Skip to content

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 943


บทที่ 943 : เต๋าแห่งบารมีคือวิถีแห่งชีวิต! (ปลาย)

ในหอคอยแห่งเรือนจำ ชายหนุ่มกำลังมุมานะฝึกฝนอย่างหนัก ขณะที่รอบข้างมีเสียงกรนของสุนัขอสูรดังสนั่น

สำหรับพวกสัตว์อสูรเช่นนี้ การนอนหลับเป็นวิธีฝึกพลังอย่างหนึ่ง!

และอาหลิงน้อยยังคงขะมักเขม้นกับการปลูกผลไม้วิเศษอยู่เช่นเคย!

เด็กน้อยมีผลไม้วิเศษมากมายนับร้อยผล ถ้านำผลไม้วิเศษออกจำหน่าย คาดว่าคงจะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำทีเดียว ถ้าเยี่ยฉวนไม่มีสมบัติล้ำค่าขั้นก่อเกิดชั้นเนรมิตพวกนั้น บางทีเขาอาจจะยากจนกว่าอาหลิงก็เป็นได้!

อย่างไรก็ตาม เด็กหญิงตัวเล็กให้ความสำคัญและหวงผลไม้วิเศษพวกนี้ยิ่งกว่าอะไรในชีวิต!

เขาคงไม่กล้าแอบเอาผลไม้วิเศษของนางไปขายแน่!

มิเช่นนั้นเด็กหญิงตัวน้อยอาจจะคลุ้มคลั่ง!

อาหลิงน้อยใช้พื้นที่บริเวณชั้นห้าทั้งหมด ไม่นานต่อมานางเดินมาถึงยังปากทางเข้าชั้นที่ห้า วางใบหน้าแนบลงบนท่อนแขนพลางกวาดตามองอย่างสำรวจไปที่บริเวณชั้นหก ทำท่าทางเหมือนกำลังตั้งจิตภาวนาอย่างน่าประหลาด

ถัดจากเด็กหญิงมีกระบี่อยู่เล่มหนึ่ง

หลายครั้งที่เด็กหญิงหยิบกระบี่ขึ้นมาแล้วเดินตรงไปยังทางเข้าชั้นที่หก ทว่าสีหน้าเผยความกังวล ก่อนจะหยุดความคิดที่จะเข้าไปไว้ก่อนชั่วคราว

เพียงชั่วคราวเท่านั้น!

เด็กน้อยถือกระบี่ไว้ในมือและหมุนตัวกลับออกไป

บนชั้นที่หกเสียงพูดของใครคนหนึ่งดังขึ้นทันที “เด็กหญิงคนนั้นกำลังประเมินว่าจะเอาชนะข้าได้หรือไม่?”

ในวันที่สาม

เยี่ยฉวนนอนแผ่หลาไปบนพื้น ขณะที่เหงื่อกาฬชุ่มโชกไปทั่วร่าง ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายปรากฏร่องรอยเนื้อตัวที่เกิดจากคมกระบี่อีกหลายสิบแห่ง!

ต่อมาอาหลิงน้อยเข้ามาใกล้พร้อมผลไม้วิเศษติดมาสองผลในมือ เด็กหญิงยื่นสิ่งที่ถือให้กับเยี่ยฉวน ชายหนุ่มรับมาใส่ปากก่อนกัดกร้วมเคี้ยวกลืน ทันทีที่ผลไม้วิเศษตกถึงท้อง พลังชี่บริสุทธิ์แผ่ซ่านไปทั่วทุกกาย ไม่นานต่อมาบาดแผลบนเนื้อตัวค่อยๆ สมานเข้าหากันและกลับคืนสภาพปกติอย่างรวดเร็วทันตาเห็น

เจ้าตัวถึงกับแปลกใจ เขามองดูผลไม้ในมือและพูดด้วยความฉงนสนเท่ห์ “ลูกอะไร?”

อาหลิงน้อยกะพริบตาปริบ “ลูกฮ้วยกี้!”

เยี่ยฉวนเงียบเสียง

เด็กน้อยถามอีกฝ่าย “อร่อยไหม?”

ชายหนุ่มพยักหน้า “อร่อยดี!”

