Skip to content

สู่วิถีอสุรา 122

ตอนที่ 122 การหยั่งเชิงของซูหมิง

‘เขาเป็นคนเผ่าบูรพาสงบ…..อันดับแรกหากจ้าวเผ่าบูรพาสงบทราบเรื่องที่ข้ารักษาฟางมู่แล้ว…….’ ซูหมิงเดินไปอย่างเงียบๆ กำลังขบคิดถึงเรื่องดังกล่าว เขาจำได้ว่าท่านปู่เคยสอนเอาไว้ ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรต้องตรึกตรองให้มาก หากไม่เข้าใจก็ให้มองตัวเองเป็นอีกฝ่าย ไคร่ครวญตามแนวคิดของฝ่ายนั้น บางทีอาจจะพบสิ่งใหม่

‘หากข้าเป็นจ้าวเผ่าบูรพาสงบ น่าจะมองออกถึงการเปลี่ยนแปลงของบุตรชาย และแอบตามมา…..ทว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เผยตัว บางทีอาจจะอธิบายได้ว่า เคล็ดการควบคุมความละเอียดอ่อนที่ข้าเตือนไปก่อนหน้านี้น่าจะได้ผล

ขณะเดียวกัน หากข้าเป็นจ้าวเผ่าบูรพาสงบ ข้าอาจเกิดความลังเลใจทุกครั้งที่เห็นอาการบาดเจ็บของบุตรชายดีขึ้น หากไม่มั่นใจเต็มสิบ ก็ไม่น่าจะมาเสี่ยงพิสูจน์หรือล่วงเกินขั้นชำระล้างที่ยังอยู่ในการคาดเดา เพราะมันไม่มีประโยชน์’

‘ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากข้าเห็นดาบที่มอบให้บุตรชายตกไปอยู่ในมือของชาวเผ่าคนอื่น ข้าจะรู้สึกอย่างไร?’

ซูหมิงใช้นิ้วคลึงระหว่างคิ้ว หลังจากเขามายังแดนอรุณใต้แปลกตาแห่งนี้ก็ต้องพึ่งตัวเองทุกอย่าง ในช่วงที่ขั้นพลังยังไม่แข็งแกร่งพอ ก็ต้องใช้แผนการมาเติมเต็มส่วนต่าง มิเช่นนั้นแล้ว คนแปลกหน้าคนหนึ่งคงยากจะยืนหยัดต่อไปในที่แห่งนี้ เว้นแต่จะยอมอยู่แบบธรรมดา ทว่าอย่างนั้น ซูหมิงไม่ทราบว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ถึงจะได้กลับบ้าน

ถึงอย่างไรประสบการณ์ชีวิตเขาก็น้อยยิ่งนัก ทำดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงใช้การไตร่ตรองอย่างจำกัด เพื่อไม่ให้ตนแสดงเจตนาร้ายโดยง่ายเท่านั้น หากแสดงไปแล้วก็จำต้องเด็ดขาด

‘เผ่าบูรพาสงบ ตั้งแต่ที่ข้าใช้ฟางมู่มาเป็นตัวล่อ ก็ดำเนินการมาทีละขั้น เมื่อขั้นพลังของข้าถึงจุดที่มั่นคงแล้ว จะใช้โอกาสนี้ปักหลักอยู่ที่นี่ ข้าไม่เคยแสดงเจตนาร้ายต่อเผ่าบูรพาสงบมาก่อน ทั้งยังช่วยรักษาฟางมู่ แสดงให้เห็นเพียงแต่เจตนาดี แต่ดาบเล่มนี้ข้าใช้เพียงเพื่อทดสอบดูเผ่าบูรพาสงบว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเท่านั้น ดีที่ว่าสอดคล้องกัน’

เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ว่าซูหมิงเพิ่งนึกได้ แต่เป็นก่อนหน้าจะมีคนบุกโซ่เขาหาน หลังจากเขาเห็นกระดิ่งสีดำบนข้อมือผู้อาวุโสในร้านแล้ว ก็ใช้เวลาอยู่ค่อนวัน ขณะทุกคนกำลังตะลึงกับเรื่องของเหอเฟิงกับเสวียนหลุน มันก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาในความคิด

นี่ยังเป็นเพราะประสบการณ์เขายังไม่เพียงพอ มิเช่นนั้นแล้ว เรื่องเหล่านี้พอคิดทบทวนจะเข้าใจได้ในทันที ทว่ายามนี้กลับต้องใช้เวลามาชดเชย ไม่ชำนาญเหมือนดั่งจิ้งจอก

