ตอนที่ 1335 เต๋า ไร้ที่สิ้นสุด
ซูหมิงผ่านจิตใจเปลี่ยนมากี่ครั้งไม่สำคัญ
สิ่งที่สำคัญคือจิตใจเปลี่ยนแต่ละครั้ง ที่เปลี่ยนไปคือการหลุดพ้น ในระหว่างการชะล้างหลายต่อหลายครั้ง จึงทำให้ความเข้าใจของเขาค่อยๆ เกือบถึงระดับที่เรียกว่าลึกลับและมหัศจรรย์
ในยุครุ่งเรืองนั้นมียอดฝีมือเป็นตัวอย่างแล้ว เรียกระดับความลึกลับและมหัศจรรย์นี้ว่า…เต๋า!
ความจริงแล้วหลายยุคในโลกซางเซียง แม้จะไม่ได้รุ่งเรืองเป็นพิเศษ แต่ก็มี ยอดฝีมือจำนวนมากตระหนักรู้ขอบเขตนี้ขึ้นมาเช่นกัน แต่กลับไม่ได้ชัดเจนและลึกลับมหัศจรรย์อย่างในยุครุ่งเรืองนั้น
ต่อให้เป็นยุคนี้ที่ซูหมิงอยู่ก็มีตำนานของขั้นพลังประหลาดอย่างหนึ่งต่อจาก ขั้นไม่อาจกล่าว นามของขั้นพลังนี้เรียกว่า…เต๋าไร้ที่สิ้นสุด!
ขอบเขตพลังนี้คือขั้นพลัง แต่จุดสำคัญก็เป็นขอบเขตพลังของจิตใจ
เหมือนกับขั้นไม่อาจกล่าว มันก็เป็นเช่นนี้ ขั้นไม่อาจกล่าวเป็นหนึ่งขั้นพลัง และก็มีความลึกลับมหัศจรรย์ของจิตใจ ทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงของระดับชีวิต ซึ่งจริงๆ แล้วรายระเอียดแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นเพียงบรรลุถึงขั้นไม่อาจกล่าว เหมือนจักรพรรดิรุ่งอรุณสามคนและผู้สูงส่งหวนคืนสามคน พวกเขาคือตัวอย่างของคนที่ขั้นพลังบรรลุถึงขั้นไม่อาจกล่าว
แต่ขอเพียงเป็นขั้นพลัง สุดท้ายแล้วก็จะมีขีดจำกัดของมัน ดังนั้นในด้ายภายนอก ผู้สูงส่งหวนคืนก็ดี จักรพรรดิรุ่งอรุณก็ดี แม้พวกเขาจะอยู่จุดสูงสุดในสายตาตนอื่น แต่พวกเขาต่างเข้าใจว่าขั้นไม่อาจกล่าวของพวกเขาเป็นเพียงรูป มิใช่จิตใจ
นี่เลยทำให้ศักยภาพพวกเขาไม่มีค่าให้เอ่ยถึงเมื่ออยู่ต่อหน้าซูหมิง ซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนี้ แม้พวกเขาจะถูกเรียกว่าขั้นไม่อาจกล่าว แต่หากเปรียบขั้นไม่อาจกล่าวเป็นต้น กลาง ปลายรวมถึงสมบูรณ์แล้ว หกคนนี้…อยู่เพียงระดับต้นเท่านั้น
และก็บรรลุได้เพียงระดับต้น กระทั่งพูดได้ว่าต้องอยู่ระดับต้นไปทั้งชีวิต เว้นแต่…พวกเขาจะทำให้ความลึกลับมหัศจรรย์ของจิตใจบรรลุถึงขั้นไม่อาจกล่าวด้วยถึงจะทะลวงผ่านไป ที่ชางซานหนูหนึ่งในสามจักรพรรดิรุ่งอรุณแข็งแกร่งก็เพราะเศษของปีกซางเซียง ที่เสวียนจิ่วในสามผู้สูงส่งหวนคืนแข็งแกร่งก็เป็นเพราะเขาคือคนเดียวในหกคนที่ฝึกจิตใจจนคลำหาขอบเขตพบเล็กน้อย ดังนั้นแม้เขาจะยังเป็นขั้นไม่อาจกล่าวตอนต้น แต่ที่แกร่งกว่าคนอื่นอย่างชัดเจนก็เพราะตรงนี้
ส่วนที่สองคือบรรพชนวิญญาณเหล่านั้น ในยุคนี้ก็ดี หรือยุคอื่นก็ดี คนที่ยกระดับวิญญาณสำเร็จมากกว่าสามครั้งจะเรียกได้ว่าขั้นไม่อาจกล่าว ทว่าขั้นพลังพวกเขายังไม่บรรลุถึง แต่อาศัยการเติมเต็มซึ่งกันและกันในจุดบกพร่องชีวิต เลยทำให้ระดับชีวิตบรรลุถึง
