บทที่ 325 ข้าไม่ได้จะให้อุ้ม! (ปลาย)
……
ชายชราสองคนมองตามหลังคนที่เดินกลับออกไปจนลับสายตา เสียงโม่หยวนพึมพำเบาๆ “คนคนนี้อาจเป็นความหวังเดียวของเราในโลกชิงฉางก็เป็นได้” ……
……
เฟิ่งหลานพูดตอบเสียงขรึม “น่าเสียดายที่เขาเป็นคนมีศัตรูมากมาย ทั้งสถานศึกษาฉางหลาน ดินแดนอันธการ อาณาจักรต้าอวิ๋น……เวรกรรม! พวกน่าเบื่อ!” ……
..
คู่สนทนาเอ่ยเสียงเบา “เรื่องนั้นช่างเถอะ เราอาจช่วยอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีวิธีช่วยอย่างอื่น เขาคือความหวังเดียวในโลกชิงฉาง ไม่ว่าจะยังไงเราก็ต้องยอมเสี่ยงสักครั้ง”
.
ณ หอโถงฉางหลาน เยี่ยฉวน จี้อันซื่อและไป่เจ๋อนั่งล้อมโต๊ะกินข้าว
วันนี้บนโต๊ะมีกับข้ามสี่จานและชามซุป
เมื่อกินเสร็จ เยี่ยฉวนวางชามข้าวลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงพูดว่า “พรุ่งนี้เที่ยงข้าและศิษย์จะออกเดินทาง!”
ไป่เจ๋อพูดเร็ว “ขอข้าไปด้วยนะ!”
จี้อันซื่อวางตะเกียบทันที “ไปด้วย!”
เยี่ยฉวนเบนศีรษะไปทางคนทั้งสอง ขณะทำท่าจะอ้าปากค้านพลันไป่เจ๋อพูดขึ้นว่า “หัวขโมยพี่เยี่ย ครั้งนี้อาจเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ถ้าเรากลับมา เราควรกลับมาด้วยกัน……และถ้าเราตาย ก็ควรไปตายที่เมืองไค่หยางด้วยกัน!”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบ
คนตัวใหญ่มีเสียงพูดมาอีก “ให้ข้าคอยอยู่เฉยๆ ที่นี่มันทรมานมากนะ พวกเราไปเผชิญหน้าศัตรูด้วยกันดีกว่า ตกลงนะ?”
ยามนี้เยี่ยฉวนจึงได้แต่พยักหน้าตอบ “ได้ งั้นพรุ่งนี้เที่ยงเจอกัน พวกเราไปด้วยกัน!”
ไป่เจ๋อยิ้มกว้าง “ได้เลย มาๆ ข้าจะเติมข้าวอีกชาม ฮ่าฮ่า!”
จี้อันซื่อมองหน้าเยี่ยฉวน แต่ไม่ได้พูดว่าอะไร
หลังอาหารเย็น เป็นเวลาค่ำคืน
ภายในหอโถง คืนนี้เป็นคืนเดือนมืดอีกทั้งท้องฟ้ายังไร้ดาว พื้นโลกจึงมีแต่ความมืดมิด
เยี่ยฉวนนั่งอยู่ตรงขั้นบันไดหิน ในมือกำหุ่นไม้แกะสลักรูปคน
เยี่ยหลิง!
ชายหนุ่มใช้นิ้วลูบหุ่นไม้ในมือแผ่วเบา น้องสาวคนเดียว เยี่ยหลิงผู้ที่พลัดพรากจากกันไปสักระยะหนึ่ง!
ป่านนี้น้องจะเป็นอย่างไร?
ในใจของเยี่ยฉวน ย่อมเต็มไปด้วยความวิตกกังวล!
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่!
ขณะกำมือข้างขวาซึ่งถือหุ่นไม้แน่นเข้า ชายหนุ่มคิดว่าตนต้องพยายามไปที่นั่นให้ได้!
..