ยกตัวอย่างเช่นเรื่องใช้ฟางมู่มาเป็นตัวล่อ แม้ว่าตอนพบหน้ากันครั้งที่สองเขาดูเหมือนสงบนิ่ง การกระทำดูเชี่ยวชาญ ทั้งยังใช้คำพูดเพื่อหยั่งเชิงและทำให้หวาดกลัว ไม่ว่าจะทำอะไรดูสงบนิ่งมั่นคงไปหมด ไม่เผยช่องโหว่ให้เห็นมากนัก จนทำให้บิดาของฟางมู่เกรงกลัว ดูไม่เหมือนเด็กหนุ่มคนหนึ่ง

ทว่าความจริงแล้ว ซูหมิงใช้เวลาหลายเดือนในการขบคิดและเตรียมตัว จนเมื่อมีความมั่นใจเก้าส่วนแล้วจึงได้ลงมือทำ นี่เป็นสาเหตุที่เขาให้ฟางมู่รอในป่าฝนและร้องเรียกอยู่หลายครั้งกว่าจะปรากฎตัว มิเช่นนั้นแล้ว คงจะปรากฎตัวตั้งแต่ครั้งแรกหลังจากหนีฟางมู่ไปในครั้งนั้น ไม่ต้องรอหลายเดือนเช่นนี้

เวลานี้ก็เป็นแบบเดียวกัน ใช้เวลามาชดเชยประสบการณ์อันน้อยนิดของเขา ต่อให้วันนี้ไม่มีเรื่องเหอเฟิงบุกโซ่เขาหาน ซูหมิงก็จะเข้ามาสำรวจแล้วจากไป รอจนกว่าเข้าใจแล้วจึงกลับมาใหม่

ยามนี้ในหัวเขาวิเคราะห์เรื่องนี้อีกหนึ่งรอบจนมั่นใจว่าไม่มีอะไรตกหล่นแล้ว จึงออกไปจากชั้นสาม ในช่วงที่ท้องฟ้ามืดมิดก็กลับมาถึงห้องพักในชั้นสี่เมืองเขาหาน

เขานั่งขัดสมาธิอยู่ภายในห้องที่ดูหรูหรากว่าเมืองหินโคลนไม่น้อย กำลังตกอยู่ในห้วงความคิด ตั้งแต่ที่เขามาถึงแดนอรุณใต้แปลกตา นี่ก็ใกล้จะครบสองปีแล้ว ไม่ทราบว่าเมื่อไรเขาจึงเป็นคนนิสัยขบคิดอยู่แทบทุกเวลา การสั่งสอนของท่านปู่ในช่วงหลายปีมานี้ค่อยๆ เผยให้เห็น

“จะต้องใกล้ชิดกับเผ่าบูรพาสงบต่อไป ประสบการณ์ยังห่างชั้นนัก บ่มเพาะทางสายนี้ไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุดจะกลายเป็นหนึ่งในทางเลือกของข้า แต่จะมีทางเดียวในเมืองเขาหานก็ไม่ได้ ต้องเตรียมทางเลือกอื่นเอาไว้ ข้าถึงจะสบายใจ”

ซูหมิงนั่งอยู่ภายในห้องอย่างเงียบสงบ ยามนี้นอกจากหาแผนที่เดินทางไปยังแดนพันธมิตรตะวันตกแล้ว ยังต้องปักหลักอยู่ที่นี่ให้ได้โดยเร็ว เพื่อง่ายแก่การตามหาท่านปู่ว่าอยู่นี่หรือไม่

แม้ความหวังจะริบหรี่ แม้ท่านปู่อาจตายไปแล้ว ทว่าซูหมิงก็ยังไม่ยอมเชื่อ

“แผนที่เดินทางไปยังแดนพันธมิตรตะวันตก ในนั้นต้องมีของแดนอรุณใต้รวมอยู่ด้วยแน่ แผนที่ภูมิประเทศอย่างนี้ย่อมไม่ใช่ของธรรมดา และไม่ใช่สิ่งที่เผ่าชั้นกลางจะครอบครองได้ สิ่งนี้น่าจะล้ำค่ายิ่งนัก คงไม่มีทางให้คนนอกได้เห็นโดยง่าย……”

ซูหมิงถอนหายใจเบา

“ต้องทำทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนอื่นต้องยืนหยัดตัวเองต่อไป…ไม่ใช่เหมือนกับเหอเฟิง แต่เหมือนกับเสวียนหลุนที่ดำรงอยู่เป็นผู้แข็งแกร่ง” แววตาซูหมิงเป็นประกายเล็กน้อยจนไม่อาจสัมผัสได้

“ในเมืองเขาหานมีผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างทั้งหมดห้าคน เสวียนหลุนเป็นหนึ่งในนั้น…….อีกอย่างเขายังเป็นประธานแขกพิเศษเผ่าผู่เชียง ฉะนั้น ผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างอีกสี่คนก็น่าจะอยู่ในสามเผ่านี้