ขั้นไม่อาจกล่าวแบบนี้ไม่แข็งแกร่ง ในบางด้านยังเทียบไม่ได้กับคนที่ขั้นพลังบรรลุถึงอย่างบริสุทธิ์ เว้นแต่จะยกระดับวิญญาณมากกว่าหกครั้งถึงจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นไม่อาจกล่าว
แต่ผู้ยกระดับวิญญาณหกครั้งหายากยิ่ง มีน้อยในน้อย นี่ก็เป็นสาเหตุที่นามของบรรพชนวิญญาณได้รับการยกย่องจากฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน
คนเหล่านี้บ้างอาศัยพลัง บ้างอาศัยขอบเขตชีวิตบรรลุถึงขั้นไม่อาจกล่าว อายุขัยพวกเขาอยู่คู่กับยุค ฟังดูเหมือนไม่มีสิ้นสุด แต่ความจริงเป็นเพียงหนึ่งยุคเท่านั้น
ตัวอย่างที่ดีในขั้นพลังนี้ก็คือ…ชายชราวิญญาณสวรรค์
ยกระดับวิญญาณแปดครั้งทำให้เขากลายเป็นผู้แข็งแกร่งในขั้นไม่อาจกล่าวตอนต้น เหนือกว่าเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน อยู่จุดสูงสุดกดขี่อยู่ เหนือจักรวาล
แต่สุดท้ายคนเหล่านี้ก็ยังเป็นเพียงขั้นไม่อาจกล่าวตอนต้น
แต่หากจะขึ้นเป็นไม่อาจกล่าวตอนกลาง สิ่งแรกที่ต้องทำคือ…ไม่สูญสิ้นไปในภัยพิบัติ
ในขั้นไม่อาจกล่าวตอนต้นเหล่านี้มีผู้ได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่คือตามหาตัวเองอีกคนในมหาโลกซางเซียงพบ ก็จะมีสิทธิ์คงอยู่ได้ในหลายยุค แต่ที่มากกว่าคือไม่มี คุณสมบัตินี้ จึงได้แต่เงยหน้ายิ้มอย่างเศร้าโศกตอนภัยพิบัติมาถึง แล้วสลายเป็นเถ้าธุลี
มีแต่ต้องมีสิทธิ์นี้เท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติก้าวไปสู่ขั้นไม่อาจกล่าวตอนกลาง
นี่คือพื้นฐาน หลังจากมีพื้นฐานนี้แล้ว ยังต้องมีความเข้าใจต่อขอบเขตจิตใจ อย่างลึกซึ้ง รวมถึงในด้านพลังต้องก้าวสู่ขั้นไม่อาจกล่าว จนพูดได้ว่าไม่ว่าจิตใจหรือขั้นพลังล้วนก้าวสู่ขั้นไม่อาจกล่าว ถึงขั้นภายในยังต้องเกี่ยวเนื่องกับการเปลี่ยนแปลงของระดับชีวิตที่ลึกยิ่งกว่า แบบนี้…ถึงจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นไม่อาจกล่าวตอนกลาง
ตัวอย่างในระดับนี้ก็คือตัวประหลาดที่รอดตายจากภัยพิบัติมาหลายยุคซึ่งกำลังหลับใหลอยู่เหล่านั้น ในพวกเขามีจำนวนหนึ่งไม่มากที่บรรลุถึงขั้นพลังนี้
แต่ว่า…ขั้นไม่อาจกล่าวตอนกลางก็เป็นขีดจำกัดแล้ว สำหรับคนจำนวนมาก ขีดจำกัดนี้คือจุดสูงสุด พวกเขาไม่รู้ว่าจะข้ามผ่านไปอย่างไร ขั้นพลังก็ดี ระดับชีวิตก็ดี ล้วนถึงขีดจำกัดหมดแล้ว ความจริง…ก็ไม่มีก้าวต่อไปแล้วจริงๆ
อย่างเช่น เทพสัตว์ห้าหน้า มันเกือบแข็งแกร่งที่สุดในขั้นพลังนี้
กระทั่งในยุคส่วนใหญ่ พอถึงขั้นนี้ก็จะเป็นจุดสูงสุดแล้ว…จนกระทั่งเคยมีในยุคหนึ่ง มีคนนามว่าสามรกร้าง เขา…ยึดร่างซางเซียง บรรลุถึงจุดที่แกร่งที่สุดของตัวเอง ทะลวงปราการที่เหมือนคงอยู่นิรันดร์มาตลอดไม่รู้กี่ยุค
เขา สำเร็จแล้ว ทันทีที่สำเร็จ เขาข้ามผ่านขั้นไม่อาจกล่าวตอนกลาง กลายเป็น…ขั้นไม่อาจกล่าวตอนปลาย!
