Skip to content

หลิงหลานตำหนักซ่อนสิเน่หา 1

บทที่ 1

ในความเลือนรางท่ามกลางม่านหมอกบดบัง คฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีกำแพงสูงลิบล้อมรอบ กระทั่งไม่อาจมองเห็นความ เคลื่อนไหวด้านใน เกิดมีเสียงประหลาดดังเล็ดลอดออกมา

บางครั้งมีเสียงบรรเลงเพลงพิณ บางคราเกิดมีเสียงขลุ่ยอันไพเราะ กระนั้นรอบด้านกลับไม่มีผู้คนสัญจรผ่าน อีกทั้งความเงียบและด้านนอกที่รกทึบ กลับให้ความรู้สึกวังเวงน่าหวาดหวั่น

ทั้งที่เสียงเพลงบรรเลงไพเราะราวกับเพลงจากสรวง สวรรค์ หากแต่ก็ยังคงไร้ผู้คนเข้ามายินยล

ทอดสายตามองด้านในคฤหาสน์จากจุดที่สูงกว่า ตัว คฤหาสน์ด้านในอันแสนผุพัง กลับปรากฏเงาร่างในชุดสีขาว กระจ่างตา

บุรุษหนุ่มอายุราวยี่สิบสองยี่สิบสาม กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ หน้าประตูห้องโถง ใบหน้าหล่อเหลาเหม่อมองไร้จุดสิ้นสุด ดวงตา เศร้าสร้อยราวกับกำลังรอคอยบางอย่าง ใครสักคนที่กักขังเขา เอาไว้ทำให้ไม่อาจก้าวออกไปจากคฤหาสน์หลังนี้ชั่วนิรันดร์

“เยี่ยนเฟิง เจ้ามาแล้วหรือ ข้าได้ยินเสียงนึกว่าเจ้ายังอยู่ในห้อง”

บุรุษอีกคนเดินเข้ามา เสื้อผ้าบนเรือนกายของเขาหลุดลุ่ย ไม่เรียบร้อย ใบหน้าปรากฏเค้าความอิ่มเอิบ เรือนร่างน่าหลงใหล สมเป็นบุรุษเพศภายใต้ชุดคลุมตัวยาว เผยออกมาให้เห็นรำไร ภายใต้แสงจันทร์

เขามีนามว่า ‘ว่านหรง’

‘เยี่ยนเฟิง’ มองข้ามสภาพของอีกฝ่าย เพียงมองตรงไปยังประตูใหญ่ จากนั้นจึงยื้มออกมาที่มุมปาก รอยยิ้มหล่อเหลา แฝงประกายขมขื่น

“นั่นคงมิใช่เสียงข้า เจ้าก็รู้”

“นั่นสินะ”

“จื่อเสียนเล่า”

“ข้าอยู่นี่”

บุรุษนาม ‘จื่อเสียน’ ก้าวออกมาจากอีกด้านของคฤหาสน์ สภาพของเขาไม่ต่างไปจากว่านหรงนัก ออกจะหนักกว่าด้วยซ้ำ เนื่องจากเส้นผมยาวสยายดูยุ่งเหยิง ทั้งที่เจ้าตัวเองก็พยายามจัดให้เข้าที่

ในช่วงยามจื่อ*ของทุกคํ่าคืน ทั้งสามมักจะมานั่งหน้าประตูห้องโถง มองดูประตูใหญ่นิ่งราวกับกำลังรอคอยใครบางคน กระนั่นวันเวลาก็ล่วงเลยไปมากกว่าพันปี ทุกอย่างยังคงไม่เปลี่ยน ทั้งสามยังคงถูกกักขังไม่มีใครมาปลดปล่อยให้เป็นอิสระทั้งสิ้น…

(ยามจื่อ คือช่วงเวลา 5 ทุ่ม – ตี 1)

ไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานเท่าไรไม่รู้ว่าทั้งสามตายไปแล้ว หรือยังคงมีชีวิตอยู่ ไม่รู้ว่าด้านนอกกำแพงสูงนั่นมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

ที่รู้ก็คือพวกเขาทั้งสามถูกกักขังอยู่ด้วยกันมามากกว่าพันปีแล้ว

มองดูพระจันทร์บนท้องฟ้า เมฆหมอกที่ยังคงลอยมาบดบัง ทำให้แสงที่เล็ดลอดลงมาบางครั้งสว่างบางครั้งก็มืดมนความหดหู่ก็ยิ่งเข้าครอบงำทั้งสามคำถามที่พวกเขาไม่เคยได้คำตอบ กลับยังคงวนเวียนอยู่เช่นนั้น