นอกจากพวกเขาแล้ว นักรบหมานขั้นชำระล้างยังมีไม่น้อย ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนจากสามเผ่า คนมากมายขนาดนี้อยู่ในเมืองเขาหานจะต้องมีวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง ฟางมู่เคยบอกว่า เมื่อสำนักเหมันต์สวรรค์รับคนก็อาจจะมาเมืองเขาหานด้วย แม้ว่าเรื่องนี้จะดึงดูดผู้คน แต่ข้ารู้สึกว่ายังมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในเมืองนี้ ดึงดูดผู้แข็งแกร่งอย่างเช่นเสวียนหลุนให้อยู่ยาว” ซูหมิงลูบคาง ใต้คางเขามีเคราอ่อนๆ เป็นร่องรอยแรกจากการเติบใหญ่ของเด็กหนุ่ม

“ด้วยขั้นพลังของข้าในยามนี้ เส้นเลือดสองร้อยสี่สิบสามเส้น ลำดับเจ็ดขั้นรวมโลหิต ในเมืองเขาหานนับว่าเป็นชั้นกลางเท่านั้น

หากใช้การควบคุมความละเอียดอ่อน ข้าก็สามารถประมือกับลำดับแปด! พอนับได้ว่าเป็นแค่ขีดสูงสุดของช่วงกลางขั้นรวมโลหิต” ซูหมิงเงียบขรึม ทว่าในดวงตากลับมีเงาจันทร์โลหิตขยับแสงรางๆ

“แต่ข้ามีวิญญาณค้างคาวจันทรา หากอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ยอมบาดเจ็บสาหัสเหมือนตอนภูเขาทมิฬ แล้วแสดงวิญญาณค้างคาวจันทราทั้งหมด…” ซูหมิงหลับตา ซ่อนเงาจันทร์โลหิตในดวงตา

“มันเป็นอาวุธสังหารของข้า หากไม่เกี่ยวกับความเป็นตาย จะใช้ไม่ได้เด็ดขาด”

“และยังมีหานเฟยจื่อ เป็นชื่อเรียกที่แปลกยิ่งนัก ได้ยินคนคุยกันว่าในสำนักเหมันต์สวรรค์มีเพียงศิษย์สามผู้แข็งแกร่งสุดเท่านั้นถึงจะได้รับฐานะหานจื่อ” ซูหมิงขบคิดถึงเรื่องนี้ชั่วครู่ ก่อนไม่สนใจอีก เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเขา เขาไม่อยากเสียเวลาไปสนใจ

เมื่อความคิดสงบนิ่ง ซูหมิงจึงนั่งบำเพ็ญเพียร โคจรโลหิตในกายอย่างช้าๆ เวลาเข้าสู่กลางดึกโดยไม่รู้ตัว ด้านนอกเงียบสงัด ทั้งเมืองเขาหานราวกับเข้าสู่นิทรา

ไม่ทราบว่าเมื่อใด มีเสียงฟ้าผ่าดังมาจากด้านนอก ก่อนตามมาด้วยเสียงน้ำฝนกระทบลงพื้น ทำให้ผู้คนแยกไม่ออกว่ามันตกมาจากฟ้า หรือหวนกลับจากผืนดิน ราวกับตัดสลับกันกลายเป็นม่านฝน

ฤดูนี้มีฝนมากเป็นพิเศษ น้ำฝนถล่มลงมาในแอ่ง

ไม่นานฝนนั้นก็ท่วมเมืองเขาหาน ทั้งยังมีเสียงลมพายุโหมกระหน่ำ ม้วนน้ำฝนกระทบกับผืนหนังหน้าต่างอาคารเรือน ก่อให้เกิดเสียงดังแปะๆ ภายในห้องไม่มีแสงเทียน โดยรอบมืดมิด ทว่าในช่วงที่ฟ้าผ่าจะสะท้อนแสงให้เห็นบ้างเป็นบางครั้ง ซูหมิงพลันลืมตาขึ้น

เขายันกายขึ้นเดินไปเบื้องหน้า เปิดหน้าต่างเงียบๆ ด้านนอกมีลมพายุฝนกระทบใบหน้า พัดผ่านเส้นผมของเขา เขามองความมืดมิดยามค่ำคืนและน้ำฝนนอกหน้าต่าง ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่กล่าวสิ่งใด

“ไม่รู้ว่าตอนนี้ภูเขาทมิฬจะเป็นฤดูอะไร…สองปี เร็วจริงๆ …” ซูหมิงกล่าวพึมพำ

“ชนเผ่าจะเป็นอย่างไรบ้าง…ท่านปู่ ยังอยู่ในโลกมนุษย์หรือไม่…” ซูหมิงเป็นทุกข์ เขาอยู่ในแดนแปลกตานี้เพียงลำพัง โดดเดี่ยวยิ่งนัก ความรู้สึกเหงาเช่นนี้ทำให้เขาเรียนรู้การใช้ความเงียบขรึมมาปกป้องตัวเอง

