือถือ ดูการ์ตูนชื่อดังบางเรื่อง ด้วยความใจจดใจจ่อ
“เฮ้ย! เจ้าปลาไหลนี่ เดี๋ยวนาจาจะถลกหนังเจ้า เฆี่ยนเจ้าเสีย!”
ในโทรศัพท์มีเสียงเด็กดังออกมา ทำให้แววตาที่ค่อยๆ ลุ่มลึกของซือมั่วแปลกประหลาดขึ้น
ตอนนี้ปีศาจน้อยเองก็เงยหน้าขึ้น มองบิดาของตน บนใบหน้าที่บูดบึ้งเต็มไปด้วยความน้อยใจ “ท่านพ่อ เหตุใดชื่อของข้าจึงอยู่ในนี้เล่า เหตุใด เด็กที่อยู่ข้างในคนนี้ถึงชื่อเหมือนข้าเลยเล่า”
บนเครื่องหน้าทั้งห้าที่หล่อเหลาของซือมั่วปรากฎสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย เขาเหลือบตาขึ้นเบาๆ มองเห็นนอกหน้าต่างรถ มีเงาร่างที่คุ้นเคยเดินมาทางนี้พอดีจึงตอบด้วยเสียงที่น่าฟัง “คำถามนี้ ต้องเป็นแม่เจ้าจึงจะตอบเจ้าได้”
ดวงตาสีอำพันของปีศาจน้อยลุกวาว มองเห็นเงาร่างของมู่ชิงเกอแล้วเช่นกัน เขาเปิดประตูรถทันที ถือโทรศัพท์กระโดดลงไป พุ่งไปข้างหน้ามู่ชิงเกอราวกับสายลมหนึ่งหอบ
จู่ๆ เบื้องหน้าก็เลือนราง เวลาเพียงชั่วพริบตา มู่ชิงเกอก็มองเห็นลูกชิ้นหนึ่งลูกโผเข้ามาในอ้อมอกตน
นางกางแขนทั้งคู่ออกตามจิตใจ้สำนึก รับ ‘ลูกชิ้น’ ที่โผเข้ามากอด ไว้ในอ้อมอก
“ท่านแม่ เหตุใดเขากับข้าถึงมีชื่อเหมือนกัน!” ปีศาจน้อยถูกมู่ชิงเกอกอดไว้ในอ้อมอก ชูโทรศัพท์ขึ้น ชี้ภาพข้างในฟ้องนาง
มู่ชิงเกอกวาดตามองภาพในโทรศัพท์มุมปากกระตุกเบาๆ
‘เหอๆ…’
นางจะตอบอย่างไร บอกลูกตัวเองหรือว่า เพราะตอนที่ตั้งชื่อเขา นางมีความเคียดแค้นอย่างถึงที่สุด
ตั้งท้องสามปี ทำคลอดสามวันสามคืน ท้ายที่สุดก็ทรมานจนนางต้องผ่าท้องคลอดด้วยตัวเอง
มู่ชิงเกอทวนรำลึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น…
ซือมั่วถามนางด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่าจะตั้งชื่อลูกว่าอะไร
แต่นางกลับไม่คิดเลยแม้แต่นิดเดียว บ่นออกมาหนึ่งประโยคอย่าง เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ‘ชื่อนาจาแล้วกัน’
ผลสุดท้าย ก็ตัดสินใจ ตั้งชื่อให้ปีศาจน้อยว่า…ซือนาจา
“ท่านแม่?” ปีศาจน้อยแหงนหน้าขึ้นในอ้อมอกของนาง เห็นนางไม่ตอบก็อดไม่ได้ดึงเสื้อของนาง เขย่าไปมา
มู่ชิงเกอได้สติกลับมาจากความคิด มองท่าทีที่เต็มไปด้วยความน้อยใจของลูกชาย หัวเราะเจื่อนเล็กน้อย ใช้เสียงที่อ่อนนุ่มจนทำให้คนขนลุก กล่าว “นาจาดีจะตายไป เป็นถึงปีศาจสุดยอดแห่งยุคเชียวนะ”
นาจาในตำนานเทพ เป็นจอมมารในร่างมนุษย์อีกทั้งวิทยายุทธ์ยังยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน เหมาะสมกับลูกชายของนางยิ่งนักมิใช่หรือ