ดังนั้นหลังจากเขาสำเร็จ ขั้นไม่อาจกล่าวตอนกลางจำนวนมากจึงเริ่มลองยึดร่าง ลองกิน แต่กลับล้มเหลวไปทีละคน พวกเขาเริ่มจากจุดเล็กๆ อย่างเช่น…ยึดครอง ดวงจิตโลกแท้จริง
ทว่าตั้งแต่โบราณจนมาถึงตอนนี้ไม่มีใครยึดครองดวงจิตโลกแท้จริงสำเร็จเลย มีเพียง…ซูหมิง!
มีเพียงซูหมิงที่สำเร็จ มีเพียงเขาที่สำเร็จภายใต้การแย่งชิงกับซูเซวียนอี ยึดครองดวงจิตโลกแท้จริงดาราสัจธรรม ในตอนที่สำเร็จก็เหมือนกับเปิดประตูเชื่อมสู่สวรรค์ตรงหน้า
ซูหมิงเคยคิดว่าเหตุใดเขาถึงสำเร็จ เรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่มีคำตอบ แต่ความจริงต่อให้เขาไม่สำเร็จ ซูเซวียนอีก็จะต้องสำเร็จแน่
ระหว่างเขากับซูเซวียนอีมีจุดที่เชื่อมกันอยู่…พวกเขาคือชาวเผ่ายมโลก!
หลังจากยึดครองดวงจิตโลกดาราสัจธรรม หลังหลอมรวมกับตัวเองอีกคน ยึดครองสี่โลกแท้จริงรวมถึงยกระดับวิญญาณอีกหลายครั้ง ทำให้ซูหมิงได้ตระหนักรู้การเปลี่ยนเทพหมาน อาศัยวิญญาณเผ่าหมานร้อยล้านดวงทำให้พลังก้าวสู่ขั้น ไม่อาจกล่าวอย่างแท้จริงตอนใช้เปลี่ยนเทพหมาน…หลังจากทุกอย่างนี้ เขาได้ก้าวสู่ ขั้นพลังที่นับแต่โบราณมามีเพียงสามรกร้างคนเดียวที่ไปถึง
ขั้นไม่อาจกล่าวตอนปลาย!
