บทที่ 316 ถ้าทำชั่ว จะนำพาหายนะ! (ต้น)
ชายสวมชุดดำชำเลืองมองชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า แววตาเย็นชาหากมิได้ออกวาจาตอบกลับ เยี่ยฉวนจึงพูดต่อไป “จริงนะ ข้าไม่ได้จะอวดอ้างสรรพคุณตัวเอง ตระกูลของท่านจะลองพิจารณาข้าให้ล้วงลึกมากกว่านี้ก็ยังได้ แล้วท่านก็จะพบว่าแท้ที่จริงแล้วข้าเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง”
ทว่าอีกฝ่ายโต้แย้งทันควัน “ข้าไม่ใช่คนของตระกูลอัน!” ชายหนุ่มจึงชะงักหุบปากเงียบ “……” ชายชราสวมชุดดำมองหน้าเยี่ยฉวนด้วยสายตาแข็งกร้าว ไม่คิดปกปิดแววตาแห่งความชิงชังเลยแม้แต่น้อย “ไม่ต้องห่วงยังไงเสีย พวกเราต้อง ‘ล้วงลึก’ คนอย่างเจ้าแน่นอน” ก่อนที่คนจะหันหลังกลับ ยังมิวายปรายหางตาเย็นชาเหลือบมาทางเยี่ยฉวนอีกคราก่อนหันขวับจากไป
เยี่ยฉวนนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าน้อยๆ “ช่างเป็นคู่อริที่น่าเบื่อหน่ายสิ้นดี……” ในเวลาต่อมา เจียงจิ่วตรงเข้ามาทางเยี่ยฉวน สายตาทอดมองไปทางขอบฟ้าแสนไกล ก่อนถามมาผ่วเบา “นางกลับไปเสียแล้วหรือ?” อีกฝ่ายหันหน้าไปในทิศทางเดียวกัน จึงพบว่าอันหลานซิ่วจากไปแล้วจริงๆ ไปแล้ว! ไม่อำลา!
เจียงจิ่วแสดงความเห็น “นางทำท่ารีบร้อน……อาจมีเรื่องร้ายแรง!” ชายหนุ่มพยักหน้า “ข้ารู้!” หญิงสาวเหลือบมองคนพูดแววตาเป็นกังวลฉายชัด นางรู้ดีว่าตระกูลของอันหลานซิ่วมิใช่ธรรมดาสามัญ ถ้าเยี่ยฉวนและอันหลานซิ่วเป็นเพียงสหายที่ชอบพอกัน ก็คงไม่หนักหนานัก แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าความรู้สึกที่อันหลานซิ่วมีต่อเยี่ยฉวนมิใช่เพียงเท่านั้น
อย่างเรื่องที่เยี่ยฉวนใช้คำเรียกแทนหญิงสาวผู้นั้นว่า แม่นางน้อยอัน! เท่าที่รู้ ในแคว้นเจียงมีเพียงตนเองเท่านั้นที่สามารถเรียกแทนตัวอันหลานซิ่วว่าแม่นางน้อยอัน ครั้งหนึ่ง พี่ชายซึ่งเป็นองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเจียงเผลอหลุดปากเรียกหญิงสาวผู้นั้นว่าดังนี้ ด้วยความไม่ชอบใจนางจึงมิได้สนใจว่าคนผู้นั้นเป็นใครมีเกียรติยศอย่างใด ผลักทวนชี้หน้าคนที่เป็นองค์ชายใหญ่……นับแต่นั้น จึงเป็นอันรู้กันว่าไม่มีใครกล้าเรียกอันหลานซิ่วด้วยชื่อนั้นอีก
ตอนนี้เป็นเยี่ยฉวนที่เรียกเช่นนั้น หากอันหลานซิ่วกลับมิได้แสดงท่าทีโกรธเคืองสักนิด! ในความเป็นจริง ต่อให้ตาบอดก็ยังมองเห็น ว่าอันหลานซิ่วไม่ได้ปฏิบัติกับเยี่ยฉวนอย่างธรรมดาทั่วไป!