ณ เขตแดนทางเหนือ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
เขตแดนตอนเหนือเป็นพื้นที่กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ ภูมิอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ด้วยเพราะมีหิมะตกในทุกฤดูกาล ทำให้พื้นดินปกคลุมด้วยน้ำแข็งตลอดเวลา
ณ กึ่งกลางเขตแดนทางเหนือ มีวังหลวงซึ่งสร้างจากน้ำแข็งแกะสลัก ภายในวังหลวง สตรีหลายคนยืนห้อมล้อมพื้นที่เบื้องหน้าซึ่งเป็นที่ตั้งของแท่นน้ำแข็ง
บนแท่นน้ำแข็งยกสูงแห่งนั้น มีเด็กหญิงคนหนึ่งกำลังนั่งในท่าขัดสมาธิ นางดูยังเด็กมากอายุราว 13 หรือ 14 ขวบปี ท่าทางไร้เดียงสานัก
เด็กหญิงมีเส้นผมยาวทว่ามีสีฟ้าอมขาวดุจน้ำแข็ง และมีแสงสว่างนวลแผ่กระจายออกจากร่างกายหนาแน่นขึ้นทุกขณะ ทว่าแสงนวลสว่างซึ่งกำลังแผ่ออกนั้น พลันแตกกระจายออกโดยรอบเมื่อสัมผัสกับกำแพงม่านน้ำแข็งที่ปรากฏขึ้นมาขวางกั้น
ไม่นานต่อมา มีแสงสว่างแผ่กระจายออกจากร่างของเด็กน้อยและหนาแน่นขึ้นๆ แสงสว่างนวลใสเข้มแข็งขึ้น กระทั่งกำแพงม่านน้ำแข็งแทบต้านทานไม่ไหวต่อไป!
เมื่อเห็นเช่นนั้น สตรีทุกคนสีหน้าเผือดวูบ พากันทยอยถอยห่างทีละคน ไม่ไกลนักสตรีงดงามผู้หนึ่งซึ่งจับตามองมาโดยตลอด สายตาเคร่งเครียดยามนี้นางกำมือแน่น “อย่าเพิ่งบรรลุ อย่า……ถ้าเจ้าบรรลุขั้นผสานเทพเมื่อไร จะเกิดผลร้ายกับตัวเจ้า ยับยั้งไว้ก่อน ยับยั้ง……”
ทว่าคนที่กำลังนั่งบนแท่น แสงสว่างที่แผ่ออกล้อมรอบกายยังคงพุ่งสูงขึ้นเฉียบพลัน ในมือของเด็กน้อยกำหุ่นไม้แกะสลักรูปคน……
.
ณ แคว้นเจียง
เวลาดึกสงัด เยี่ยฉวนไม่ได้กลับเข้าไปนอนที่พัก ทว่าเขากำลังเดินตรงไปทางป่าไผ่ด้านหนึ่งที่อยู่นอกเขตแคว้นเจียง ท่ามกลางป่าต้นไผ่ที่โอบล้อมอยู่อย่างหนาแน่น มีเรือนหลังเล็กทำด้วยไม้ไผ่สร้างอย่างประณีตตั้งอยู่โดดเดี่ยว
แสงจากเทียนไขส่องสว่างว่อบแว่บขึ้นภายในเรือนไม้ไผ่หลังนั้น
เยี่ยฉวนเดินไปทางเรือนไม้ไผ่ เมื่อมาถึงด้านหน้าพลันประตูแง้มเปิดออกทันที ชายนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ทว่าเขาไม่มัวคิดนานจึงก้าวเท้าผ่านช่องประตูเข้าไป ภายในเรือน ลู่จิ้วเก๋อกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นมีผ้าห่มคลุมตั้งแต่หัวเข่าจรดปลายเท้า ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่ง
ราวกับรู้ล่วงหน้า ด้วยทันทีที่เยี่ยฉวนก้าวพ้นช่องประตู คนก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี “ให้คอยเสียนาน! ข้าพร้อมแล้ว! ไปกันได้หรือยัง?”
ชายหนุ่มชะงักกึก สีหน้าตกตะลึงเมื่อเห็นคนที่อยู่ภายใน “ท่านรู้หรือว่าข้ามาทำไม?”
ลู่จิ้วเก๋อ บิดยกมุมปากน้อยๆ “รู้สิ แน่ล่ะ!”
เยี่ยฉวนเอ่ยถาม “ท่านจะไปด้วยกันกับข้า อย่างนั้นหรือ?”