‘เพราะเหตุใดพวกเขาจึงถูกกักขังยังสถานที่แห่งนี้ กระทั่งเวลาผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้ก็ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย’

สายลมหนาวเหน็บพัดผ่าน กลิ่นดอกหลิงหลาน* ตลบอบอวลไปทั่วบริเวณกลิ่นที่ทำให้บุรุษทั้งสามตัวแข็งทื่อ

(ดอกหลิงหลาน คือดอกระฆังแก้ว หรือ ลินลี่แห่งขุนเขา)ดวงตาคมแปรเปลี่ยนจากสุขุมกลับกลายเป็นสีดำทะมึน ทั้งสามเสียการ ควบคุมตัวเองไปโดยสิ้นเชิง หลังจากสูดกลิ่นนั้นเข้าไป

ดังเช่นทุกคืนที่วนเวียนไปอย่างไร้จุดสิ้นสุด ทั้งสามคน เดินกลับไปยังห้องนอนของตนซึ่งอยู่คนละฟากของเรือนจากนั้น ก็ตรงไปยังเตียงนอน

“ใครอยู่ตรงนั้น”

เสียงหวานของอิสตรีดังขึ้น เยิ่ยนเฟิงที่พยายามควบคุม ตัวเองเหงื่อซึมออกมาจากหน้าผาก ดวงตาของเขาวูบไหว หากแต่ร่างกายกลับยังคงก้าวเข้าไปยังหน้าเตียง

ความกระหายเช่นบุรุษเพศยามคํ่าคืน ทำให้ตัวตนของเขาตื่นตัวเหยียดขยาย ลมหายใจของเขาหอบหนักหน่วง ทั้งต้องการและขยะแขยงตัวเองในเวลาเดียวกัน

ในยามที่ก้าวเข้าไปใกล้เตียงนอน มือใหญ่ค่อยๆ ปลดอาภรณ์ออกทีละชิ้นๆ กระทั่งก้าวขึ้นไปบนเตียงและรั้งร่างอรชรของหญิงสาวบนเตียงเข้ามาอิงแอบ

เป็นเช่นนี้เสมอทั้งที่เขาพยายามขัดขืนหากแต่ทุกคํ่าคืน ราวกับมีคำสาปทำให้เขาต้องการปลดปล่อย ทั้งยังไม่อาจควบคุมตัวเอง

ทุกคํ่าคืนอันมืดมิดเวลาเดียวกันนี้ บนเตียงนอนจะ ปรากฏร่างของสตรีไม่ซ้ำหน้า เรียกร้องให้เขาและสหาย ทั้งสามเดินกลับมายังเตียงนอนแห่งนี้

หลังจากกอดก่ายคลอเคลียกระทั่งสุขสม รุ่งเช้าวันต่อมา ทุกอย่างล้วนหายวับไป ราวกับเป็นความฝันตื่นหนึ่ง

ที่ยังคงอยู่ก็คือพวกเขาซึ่งถูกกักขัง ไม่อาจก้าวออกไป ข้างนอก ไม่ต้องกิน ไม่ต้องดื่ม ไม่เจ็บป่วย เพียงรอคํ่าคืนผันผ่าน วันแล้ววันเล่า

หลายครั้งเขาเคยพยายามปลิดชีวิตตัวเอง หากแต่กลับไร้ผล ราวกับร่างกายนี้เขาหาได้เป็นเจ้าของไม่

ม่านหน้าเตียงถูกปลดลง เช่นกันกับเสียงแห่งความรัญจวนที่เล็ดลอดออกมา นับจากยามจื่อจนกระทั่งฟ้าสาง เยี่ยนเฟิเงไม่ได้ก้าวลงมาจากเตียงอีกเลย…

ว่านหรงเดินกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง เขาไม่ได้คาดหวังสิ่งใดแล้ว เพราะทุกครั้งที่เขาพยายามขัดขืน ร่างกายของเขาก็ยังคงไม่เชื่อฟัง เขาตระหนักดีว่าทุกอย่างเป็นคำสาปที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม

เขาไร้ซึ่งความทรงจำอย่างสิ้นเชิง ไม่รู้สาเหตุ ไม่รู้ว่าทุกอย่างจะสิ้นสุดเมื่อไร ได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปอย่างสิ้นหวัง