น่าเสียดาย ปีศาจน้อยไม่ตกหลุมพราง ส่ายหน้ายืนกรานปฏิเสธ “ข้าไม่เอา! ท่านแม่ ข้าอยากเปลี่ยนชื่อ ข้าไม่อยากมีชื่อเหมือนคนอื่น โดยเฉพาะยังเป็นคนกระดาษ”
ขณะที่พูด เขาก็ชี้ภาพในการ์ตูนซ้ำๆ
เอ่อ…
คนกระดาษหรือ
สายตาของมู่ชิงเกอ ตกลงบนฉากในโทรศัพท์การ์ตูนที่ผลิตโดยประเทศเรื่องนี้ มีประวัติศาสตร์ยุคสมัยที่แน่นอนแล้ว ทักษะการผลิตการณ์ตูนในตอนนั้น…เรียบง่ายอย่างยิ่งจริงๆ
“แหะๆ ลูกอย่าได้จริงจังกับชื่อไปเลย ชื่อเป็นเพียงรหัสประจำตัวเท่านั้น” มู่ชิงเกอโน้มน้าวต่อ หากจะเปลี่ยนชื่อ แม้ว่าไม่ต้องไปสถานีตำรวจท้องถิ่นเพื่อเปลี่ยนข้อมูลประจำตัวให้วุ่นวายเช่นนั้น แต่กลับเปลืองเซลล์ในสมองของนาง เรื่องที่ต้องใช้ความคิดเช่นนี้ ตอนนี้มู่ชิงเกอเลี่ยงได้ก็อยากเลี่ยง
แต่ว่า ซือนาจากลับไม่รู้ว่ามารดาของตนเกียจคร้านจึงได้หลีกเลี่ยงเช่นนี้
เขายืนกรานกล่าวต่อ “เช่นนั้น…เช่นนั้นข้าอยากเปลี่ยนรหัสประจำตัวที่ไพเราะ ไม่เหมือนใคร”
“…” มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก พูดในใจ ‘แค่รหัสประจำตัวยังต้องเลือกมากเช่นนี้นิสัยไม่มีเหตุผลแบบนี้ได้มาจากใครกันแน่นะ’
แม่ลูกสองคน ยืนเถียงกันอยู่นอกรถ
ทันใดนั้นก็มีเสียงๆ หนึ่งแทรกเข้ามา
“เช่นนั้นก็เปลี่ยนชื่อเป็นซือมู่แล้วกัน”
เมื่อเสียงๆ นี้ดังออกไป แม่ลูกสองคนก็เงยหน้ามองไปทางรถพร้อมกัน มองเห็นเพียงประตูรถเปิดออกอีกครั้ง ขาเรียวยาวคู่หนึ่งก้าวออกมา หลังจากนั้นก็เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาเหนือผู้ใดใบนั้นของซือมั่ว
“ซือมู่หรือ” มู่ชิงเกอมองเขา ตกตะลึง พึมพำหนึ่งประโยค
“ซือมู่เพราะยิ่งนัก ต่อไปนี้ข้าไม่ได้ชื่อนาจาแล้ว ข้าชื่อซือมู่!” ปีศาจน้อยกลอกตา เหมือนกับว่ากลัวมู่ชิงเกอจะปฏิเสธจึงกล่าวตัดสินด้วยความรวดเร็ว
มู่ชิงเกอหมดคำพูดจะโต้เถียง ซือมู่หรือ ซือมู่ชื่อชื่อนี้ เพียงแค่เอาแซ่ของคนทั้งสองมารวมกันอย่างง่ายๆ ไม่ได้มีความหมายดีไปกว่าที่นางคิด ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อที่นางตั้ง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็เป็นประวัติศาสตร์ ยาวนาน มีที่มาและภูมิหลัง มีความหมายยิ่งกว่า
ปีศาจน้อยไม่สนใจหน้าที่ดำครํ่าเครียดของมู่ชิงเกอ ดิ้นหลุดออกจากอ้อมอกของมู่ชิงเกอ วิ่งไปหาบิดาของตน กล่าวชมอย่างไม่ฝืนใจเลยแม้แต่น้อย “ท่านพ่อชาญฉลาด! ท่านเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก!”