ดังนั้นสามรกร้างถึงพูดว่าซูหมิงมีคุณสมบัติยึดร่างเขา เพราะพวกเขาอยู่ระดับพลังเดียวกัน
ขั้นพลังนี้คือขีดจำกัดในขีดจำกัด กระทั่งซูหมิงคิดว่าต่อให้เขายกระดับวิญญาณจนครบ ต่อให้ระดับชีวิตเปลี่ยนไปทั้งหมด ต่อให้ยึดครองโลกแท้จริงมากกว่านี้ ก็เป็นได้เพียงผู้แข็งแกร่งที่สุดในขั้นพลังนี้ นี่คือสุดทางของการฝึกเต๋า เว้นแต่… จะยึดร่างสามรกร้างสำเร็จ
หรือไม่ก็สามรกร้างยึดร่างซางเซียง สรุป สิ่งที่เชื่อมหากันคือการกินระหว่างกันและกัน บางทีอาจมีเพียงแต่แบบนี้เท่านั้นถึงจะบรรลุถึงขั้นไม่อาจกล่าวสมบูรณ์ เหมือนกับผีเสื้อซางเซียงสมบูรณ์ในอดีต
จนกระทั่งซูหมิงได้เห็นชายหนุ่มชุดคลุมดำในอภินิหารย้อนเวลา ได้เห็นผู้เฒ่าเมี่ยเซิงผ่านเศษชิ้นส่วนผีเสื้อนั้นรวมถึงภาพผนังในซากปรักหักพัง เขาในตอนนั้นพลันเข้าใจว่าต่อให้บรรลุถึงขั้นไม่อาจกล่าวสมบูรณ์ก็ยังมีขั้นพลังที่สูงกว่านั้น
ขั้นพลังนี้ บางที…มันอาจจะเป็นเต๋าไร้ที่สิ้นสุดในตำนานผู้คน เป็นเต๋า… ที่ยอดฝีมือตระหนักรู้ขึ้นในยุครุ่งเรือง
ขั้นพลังนี้ แค่มองก็ลบซูหมิงได้แล้ว แต่เขาไม่ยอม ช่วงที่เขาเลือกลงมือกับ ชายหนุ่มชุดคลุมดำเพื่อเอาชนะความกลัวในใจ ตอนนั้นเขาได้ตระหนักรู้ถึงร่องรอยเสี้ยวหนึ่งในขั้นพลังนั้น…
วิญญาณ
คำเดียว แต่สำหรับซูหมิงแล้ว คำนี้เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ในใจ เมล็ดพันธุ์นี้คงอยู่แล้ว เรื่องนี้ ไม่ว่าสามรกร้าง ซางเซียงหรือผู้เฒ่าเมี่ยเซิงล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึง
สิ่งเหล่านี้คือ สี่ขั้นพลังสมบูรณ์ของขั้นไม่อาจกล่าว
แต่ตอนนี้ซูหมิงอยู่ในเส้นทางเลือดเนื้อ เขายังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในหมอก สีชมพูรอบตัว เพียงแต่บนตัวเขามีร่างกายงดงามยิ่งซึ่งมากพอจะทำให้ทุกชีวิตใจ สั่นไหวเพิ่มมาร่างหนึ่ง
ร่างนี้บิดพลางร้องครวญครางไปมาบนตัวซูหมิงราวกับงู เหมือนกำลังขอให้ช่วย…ดวงตาเลอะเลือนแฝงไว้ด้วยความยั่วยวนที่ทำให้ใจสั่นไหว มากพอจะละลายจิตสำนึกทุกอย่างลงในความนุ่มนวล
แทบเป็นทันทีที่ร่างงามคร่อมบนตัวซูหมิง เสียงหอบหายใจดังเข้าหู สายลมหอมโชยกระทบใบหน้า ซูหมิง…แม้จะไม่ลืมตาขึ้น แต่พิษแห่งตัณหาในร่างกายปะทุขึ้นทั้งหมด เหมือนจะควบคุมไม่ได้ จิตสำนึกไม่อยู่ในการควบคุม ราวกับมีพลังแห่งตัณหาควบคุมร่างกาย
แต่ว่า…พลังของซูหมิงรวมถึงดวงจิตและจิตใจเขา ต่อให้อยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ก็ยังมีสติอยู่เสี้ยวหนึ่ง สติเสี้ยวหนึ่งนี้ทำให้เขาลืมตาขึ้นเผยประกายปานสัตว์ป่า ตอนนี้เองภายในแววตาซ่อนประกายวาวเอาไว้เสี้ยวหนึ่ง
เขามองร่างอรชรของจื่อรั่วที่ขึ้นคร่อมบนตัวเขา ความงามของนางปลดปล่อยมาในยามนี้ ต่อให้เป็นซูหมิง สติในแววตาก็ยังเกิดการต่อสู้ดิ้นรน
ร่างกายเร่าร้อน เสียงหอบหายใจน่าหลงใหล สีชมพูสวยงามรวมถึงจื่อรั่อที่ ขย่มขึ้นลงบนตัวซูหมิงโดยไม่รู้ตัว ทุกอย่างนี้ หากวาดเป็นภาพวาดได้จะต้องเป็นตำราที่น่าหลงใหลที่สุดในฟ้าดินแน่ๆ
แม้จะมีอาภรณ์ขวางอยู่ แต่ตัณหายากจะบรรยายจากในตัวจื่อรั่วแผดเผาร่าง ซูหมิงแล้ว ทำให้เขาร่างสั่นไหวเบาๆ