อาหลิงชี้มือไปทางชั้นที่สองพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “เจ้าอยากกินอีกไหม? ข้ามีอีกแยะ!”

มุมปากของคนฟังยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย… ผลไม้ในมือที่ถืออยู่นี้ท่าจะล้ำค่าเสียยิ่งกว่าอัญมณีอมตะด้วยซ้ำ เหตุผลเพราะคุณสมบัติในการรักษาเยียวยานั่นเอง!

ต่อมา อาหลิงขยับพรวดเดียวเข้าใกล้เยี่ยฉวนพลางกระซิบถามพอให้ได้ยิน “คนชั้นหกจะออกไปเมื่อไร?”

ได้ยินเช่นนั้น มุมปากของเยี่ยฉวนยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง เด็กน้อยกำลังรอคอยว่าเมื่อไรคนที่ชั้นหกจะออกไป!

อย่างไรก็ตามเขาก็สงสัยอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เมื่อไรคนบนชั้นหกจะออกมา?

ชายหนุ่มแหงนมองขึ้นไปด้านบนขณะพึมพำว่า “ผู้อาวุโส ท่านออกจากหอคอยได้หรือยัง?”

เสียงตอบดังมาจากชั้นที่หก “ยัง”

คนถามอีก น้ำเสียงระคนฉงนใจยิ่ง “ทำไมขอรับ?”

คนที่ชั้นหกบอกหน้าตาเฉย “ข้างนอกมีอันตราย อยู่ในนี้ปลอดภัยแล้ว!”

คนถามแทบสำลักถึงพูดไม่ออกไปเป็นครู่ “ผู้อาวุโสล้อข้าเล่นใช่ไหม?”

หากน้ำเสียงของผู้ที่ตอบมาฟังว่าแหบแห้งพิกล “เปล่า ไม่ได้แกล้ง ข้างนอกมีอันตรายจริงๆ แต่อย่าห่วงเลย ข้าไม่ออกไปเที่ยวเตร่แน่……จะออกไปก็ต่อเมื่อถึงเวลาเท่านั้น!”

เยี่ยฉวนมีสีหน้าลังเลก่อนจะถามโพล่งออกไป “ผู้อาวุโส ไม่โกรธบ้างหรือที่ถูกขังอยู่ในนี้มานานหลายปี?”

น้ำเสียงที่ตอบกลับฟังออกว่าคนพูดกำลังยิ้ม “คงอยากรู้ล่ะซีว่าเหตุใดข้าถึงไม่พุ่งเป้าไปที่เจ้า?”

ชายหนุ่มยิ้มแหยๆ ออกมาขณะพยักหน้ายอมรับ

คนจากชั้นที่หกตอบว่า “ประการแรก เพราะเจ้าไม่ใช่คนที่จองจำข้าไว้ที่นี่ ทว่าเป็นหอคอยต่างหาก แม้ว่าอยากจะแก้แค้น ก็ต้องกลับมาแก้แค้นหอคอย ถ้าขืนย้อนกลับมาแก้แค้นเจ้า คนอื่นจะหาว่าข้าไร้ความสามารถ!”

เยี่ยฉวนตั้งคำถามต่อมา “ท่านไม่อยากได้หอคอยหรือ?”

น้ำเสียงที่ตอบบ่งชัดว่าคนพูดกำลังยิ้ม “หอคอยเป็นสุดยอดสมบัติล้ำค่า จะว่าไปมันก็ยั่วใจจริงนั่นแหละ ถึงกระนั้นก็ไม่อาจเก็บรักษาหอคอยไว้เอง การมีหอคอยนี้……รังแต่จะนำพาหายนะมาสู่คนที่ครอบครอง แม้ช่วงที่ข้ากำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุดยังเก็บไว้ไม่ได้ นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่ยังถูกจองจำอยู่! เพราะฉะนั้นอย่ากลัวไปเลย ข้าไม่แย่งมันไปจากเจ้าแน่”

อีกฝ่ายส่ายหน้าพลางยิ้มน้อยๆ “ผู้อาวุโส ฟังที่ท่านพูดก็มีเหตุผล ข้านับถือด้วยใจจริง!”