มู่ชิงเกอมองซือมั่ว จนใจกับใบหน้าที่ยิ้มราวกับบุปผาเบ่งบานดวงนั้นของเขาอย่างถึงที่สุด
พูดตามความจริง นางไม่คิดว่าซือมู่ชื่อนี้ เป็นชื่อที่มีความหมาย หรือดีกว่านาจาของนางตรงไหน
ซือมั่วก้มตัวลง แขนยาวอุ้มเด็กน้อยเข้ามาในอ้อมอกมือเดียว บีบจมูกเล็กๆ ของเขา ยิ้มกล่าว “แม้ว่าคำพูดนี้จะไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ยังนับว่าน่าฟัง”
ซือนาจา…เอ่อ นับแต่นี้ไปควรจะเรียกว่าซือมู่ แสดงสีหน้าเอาอกเอาใจออกมาท่ามกลางรอยยิ้มของบิดา
ท่าทางเช่นนี้ไม่เคยปรากฎกับซือมั่วมาก่อน
ความเข้ากันที่หาได้ยากของสองพ่อลูกทำให้มู่ชิงเกอหัวเราะ ‘เหอๆ’ ในใจ ไม่ต่อกรกับปัญหาตั้งชื่อของลูกชายอีก
เมื่อคิดถึงเพื่อนเก่า รอยยิ้มบนใบหน้ามู่ชิงเกอก็หุบลง
แม้ว่าซือมั่วจะหยอกล้อลูกชายอยู่ แต่ปัญญาเทวะกลับสนใจมู่ชิงเกอมาโดยตลอด
สังเกตเห็นว่าอารมณ์ของภรรยาเปลี่ยนไป สายตาเขาก็ตกลงบนร่างนาง กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “อยากทำอะไร ก็ไปทำเถอะ ในเมื่อมีวาสนาได้กลับมาแล้ว ก็อย่าได้เสียดายเลย”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว ถามอย่างหยอกล้อ “เจ้าไม่อยากรู้อดีตของข้ากับเขาหรือ นางตั้งใจพูดให้คลุมเครือ อยากดูสีหน้าหึงหวงบนหน้าชายงาม
น่าเสียดาย นางคล้ายกับล้มเหลว
หลังจากคำพูดของนาง ซือมั่วกลับยิ้มกล่าวด้วยสีหน้าสุขุม “ไม่ว่า เจ้าจะเคยมีอะไรมาก่อน เจ้าในตอนนี้ เป็นของข้าเท่านั้น”
พูดจบ มืออีกข้างหนึ่งของเขาก็ยื่นออกมาเงียบๆ โอบเอวของมู่ชิงเกอไว้ ดึงนางเข้ามาในอ้อมอก
เอวกระชับแน่น สายตาของมู่ชิงเกอมองมือใหญ่ๆ ข้างนั้นที่โอบเอวตนตามจิตใต้สำนึก เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา นางยอมให้ชายผู้นั้นดึงตนเข้าไปอ้อมอก ไม่ได้ขัดขืน
นางสนใจต่อท่าทีหึงหวงของซือมั่วอย่างยิ่ง แต่ก็ชอบท่าทางมั่นใจในตนเองเช่นนั้นของเขาเหมือนกัน
ความรู้สึกของพวกเขาสองคน ผ่านบททดสอบความเป็นความตาย จะพ่ายแพ้อยู่ท่ามกลางความเข้าใจผิดเล็กน้อยทั่วไปได้อย่างไร
มู่ชิงเกอจะไม่ไปหาหลี่ซิวหยวนก็ได้ แต่ว่า นางเชื่อว่า ข่าวที่มีคนเข้ามาพักอาศัยในคฤหาสน์หลังนั้นของตนจะต้องดังไปถึงหูเขาด้วยความรวดเร็วแน่นอน