เขาลูบรอยแผลเป็นบนใบหน้า ยืนอย่างนั้นอยู่นาน…จนกระทั่งค่ำคืนที่สองในเมืองเขาหานผ่านไป เมื่อยามเช้าตรู่ น้ำฝนยังคงปกคลุมฟ้าดิน คนเดินถนนไม่มาก น้ำฝนบนพื้นไหลลงไปตามทางภูเขา ทำให้ถนนลื่นยิ่งนัก

ซูหมิงไม่ได้อยู่ในเมืองเขาหานต่อ เขาซื้อสมุนไพรจำเป็นมาไม่น้อย แม้จะขาดไปบางชนิดสำหรับการหลอมโอสถชิงวิญญาณ อีกทั้งสามกระดูกสัตว์ยังซื้อมาเพียงชิ้นเดียว ทว่าชั้นสามกับชั้นสี่ก็ไม่มีของที่เขาต้องการแล้ว เว้นแต่จะเป็นขั้นสอง

ทว่าชั้นนี้ไม่เพียงแต่จำกัดขั้นพลังเท่านั้น ยังต้องมีฐานะเป็นแขกพิเศษด้วยถึงจะเข้าไปได้ ซูหมิงขบคิดอยู่ชั่วครู่จึงล้มเลิก และเดินทางออกจากเมืองเขาหาน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขามาเมืองเขาหาน ดูธรรมดาเรียบเฉยไม่ได้โดดเด่นอะไร แม้จะดึงดูดความสนใจของคนกลุ่มหนึ่ง ทว่าจะให้กล่าวจริงๆ แล้ว มันเหมือนกับโยนหินเล็กไปในทะเลสาบ เป็นเพียงระลอกคลื่นเล็กๆ เท่านั้น

ยามมาท้องฟ้าแจ่มใส ยามกลับน้ำฝนเป็นม่าน

หันหลังจากเมืองเขาหาน เงาซูหมิงค่อยๆ หายลับไป ไม่หยุดแต่เพิ่มความเร็วขึ้น ท่ามกลางม่านฝน เขามุ่งหน้าไปทางภูเขาลึกในป่าฝน การมาเมืองเขาหาน เขาไม่ได้ตามหาแผนที่แดนอรุณใต้อย่างเต็มที่ ทว่าขณะเดินทอดน่องอยู่ในเมือง ภายในร้านค้าเหล่านั้นกลับไม่มีร้านไหนขายเจ้าสิ่งนี้

อีกทั้งจากข้อมูลที่ได้ฟังมา เขาเริ่มพบเจอเบาะแสมากขึ้น แม้จะเป็นเพียงแผนที่แปดทิศโดยรอบ แต่ก็อยู่ในมือสามชนเผ่า ทั้งยังล้ำค่ายิ่งนัก

หนทางข้างหน้าเลือนราง ทุกสิ่งลำเค็ญ จากคนธรรมดาจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้อย่างไร ซูหมิงไม่ทราบว่าอนาคตข้างหน้าจะไปทางไหน

เขาทราบเพียงว่าต้องเดินต่อไปอย่างสงบนิ่งให้ขั้นพลังของตัวเองสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดที่มั่นคงแล้ว ความเลือนรางเบื้องหน้าจะถูกฉีกขาด

เขาเดินทางอย่างเงียบขรึม ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป ขณะห้อเหยียดไม่ได้ตรงเข้าสู่ป่าฝนทันที แต่ใช้เวลาหลายวันวนไปวนมาหลายรอบ จนเมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครตาม จึงกลับเข้าไปยังถ้ำรอยแยกเทือกเขาในป่าฝนที่คุ้นเคย

ฝนยังคงตกไม่หยุด ชำระล้างรอยเท้าของเขา กลายเป็นการป้องกันทางธรรมชาติ ในช่วงที่ซูหมิงกลับถึงถ้ำในรอยแยก ทั้งตัวเขาเปียกชุ่ม น้ำฝนไหลลงมาตามเส้นผม

ซูหมิงเดินเข้าไปในถ้ำ โคจรโลหิตในกาย ไอความร้อนแผ่ขยายรอบตัวราวกับกลายเป็นเพลิง ไม่นาน หมอกขาวลอยขึ้นจากตัวซูหมิง เสื้อผ้าเปียกชื้นค่อยๆ แห้งสนิท ทว่ากลับมีรอยยับจำนวนมาก ดูยากแค้นเล็กน้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version