เขารู้สึกชื่นชมยอดฝีมือที่รู้ว่าเวลาใดควรสู้!

คนที่รู้ว่าเมื่อใดจะสู้หรือถอยโดยใช้วิจารณญาณชาญฉลาด

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าเยี่ยฉวนไม่อยากถอย……แต่ทำไม่ได้ หอคอยแห่งเรือนจำต่างหากที่ติดหนึบอยู่กับเขาแบบนี้!

เสียงคนชั้นที่หกกล่าวต่อมาว่า “ความจริง เจ้าใช่ว่าจะทนทานต่อหายนะที่หอคอยนำมาได้ เจ้าไม่ธรรมดา……มียอดฝีมือหนุนหลังที่คอยรับหายนะแทน มิเช่นนั้นคงตายจนไปเกิดใหม่เสียนานแล้ว”

คนฟังยิ้มน้อยๆ “ถึงอย่างไรข้าหวังว่าเราสองคนจะเข้ากันได้”

เสียงพูดของคนชั้นหกกล่าวมาว่า “อันที่จริงข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น แม้ว่าเราจะไม่ใช่คนในยุคเดียวกัน และข้าชอบคนที่มีนิสัยใจคอและอารมณ์อย่างเจ้า ดังนั้นพวกเราคงจะไปด้วยกันได้”

เยี่ยฉวนอยากจะพูดอะไรอีก ทว่ายั้งปากไว้พลางหยุดคิดไปชั่วครู่

พลันคนที่ชั้นหกดูจะรู้ทัน “อยากพูดอะไร?”

ชายหนุ่มถามออกไป “ผู้อาวุโส ถ้าตามหากฎแห่งเต๋าทั้งเก้าครบแล้ว ข้าจะควบคุมหอคอยได้ไหมขอรับ?”

เสียงตอบสวนมาทันควัน “ไม่ได้!”

คนย้อนถามด้วยความสับสน “เพราะอะไรกันขอรับ?”

เสียงจากคนชั้นที่หกกล่าวเรียบๆ “พลังของเจ้ายังไม่พร้อม ฉะนั้นมันจะไม่ยอมรับด้วยความเต็มใจ เมื่อค้นหากฎเต๋าทั้งเก้าครบแล้ว……จะทำได้เพียงใช้อำนาจของหอคอยและควบคุมทุกคนที่ถูกจองจำอยู่ในนี้เท่านั้น”

เยี่ยฉวนพยักหน้าเล็กน้อย “เข้าใจแล้ว”

ทันใดนั้นคนที่ชั้นหกถามอย่างรวดเร็ว “เจ้าอยากเจอคนที่อยู่ชั้นเจ็ดไหมเล่า?”

ชายหนุ่มชะงักนิ่งอย่างตกตะลึงครู่หนึ่งจึงถามกลับ “พบได้หรือขอรับ?”

อีกฝ่ายตอบเสียงห้าวลึก “ได้ ตอนนี้สัมผัสได้ว่าผนึกยันต์ที่ชั้นเจ็ดคลายเวทมนตร์แล้ว ข้าจะทำพีธีเรียกมนตร์ให้ แต่เจ้าเข้าไปเจอกับเขาเอง”

พลันเสียงอาหลิงน้อยร้องขึ้นมาทันที “ไปดู ไปดู!”

เยี่ยฉวนมองไปทางเด็กหญิงตัวจิ๋วที่ยืนกะพริบตาเป็นเป็นประกาย “ในนั้นต้องมีสมบัติล้ำค่าแน่ๆ”

ชายหนุ่มยิ้มพลางถาม “สมบัติอะไร?”

ทว่าฝ่ายตรงข้ามกลับสั่นศีรษะจนผมปลิว “ข้ายังไม่รู้!”

เยี่ยฉวนมองขึ้นไปทางชั้นหก “ผู้อาวุโส เมตตาด้วยขอรับ”

เสียงที่ตอบมาอ่อนโยนนัก “แน่ใจนะ ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าใครอยู่บนชั้นเจ็ดโน่น คนที่ถูกจองจำในชั้นที่สูงกว่า… เรื่องนี้ข้ายอมไม่ได้!”

คนที่ได้ยินเงียบงัน……

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version