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุจากชาติก่อน หรือว่าผลในชาตินี้ นางก็จะไปพบหน้าหลี่ซิวหยวนสักครั้งอย่างที่ควรจะทำ
วันนี้ มู่ชิงเกอทำตามสัญญา พาซือมั่วกับซือมู่พ่อลูกไปสนามเด็กเล่น
พวกเขาใช้ชีวิตวัยเด็กที่เด็กบนโลกควรจะมีเป็นเพื่อนซือมู่
เครื่องเล่นต่างๆ นานาในสนามเด็กเล่นทำให้ซือมู่เล่นด้วยความเบิกบานอย่างถึงที่สุด มีความสุขจนลืมบ้าน
ตกดึกแล้ว สามคนครอบครัวจึงกลับคฤหาสน์หลังจากที่วางซือมู่น้อยที่เล่นเหนื่อยจนหลับลงบนเตียงหลังเล็กเบาๆ แล้ว ซือมั่วก็กล่าวกับมู่ชิงเกอ “ไปทำสิ่งที่เจ้าควรทำเถอะ”
มู่ชิงเกอเหลือบตามองเขา ยกมุมปากยิ้ม
นางไม่ไปออกไปทันที แต่กลับก้มหน้าโน้มตัว จูบลงบนหน้าผากซือมู่น้อยอย่างหอมหวาน นางยืดตัวตรง มองซือมั่ว มือทั้งคู่โอบคอของเขาด้วยตัวเอง
การกระทำของนางทำให้ซือมั่วเลิกคิ้ว แววตาเป็นสีกุหลาบ
มือทั้งสองของเขา โอบเอวของนางตามจิตใต้สำนึก ในขณะที่เขาก้มหน้าลง คิดจะครอบครองริมฝีปากสีแดงที่ยั่วยวนนั้น มู่ชิงเกอกลับชิงนำหน้า เขย่งเท้าทั้งคู่ จูบลงริมฝีปากบางสีแดงของเขาอย่างบางเบา หลังจากนั้นก็มุดออกจากอ้อมกอดเขาอย่างว่องไว
“เฝ้าบ้านดีๆ ดูแลลูกด้วย” มู่ชิงเกอพูดอย่างหยอกล้อ เงาร่างหายไปจากหน้าเขา
เมื่อมู่ชิงเกอออกไป แววตาที่ดิ่งลึกของซือมั่วก็กลับมาเป็นปกติทันที ส่วนลึกในดวงตาสีอำทันที่โดดเด่นคู่นั้น มีความจนใจแวบผ่าน
มู่ชิงเกอออกจากบ้าน ปรากฎตัวบนถนนใหญ่
ปัญญาเทวะของนางแผ่ขยายออกไปตามหาร่องรอยของหลี่ซิวหยวน
ตามปราณปัญญาเทวะที่นางทิ้งไว้ เร็วอย่างยิ่งมู่ชิงเกอก็สามารถหาตำแหน่งของหลี่ซิวหยวนเจอจากฝูงคนได้
ทว่า ตอนที่นางพบพิกัดหลี่ซิวหยวน ดวงตาทั้งคู่ก็นิ่งงันอย่างรวดเร็ว แววตาดำดิ่งลงในชั่วขณะ เย็นยะเยือกอย่างถึงที่สุด ชั่วพริบตาต่อมา เงาร่างนางก็กะพริบวาบ กลายเป็นสายฟ้าหนึ่งสาย หายไปจากถนน
เมื่อนางจากมา ที่ไกลๆ ก็มีเสียงเบรกรถกะทันหันดังขึ้น
“ว๊าย!”ในรถเสียงร้องของผู้หญิงคนหนึ่งดังเข้ามาเธอทรงตัวแล้ว กล่าวกับผู้ชายข้างๆ ด้วยความโมโห “นายจะฆ่าฉันเหรอ ขับรถยังไงเนี่ย”
ใครจะรู้ ผู้ชายที่ขับรถกลับมองเพื่อนผู้หญิงด้วยความตกใจจนหน้าถอดสี กล่าวอย่างตื่นตระหนก “ชินชิน เมื่อกี้ฉันเหมือนเห็นนางฟ้า!”