ก้าวไปยังหน้าเตียงนอนร่างอรชรนอนนิ่งอยู่บนนั้น นาง หลับตานิ่งบนเรือนกายมีเพียงชุดตัวในสีขาว ทำให้มองเห็นส่วน นูนโค้งเว้าของสตรีเพศ

ร่างสูงเอนกายลงทาบทับ มือใหญ่ค่อยๆ สอดเข้าไปยังสาบเสื้อ กอบกุมความอวบอิ่มเนียนนุ่ม กระทั่งทำให้นางสะท้านไปทั้งกาย

กลิ่นกายสาวหอมฟุ้งทำให้ว่านหรงยิ่งตื่นตัว เขาไม่อาจ ควบคุมความผิดชอบชั่วดีในใจ ได้แต่ฉีกทึ้งอาภรณ์บนกายสาวออก

ต้นขาแกร่งดันท่อนขาเพรียวให้เปิดกว้าง มือทั้งสองข้าง สอดเข้าไปกอดรัดเอวอรชร จากนั้นสอดตัวตนแข็งขึงของเขาเข้าสู่กายสาว ซึ่งนางเองก็กระหวัดขาเพรียวกอดรัดเขาเอาไว้ ทั้งที่ดวงตายังคงหลับแน่น

“อา….”

เสียงหวานหวีดออกมาด้วยความหวิวไหว ในยามที่เรือนกายใหญ่ค่อยๆ เข้าครอบครอง ดวงตาคู่งามสะลึมสะลือเพ่งมอง ในความมืด ว่านหรงก้มหน้าลงไปหา จุมพิตหนักหน่วงเรียกร้อง และตักตวง

นางตอบรับเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ในคราแรก จากนั้นก็ กลายเป็นเรียกร้อง เมื่อเขาใช้ความชำนาญหลอกล่อ

เอวสอบขยับเป็นจังหวะลึกล้ำ กดลึกและตรึงนางเอาไว้กับที่ สองมือคว้าเอวอ่อนเอาไว้ บีบให้นางยินดีรับทุกจังหวะ เหนี่ยวนำที่หนักหน่วงพลิ้วไหว

จุดสอดประสานร้อนผ่าวบีบรัด เสียงครวญระงมดัง ออกมาจากม่านหน้าเตียงที่พลิ้วไหว เรือนกายแกร่งเคลื่อนไหว เติมเต็มความต้องการที่โอบล้อม

สองมือใหญ่สอดเข้าขยุ้มสะโพกนิ่ม ในขณะที่จังหวะ ดุดันกดลึกพลุ่งพล่านถึงจุดสูงสุด เสียงกระทบกระทั้นของจุดประสาน แผดเผาคนทั้งสองบนเตียงให้ยิ่งร้อนรุ่ม

ว่านหรงควานริมฝีปากจนเจอริมฝีปากอิ่ม ปลายลิ้นจุ่มจ้วงพัวพัน เอวสอบขยับกระแทกกระทั้น สอดลึกจนภายในกระทบดังกึก เขาหอบหายใจหนักหน่วง เช่นกันกับหัวใจที่เต้นรัว กับความหวามไหว

กายแกร่งแผดเผาร้อนรุ่ม ความสุขสมแล่นพลิ้วไปทั่วกายลํ่าสัน เขาไม่ยอมหยุดขยับ แม้ในยามที่เสียงหวานอ้อนวอน จังหวะบีบรัดของส่วนในสุดกลางกายสาว ทำให้เขายิ่งเร่งจังหวะอย่างฮึกเหิม

ในช่วงที่ทุกอย่างพุ่งทะยานขึ้น เสียงทุ้มคำรามออกมาดังลั่น พร้อมกับความสุขสมที่ระเบิดออกมา

ว่านหรงกระทั้นเอวสอบจังหวะสุดท้าย พร้อมกันนั้นกายสาวก็บีบรัดรีดเค้น ร่างใหญ่กระตุกคราหนึ่ง จากนั้นก็เกร็งค้างในขณะที่หญิงสาวใต้ร่างหวีดร้องออกมาเสียงหวาน ท่อนแขน กอดรัดร่างใหญ่เอาไว้ เช่นกันกับเอวอ่อนที่แอ่นรับทุกหยาดหยด ที่เขาหลั่งริน

“อา!!!”