เยี่ยฉวนเป็นคนที่จัดว่าเยี่ยมยอด มิใช่หรือ? แน่นอนที่สุด! ถึงกระนั้น ในสายตาของพวกตระกูลใหญ่ ไม่ได้มองเพียงเท่านี้ ตระกูลใหญ่ๆ เคยพบเห็นคนยอดฝีมือมาเยอะแยะมากมายจนชินตา จึงยากที่พวกเขาจะพึงพอใจกับยอดฝีมือธรรมดาที่ไม่โดดเด่นอะไร ยิ่งกว่านั้น สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ใช่ความเป็นยอดฝีมืออย่างเดียว ทว่าภูมิหลังชาติตระกูลก็มีส่วนสำคัญ!
อย่างที่เรียกว่า ‘การแต่งงานระหว่างตระกูลที่มีสถานภาพทางสังคมเท่าเทียมกัน’ อำนาจและตระกูลใหญ่มีความสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด! ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่าเยี่ยฉวนและอันหลานซิ่วไม่เหมาะสมกันด้วยประการทั้งปวง!
พลันเสียงของเยี่ยฉวนเอ่ยเหมือนต้องการตัดบท “กลับกันเถอะ!” ว่าแล้วคนไม่รอช้าหันหลังกลับทันที เจียงจิ่วไม่ได้ตามหลังไปทันที นางยังยืนเหม่อมองไปที่ไกลสุดปลายฟ้า แม้ว่าจะไม่เห็นแม้เงาของอันหลานซิ่วแล้วก็ตาม ก่อนมีเสียงผ่อนลมหายใจแผ่วเบาพร้อมกับที่คนหันหลังกลับออกจากสถานที่ไป
ผลที่ได้ภายหลังการมาเยือนของอันหลานซิ่ว ทำให้แคว้นเจียงกลับมาเงียบสงบชั่วคราว ถึงแม้ว่าแคว้นชูและแคว้นเย่วยังไม่ถอนกำลังทั้งหมดออกจากแคว้นเจียง แต่พวกมันก็ไม่กล้าเคลื่อนทัพโจมตีในเวลานี้ พวกเขาไม่กล้าโจมตีเพราะไม่แน่ใจว่าอันหลานซิ่วมีเจตนาอันใด นี่จึงนับว่าเป็นช่วงเวลาพักรบของแคว้นเจียง!
เมืองไค่หยาง
ไค่หยางเป็นเมืองเล็กๆ มีประชากรเพียงห้าถึงหกหมื่นคนเท่านั้น ยิ่งหลังจากที่กองทัพแคว้นชูยกมาประชิด พลเมืองของเมืองไค่หยางหายไปกว่าครึ่ง!
อพยพหนี! เยี่ยฉวนย้อนกลับเข้าไปในเมือง ขณะกำลังที่เดินไปตามถนนหนทาง สีหน้าหมกมุ่นครุ่นคิด! มีเรื่องที่ทำให้ต้องใช้ความคิดมากมาย! ครั้งที่ต่อสู้กับศัตรูภายนอกกำแพงเมือง เขาถูกขัดจังหวะจริงๆ หากมิใช่เพราะเหตุปัจจัยภายนอกที่เข้ามาขัดจังหวะ กลับเป็นเพราะตัวของเขาเอง!
เพราะเขาตระหนักดีว่าเมื่อใดที่ตนคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมภายนอก อย่างรู้สึกถึงสายลมโชยผ่านเขาจะไม่สามารถสงบจิตใจได้เลย!