หญิงสาวกล่าวอย่างหัวเราะเยาะ “นางฟ้าหรือ อย่างนั้นฉันก็เห็นปีศาจแล้วล่ะ”
“ชู่-!” ชายคนนั้นปิดปากเธออย่างรวดเร็ว ไม่สนใจลิปสติกที่เธอเพิ่งจะเติมเสร็จเลยสักนิด
“อื้อๆ…!” หญิงคนนั้นเบิกตาโตดิ้นพล่าน
แต่ชายคนนั้นกลับเตือนเสียงเบา “เธอเบาเสียงหน่อย เมื่อกี้ฉันเห็นนางฟ้าจริงๆ โผล่มาแป๊บเดียว ก็หายไปแล้ว”
หญิงคนนั้นกัดมือฝ่ายชายอย่างหงุดหงิด แค่นเสียงเหยียดหยาม “โผล่มาแป๊บเดียวก็หายไปเหรอ นายไม่พูดเลยล่ะว่าหล่อนขึ้นสวรรค์ไปแล้ว ฉันว่านายกินยาเกินขนาด เห็นภาพหลอนแล้ว”
ชายคนนั้นถูกเพื่อนผู้หญิงพูดฉีกหน้าจนหน้าเปลี่ยนสี
แต่ว่า เขาไม่ได้ยืนกรานเรื่องทั้งหมดที่ตนเห็นเมื่อครู่อีกต่อไป อย่างไรเสีย ภาพภาพนั้นก็อาจจะเป็นภาพหลอนได้จริงๆ เขาพึมพำด้วยความสงสัยเล็กน้อย “หรือว่าฉันหลอนไปเองจริงๆ”
“รีบไปเถอะ ยังจะอึ้งอะไรอยู่อีก” เพื่อนผู้หญิงเร่งรัดอย่างหงุดหงิดใจ
“โอเคๆๆ ไปแล้ว” ในที่สุดชายคนนั้นก็ได้สติกลับมา หลังจากโยนสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ออกไปจากสมอง ก็ออกรถอีกครั้ง ขับออกไปจากถนนใหญ่
มู่ชิงเกอที่จากมานานแล้ว ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างสิ้นเชิง
ยิ่งไม่รู้ว่า การกระทำของนางถูกใครบางคนพบเห็นเพียงเพราะนางพบเห็นอันตรายของหลี่ชิวหยวนจึงเร่งรีบออกไป
ก่อนหน้านี้ ตอนที่นางตามหาหลี่ซิวหยวนอยู่ในปัญญาเทวะ ก็ ‘เห็น’ หลี่ชิวหยวนถูกรถตู้สีดำสองคันที่ปรากฎขึ้นกะทันหัน ประกบหน้าหลังระหว่างทางกลับบ้าน
หลังจากนั้น ในรถก็มีคนสวมเสื้อหนังหนึ่งกลุ่มวิ่งออกมา ชายใส่หน้ากากสัตว์ประหลาดคลุมหัว ดึงเขาออกมาจากรถ ลากไปใกล้รถตู้คันหนึ่งในนั้น
ฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนคนไม่เยอะอีกทั้งมู่ชิงเกอยังสังเกตเห็นว่า พวกเขาต่างก็พกปืนไว้ข้างกาย สำหรับหลี่ซิวหยวนแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องดีนัก
สัมผัสได้ถึงฉากฉากนี้มู่ชิงเกอจึงรีบตามไป
นางมุ่งไปตามสัมผัสที่รับรู้ได้จากตัวหลี่ชิวหยวน เร็วอย่างยิ่งก็ไปถึงละแวกใกล้เคียงโรงงานร้างชานเมืองแห่งหนึ่ง
หลังจากที่มาถึงที่นี่ ปราณของหลี่ซิวหยวนก็หยุดลง พูดได้ว่า พวกเขาพาเขามาที่นี่ จุดประสงค์คือต้องการเรียกค่าไถ่ หรือว่าต้องการข่มขู่ ตัดสินด้วยประสบการณ์ของมู่ชิงเกอ น่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า
อย่างไรเสีย หลี่ซิวหยวนก็ไม่ได้ถูกจับตัวเรียกค่าไถ่เป็นครั้งแรก
เพียงแต่…ผู้ชายคนนี้ ต่อให้จะถูกเรียกค่าไถ่กี่ครั้งก็ไม่เคยรู้จักนำบอดี้การ์ดมาไว้ข้างกายเลย นิสัยที่ไปไหนมาไหนคนเดียวของเขา สร้างโอกาสดีเยี่ยมจำนวนมากให้โจรเรียกค่าไถ่มากมาย
กว่าจะได้กลับมาสักครั้ง เดิมยังคิดจะพูดคุยเรื่องในวันวานกับหลี่ซิวหยวน คิดไม่ถึงว่าจะเจอเขาถูกเรียกค่าไถ่อีกแล้ว