อีกฝ่ายยิ้มในหน้าขณะถามกลับ “ไม่อยากให้ข้าไป งั้นหรือ?”
ชายหนุ่มก้าวพรวดเดียวมาหยุดเบื้องหน้าคนที่นั่งเก้าอี้รถเข็น “ไปทำไม?”
ลู่จิ้วเก๋อสั่นหน้า “ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเจ้าและแคว้นเจียง เหตุผลเท่านี้พอไหม?
อีกฝ่ายเมื่อได้คำตอบ เขานิ่งไปครู่เดียวจากนั้นจึงพยักหน้าหงึก “พอ!”
คนบนรถเข็นเหยียดยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก “ถ้าอย่างนั้นก็ไปเลย!”
เยี่ยฉวนมีคำถามอีกจนได้ “ไปฉางหลาน?”
ลู่จิ้วเก๋อส่ายหน้า “ไปเมืองไค่หยาง”
ชายหนุ่มจึงว่า “เราจะออกเดินทางตอนกลางวัน”
ลู่จิ้วเก๋อมองเยี่ยฉวนตรงๆ “ไปตอนนี้ ทันทีด้วย ถ้ารอจนฟ้าสางเกรงจะไม่ทันการ”
อีกฝ่ายนิ่วหน้า “เหตุใดขอรับ?”
คนนั่งรถเข็นเผยนิ้วมือ พลันกระดาษน้อยแผ่นหนึ่งทะยานออกมาต่อหน้าเยี่ยฉวน ชายหนุ่มรีบคว้าไว้ก่อนจะเปิดอ่านข้อความ สีหน้าคนเผือดวูบ จากนั้นเขาหันกลับและถลันออกไปภายนอกเรือนไม้ไผ่อย่างรวดเร็ว เพียงเพราะข้อความสั้นๆ ที่ปรากฏบนกระดาษน้อย.
‘กองทัพเพลิงโลกันตร์มาถึงแล้ว!’
กองทัพเพลิงโลกันตร์
เยี่ยฉวนย่อมเคยได้ยินกิตติศัพท์ของกองทัพที่ว่านี้ ซึ่งได้ก่อให้เกิดความหวาดกลัวต่อแคว้นต่างๆ หลายแคว้น!
เจียงจิ่วและกองทหารไค่หยางเพียงหยิบมือไม่อาจต้านทานกองทัพเพลิงโลกันตร์ได้อย่างแน่นอน
หลังจากที่ชายหนุ่มถลันพรวดออกไปด้วยความรีบร้อนพลันต้องหยุดชะงักกึก เขาหันหลังและเดินกลับเข้าไปในเรือนไม้ไผ่อีกครั้ง จากนั้นจึงหยุดลงเบื้องหน้าลู่จิ้วเก๋อ “ทำไมจึงไม่ตามมา?”
คนนั่งเก้าอี้รถเข็นพูดเสียงอ่อย “ข้าเดินไปเองได้หรือไง?”
เยี่ยฉวนนิ่งงัน “……”
สตรีตรงหน้าจึงพูดให้ว่า “ตาเฒ่าเฉินอออกไปทำธุระให้ข้า ข้าจึงอยู่คนเดียว”
ชายหนุ่มฟังแล้วก็พยักหน้าหงึกๆ “อย่างนี้เอง!”
จากนั้นเขาสาวเท้าเข้าไปทางด้านข้างเก้าอี้รถเข็น ก่อนอ้อมลงช้อนคนบนรถขึ้นอุ้มและวิ่งออกจากเรือนไปโดยเร็ว
หลังจากออกมาจากเรือนไม้ไผ่ได้ เยี่ยฉวนเร่งความเร็วสุดฝีเท้า ขณะที่ในอ้อมแขนมีเสียงลู่จิ้วเก๋อโอดครวญเบาๆ “ข้าจะให้เจ้าช่วยเข็นรถ ไม่ใช่อุ้มมาอย่างนี้!”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบ ครู่ต่อมามีเสียงพูดแว่วมาตามลม “ท่านว่าอะไรนะ? ลมมันแรงข้าได้ยินไม่ค่อยถนัด……”
ลู่จิ้วเก๋อพูดไม่ออก “……”