คนทั้งสองส่งเสียงหวิวไหวออกมาพร้อมกัน จากนั้นจึง หลงเหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นรัว เมื่อทุกอย่างจบลงอย่างงดงาม

หญิงสาวใต้ร่างขยับกายเล็กน้อย นางพยายามเพ่งมองใบหน้าของว่านหรง หากแต่ความพร่ามัวทำให้นางมุ่นคิ้ว

“ท่านเป็นใคร”

นางเอ่ยถามเขาเสียงเบาหวิว หากแต่ตอนนั้นร่างกาย ของว่านหรงกลับเกิดความต้องการขึ้นมาอีกครั้ง เขาอยากตอบคำถามของนาง อย่างน้อยเขาคิดอยากบอกชื่อแซ่ของตนให้อีกฝ่ายรับรู้

หากแต่กลับไม่อาจขยับริมฝีปากส่งเสียง…

เอวสอบขยับเป็นจังหวะช้าๆ หมุนวนสะโพกเรียกร้องการตอบสนอง เสียงหายใจหรือก็เริ่มหอบหนักด้วยความกระสันซ่าน

มือใหญ่เลื่อนไปกอบกุมอกอิ่ม แม้เมื่อครู่เพิ่งสุขสมจนร่างสั่นระริก หากแต่ความต้องการก็ราวกับยังไม่ได้รับการเติมเต็ม

หญิงสาวครวญออกมาราวกับประท้วง หากแต่เอวอ่อน กลับขยับตามอย่างไม่อาจต้านทาน

ทั่งสองลืมเลือนจุดประสงค์ในใจจนสิ้น เรือนกายเริ่ม ขยับไหวเพราะความปรารถนา ไม่นานหลังจากนั้นบนเตียงก็ หลงเหลือเพียงกลิ่นอวลของกามารมณ์

กระทั่งรุ่งสางทุกอย่างก็เลือนหาย ข้างกายว่านหรงไร้สตรีใดคู่เคียง เขาลืมตาขึ้นก่อนจะก้าวลงจากเตียง โดยไม่สนใจจะมองไปเบื้องหลัง

เขารู้อยู่แล้วว่าทุกอย่างเยื้องหลังของตนนั้น…ว่างเปล่า

บรรยากาศเศร้าสลดของงานศพ ทำให้หญิงสาวทั้งสาม ที่เพิ่งเดินทางมาถึงน้ำตาซึม ไม่ได้ข่าวจากเสี่ยวเชี่ยนไม่กี่เดือน ทั้งสามไหนเลยจะคาดว่ามาได้ยินข่าวของอีกฝ่ายครั้งนี้ เพื่อนรัก ที่เพิ่งจะเรียนจบก็มาจากไปเสียแล้ว

หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย หญิงสาวทั้งสี่ซึ่งเป็น เพื่อนรักกันต่างก็แยกย้ายกันไปทำงาน กระทั่งติดต่อกันน้อยมาก เพราะต่างคนต่างก็ยุ่งกับงาน

เสี่ยวเชี่ยนนับเป็นเพื่อนที่หัวอ่อนที่สุด ดังนั้นจึงกลับมา ช่วยธุรกิจครอบครัวโดยไม่ปริปาก ทั้งที่เจ้าตัวก็บอกเพื่อนๆ ว่า อยากลองสมัครงานในปักกิ่งมากกว่า

ครอบครัวของเสี่ยวเชี่ยนให้การต้อนรับหญิงสาวทั้งสามคนเป็นอย่างดี เนื่องจากตอนที่ยังเรียนอยู่นั้น ทั้งสามก็เคยมาเที่ยวบ้านเกิดของเสี่ยวเชี่ยนอยู่บ่อยครั้ง

สาเหตุการตายของเสี่ยวเชี่ยนคือหัวใจล้มเหลว หากแต่ เรื่องที่ฟังดูพิลึกพิลั่นซึ่งได้ยินมาจากคนที่มาร่วมงาน ทำให้หญิง สาวทั้งสามสงสัยอยู่ครามครัน

หากจะมองจากคนที่เจริญแล้ว ความเชื่อสมัยโบราณ ที่ว่ามีวิญญาณมาพรากเสี่ยวเชี่ยนไปนั้น ดูจะครํ่าครึและล้าสมัย แต่ถึงอย่างนั้นร่องรอยบนเรือนร่างที่ราวกับถูกกระทำชำเรา กลับ ทำให้ตำรวจไม่เห็นด้วยกับความเชื่อเหล่านั้น