‘‘หลี่ชิวหยวนชีวิตนี้นายถูกลิขิตให้ฉันต้องคอยช่วยจริงๆ!” มู่ชิงเกอ บ่นกับตัวเองอย่างจนใจ
นางเก็บลมปราณ เข้าไปใกล้โรงงานร้าง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ข้างใน ก็มีแสงไฟส่องออกมารางๆ ปกคลุมร่างนาง เพียงแต่ไม่มีใครมองเห็น
เสียงสนทนาก็ดังเข้ามาในหูนางเช่นกัน
“คุณชายหลี่ การซื้อขายครั้งนี้คุ้มค่าแน่นอน! หนึ่งร้อยล้าน แลกชีวิตคุณชาย ไม่นับว่าแพง เว้นเสียแต่ว่า คุณชายจะคิดว่าชีวิตของคุณชาย ไม่คุ้มค่ากับเงินร้อยล้านนี้”
มู่ชิงเกอกลอกตา ในใจรู้ดีอยู่แล้ว
ดูท่าแล้ว โจรเรียกค่าไถ่จะกำลังเจรจาต่อรองกับหลี่ซิวหยวนอยู่
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะตามความเคยชินของหลี่ซิวหยวนก็ดังขึ้น เสียงหัวเราะของเขา ปกติแล้วจะมีความหยอกล้อและเย้ยหยันอยู่เล็กน้อย “ร้อยล้านเหรอ ทำไมพวกแกไม่เอาสักพันล้านเล่า”
“คุณชายหลี่ หนึ่งร้อยล้าน พวกเราพี่น้องแบ่งกันหลายคนขนาดนี้ เงินที่ถึงมือไม่นับว่าเยอะหรอก” โจรเรียกค่าไถ่กล่าวอย่างเย็นเยียบ
“ลูกพี่ อย่าไปพูดจาเหลวไทลกับเขาเลย ไม่สั่งสอนเขาเสียหน่อย เขายังคงคิดว่าพวกเราพี่น้องล้อเขาเล่นอยู่”
“ใช่! ตัดนิ้วมือเขาสักนิ้ว ให้เขาเห็นความร้ายกาจของพวกเราพี่น้อง! อย่างไรเสียเขาก็มีเงิน พอให้เงินค่าไถ่แล้ว ค่อยหาโรงพยาบาลมารับกลับไปก็ได้”
“ลูกพี่ ถ้าเขาไม่ให้ความร่วมมือ ไม่สู้ไปหาญาติเขา ผมไม่เชื่อว่าตระกูลหลี่จะมองดูลูกชายเพียงคนเดียวของพวกเขาตายไปแบบนี้ได้”
โจรเรียกค่าไถ่คนที่เหลือถูกยั่วยุเพราะท่าทีของหลี่ซิวหยวน ชั่วขณะก็เริ่มถกเถียงกันขึ้นมา
เพียงแต่ คำพูดของพวกเขา สำหรับหลี่ซิวหยวนแล้ว ไม่สามารถข่มขู่อะไรเขาได้เลย มือทั้งคู่ของเขาถูกมัดอยู่บนพนักเก้าอี้ไม่สามารถขยับได้อย่างอิสระ
ได้ยินคำพูดของกลุ่มโจร เขาก็ยิ้มเยาะกล่าว “คุณชายอย่างฉันไม่ถูกข่มขู่ให้กลัวได้ง่ายๆ ฉันจะบอกพวกแกให้คนที่เรียกค่าไถ่ฉันมีถมไป แต่ว่าจนถึงทุกวันนี้ หลี่ซิวหยวน ตระกูลหลี่ของฉัน ยังไม่เคยจ่ายเงินเรียกค่าไถ่เลย แม้แต่ครั้งเดียว และคนที่เรียกค่าไถ่ฉันเหล่านั้นก็ถูกส่งเข้ากองสันติบาล
ทั้งหมด”
“ถุย! แกยังมากล้าอวดดีกับฉันอีก แกคิดว่าจะขู่พวกเราพี่น้องให้กลัวได้เหรอ” มีโจรเรียกค่าไถ่โมโหแล้ว
แต่หลี่ชิวหยวนกลับถลึงตากลับไปอย่างไม่เกรงกลัว “เก่งนักแกก็ ฆ่าฉันสิ!” เขาแน่ใจแล้วว่า จุดประสงค์ของคนเหล่านี้คือเงิน ไม่ใช่ฆ่าคน
มู่ชิงเกอที่ฟังบทสนทนาเหล่านี้จนจบอยู่ข้างนอกก็ส่ายหน้ายิ้ม หลี่ซิวหยวนยังคงเป็นเช่นนี้
“แกคิดว่าจะมีใครมาช่วยแกได้เหรอ” ในห้อง นอกจากไฟโกรธของโจรเรียกค่าไถ่ ยังมีเสียงเศษแก้วเศษขวดแตก
ดวงตาหลี่ซิวหยวนมีแสงดำมืดแวบผ่านอย่างไม่ทันได้ระวังตัว
ราวกับว่า คำพูดของโจรเรียกค่าไถ่กระทบบาดแผลในใจเขา เขากล่าวเงียบๆ ในใจ นั่นสิ มู่เกอก็ไม่อย่แล้ว จะมีใครมาช่วยฉันได้อีก