ความมุทะลุวู่วาม! เมื่อต้องการรับรู้ต่อสายลมที่แวดล้อมรอบตัว เขาจึงพบความมุทะลุวู่วามของตน! นับตั้งแต่หนีออกมาจากเมืองชิง เยี่ยฉวนมีพฤติกรรมแสดงออกเยี่ยงคนมุทะลุวู่วามมาโดยตลอด
ไม่เฉพาะการเข่นฆ่า ต่อสู้หรือฝึกฝนพลังที่มีบนโลกใบนี้เท่านั้น ทว่ากับทุกอย่าง ทุกสิ่งอย่างน่าประหลาดใจ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาละเลยไม่ใสใจ
บัดนี้ เขาต้องการเป็นคนใจเย็นลงและมองสิ่งต่างๆ ด้วยความมีสติวิจารณญาณอย่างจริงจัง มีสติต่อกระแสลม มีสติต่อถนนที่ก้าวผ่าน และมีสติกับทุกสิ่งที่อยู่รอบกาย!
พักใหญ่ต่อมา เยี่ยฉวนเดินมาหยุดที่ริมตลิ่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง สองฟากฝั่งขนาบไปด้วยบ้านเรือนหลังเล็กๆ ซึ่งขณะนั้นไม่มีผู้อยู่อาศัยภายในบ้านแม้แต่หลังเดียว บนสองฝั่งถนน ผู้คนหายไปหมดสิ้น บ้านช่องมีแต่ความว่างเปล่า
อพยพหนี! ตั้งแต่เริ่มมีการสู้รบ พลเมืองธรรมดาเหล่านี้เปรียบไปก็เหมือนแผ่นกระดาษกรอบบางที่กั้นกลางระหว่างกองกำลังสองฝ่ายที่ทำสงคราม
ในแผ่นดินชิงคนที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงได้รับความนับถือ ทว่ามิใช่ทุกคนที่สามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์ ดังนั้น คนธรรมดาที่ไร้วิทยายุทธ์ ไม่อาจทนทานต่อสงครามจึงมีอยู่มากมาย ในหมู่มวลมหาอำนาจ เยี่ยฉวนเป็นเพียงคน ‘ธรรมดา’ คนหนึ่งเท่านั้น
พลันนั้นเองจู่ๆ มีเด็กหญิงตัวเล็กวิ่งตรงมาทางเยี่ยฉวน หนูน้อยมีอายุราวห้าหรือหกขวบ เสื้อผ้าชุดกระโปรงที่นางสวมใส่ทั้งเก่าทั้งขาดกะรุ่งกะริ่งเป็นรูกระจายอยู่ทั่วไป บริเวณหัวเข่าทั้งสองข้างมีรอยแผลขนาดใหญ่ คราบโลหิตเกรอะกรังปิดปากแผล
เด็กหญิงสวมรองเท้าแตะฟางมีเชือกรัดที่ใส่จนเก่าขาด บริเวณหลังเท้ามีรอยขาด ดังนั้นจึงมองเห็นนิ้วเท้าเล็กๆ ทั้งห้านิ้วโผล่ยื่นออกมาสัมผัสกับพื้นดินได้อย่างชัดเจน
เมื่อนางวิ่งมาหยุดอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มพร้อมกับแหงนศีรษะเล็กๆ เงยหน้าขึ้นมองจนคอตั้งบ่า พลางส่งเสียงทักทายแจ่มแจ๋ว “พี่ชาย ขอบคุณที่ช่วยพวกเราให้ปลอดภัยนะเจ้าค่ะ”
ปลอดภัย งั้นหรือ? ได้ยินเด็กหญิงตัวเล็กพูดมาดังนั้น เยี่ยฉวนชะงักและเงยมองไปด้านหลังเด็กน้อย จึงพบว่ามีกลุ่มคนจำนวนไม่มากทั้งชายและหญิงอยู่ไม่ไกลนัก เขาพอจะเดาได้ทันทีว่าคนเหล่านี้คงเป็นญาติพี่น้องของเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้เอง
พลันต่อมา มีชายวัยกลางคนถลันออกจากกลุ่มคนตรงมาทางเยี่ยฉวน จากนั้นเขารีบลนลานคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมโขกศีรษะคารวะต่อเยี่ยฉวน