ผลการชันสูตรที่ออกมาตรงกันข้ามกับร่องรอย ยิ่งเป็น ปริศนาที่ไม่อาจไขให้กระจ่าง เพราะเห็นชัดว่าร่างกายของหญิงสาวถูกล่วงล้ำ หากแต่ภายในห้องนอกจากรอยนิ้วมือของเจ้าของห้องแล้ว กลับไม่มีรอยนิ้วมือของผู้อื่น

ที่สำคัญไปกว่านั้นแม้ตรวจพบแน่ชัดว่าร่างกายของหญิง สาวผ่านการมีเพศลัมพันธ์ หากแต่ในทางนิติเวชกลับระบุชัดว่า บนร่างกายของหญิงสาวไม่มีหลักฐานระบุถึงบุคคลที่สองหรือสามแต่อย่างใด

การสอบสวนทำให้ชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา รวมไปถึงความเชื่อของคนพื้นที่ถูกดึงเข้ามาโยงอย่างไม่อาจห้าม

หญิงสาวทั้งสามได้แต่ซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ หลังจากได้ยินเสียงซุบซิบ ที่สำคัญไปกว่านั้นอาการหวาดกลัวของผู้คนที่มาร่วมงานศพ ทั้งยังรีบมาและรีบจากไป ราวกับเกรงว่าหากอยู่นาน ตัวเองก็คงจะหนีเคราะห์ร้ายไม่พัน

ยิ่งแสดงให้เห็นว่าคนที่นี่หลงเชื่ออย่างสนิทใจว่ามีภูตผีวิญญาณอยู่จริงๆ

ตำรวจที่เข้ามาสอบสวนต่างก็กลัดกลุ้ม เพราะหลาย เดือนมานี้มีคดีแบบเดียวกันเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ อีกทั้งยังไม่อาจปิดคดีลงได้ เพราะยังคงไร้ซึ่งหลักฐานเพื่อระบุตัวคนร้าย “คุณน้าขอให้เราอยู่ต่ออีกสองสามวัน ฉันเองก็เห็นด้วย ดู แล้วที่นี่คงวุ่นวายเพราะคดีนี้ ตำรวจอยากสอบสวนอย่างจริงจัง” ฉินเหม่ยกระซิบเสียงเบาเพราะไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน

“ฉันเองก็อยากจะอยู่ช่วยจนงานศพเรียบร้อย” หนิงอวี่พยักหน้าช้าๆ “อยากรู้ด้วยว่าคดีนี้จะปิดยังไง ทุกอย่างดูน่าสงสัยไปหมด”

ได้ยินเพื่อนสองคนพูดแบบนั้นแล้ว เจียวมี่จะยังมีความเห็นอื่นได้อย่างไร ที่ทำได้ก็คือถอนหายใจกับความโชคร้ายของเพื่อนรักที่จากไปอย่างมีเงื่อนงำเช่นนี้

“คุณน้าบอกว่าที่บ้านคนเยอะเกินไป เราสามคนต้องแยก ไปพักที่บ้านของคุณลุงสาม บ้านหลังนั้นสะอาดสะอ้านแต่เราคง ต้องทำอะไรเองเพราะที่นั่นไม่มีคนอยู่” ฉินเหม่ยบอกพร้อมกับ เดินนำไปอีกฟากของบ้าน

“ทำไมไม่มีคนอยู่ละ” เจี่ยวมี่เลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย

“เห็นว่าภรรยาเก่าของคุณลุงเสียไปแล้ว คุณลุงแต่งงานใหม่เลยย้ายออกไป ตอนแรกปล่อยเช่าแต่คนเช่าเพิ่งย้ายออกไป”

“แยกไปอยู่แบบนั่นก็ดี ที่นี่วุ่นวายชะมัดเลย” หนิงอวี่ยิ้ม แหยเพราะความวุ่นวายของงานศพ

ทั้งสามคนหันมาสบตากันก่อนจะรีบเดินออกไป ด้านหน้าประตูใหญ่มีคุณน้าคนหนึ่งรออยู่แล้ว “สามคนคงเป็น เพื่อนของเสี่ยวเชี่ยนสินะ”

“ใช่ค่ะ’’

“ดีจริงๆ ที่เสี่ยวเชี่ยนมีเพื่อนมางานศพ เสี่ยวเชี่ยนของเราเป็นคนดี ไม่คิดว่าจะมาจากไปเร็วอย่างนี้อายุสั้นเสียจริง ตอนอยู่ไม่มีใครมาสนใจ ตอนจากไปพ่อกับแม่ยังจะมาโดนญาติๆ รุมทึ้งอีก เกรงว่าที่ดินที่มีอยู่คงจะถูกยื้อแย่งไปมาแน่ๆ…”

ถ้อยคำพรํ่าบ่นยังคงดำเนินต่อไป หญิงสาวทั้งสามได้แต่ รับฟังไม่อาจเข้าไปยุ่งวุ่นวาย เพราะจะอย่างไรก็นับว่าเป็นคนนอก

เสี่ยวเชี่ยนเป็นลูกสาวคนเดียวพ่อแม่หริอก็แก่ชราแทบช่วยตัวเองไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นกลับมีที่ดินมากมายที่ได้รับมาเป็นมรดก ลูกสาวมาจากไปเสียอย่างนี้เหล่าญาติๆ มีหรือจะไม่จ้องที่ดินเหล่านี้ตาเป็นมัน

“ถึงแล้วละ น้าคงไม่เข้าไปส่งนะ ยังมีงานอีกมากต้องทำ ข้างในกว้างขวางสะดวกสบาย ข้าวของหรือก็เตรียมเอาไว้แล้ว ทั้งสามไม่ต้องเกรงใจ ถ้าไม่ใช่เป็นเพื่อนเสี่ยวเชี่ยนน้าไม่ให้มาพักที่นี่แน่ๆ เดี๋ยวตอนเช้าน้าจะมารับ เราจะได้ไปงานศพแต่เช้า พักผ่อนเถอะ น้าจะปิดประตูใหญ่ให้เอง”

มองส่งหญิงสาวทั้งสามเข้าไปด้านใน ใบหน้าอ่อนโยน และรอยยิ้มกว้างกลับแปรเปลี่ยน ใบหน้าที่เหมือนผู้ใหญ่ใจดี เปลี่ยนเป็นขาวซีด มือสั่นเทาปิดประตูใหญ่ทั้งยังล็อคโซ่คล้องกุญแจอย่างแน่นหนา

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองตัวอักษรที่ห้องอยู่เหนือประตู ร่างก็ ยิ่งสั่นเทาราวกำลังหวาดกลัวบางสิ่ง ใบหน้าเลิ่กลั่กมองซ้ายขวา จากนั้นก็เร่งเดินจากไปโดยไม่กล้าหันกลับไปมอง

‘ตำหนักหลิงหลาน’

อักษรงดงามที่แขวนอยู่เหนือประตูทางเข้า รวมไปถึง บรรยากาศอันเย็นเยือกยิ่งทำให้ผู้คนหวาดหวั่น เสียงพิณบรรเลงแผ่วเบา ทำให้ฝีเท้าที่เดินเร่งร้อนยิ่งสับสน

ลับร่างของหญิงสูงวัยที่นำพาหญิงสาวทั้งสามเข้าไปในตำหนักหลิงหลาน ภาพทางเดินอันสะอาดสะอ้านด้านนอกเมื่อครู่ กลับกลายเป็นความรกร้าง ประตูใหญ่ที่เคยดูสง่างามน่าเกรงขาม หลงเหลือเอาไว้เพียงประตูผุพังและหยากไย่เกาะรุงรัง

ถนนทางเข้ากว้างขวาง กลับมีหญ้าสูงปกคลุมกระทั่งไม่ อาจมองเห็นพื้น ให้มองอย่างไรก็คงไม่เชื่อว่าเมื่อครู่มีหญิงสาวทั้ง สามคนลากกระเป๋าเดินทางเข้าไป เพราะใครจะเชื่อเล่าว่าบ้าน ร้างซึ่งดูเหมือนบ้านผีสิงหลังนี้จะมีคนกล้าเข้าไปอยู่อาศัยจริงๆ

‘ขอต้อนรับเข้าสู่ตำหนักหลิงหลาน’

เสียงกระซิบอันเยือกเย็นน่าหวาดผวาดังขึ้น แต่กลับ หายไปกับสายลมที่พัดวูบไหว หลงเหลือเอาไว้เพียงดอกหลิง หลานที่ขึ้นแซมต้นหญ้าบนพื้นดิน

กลิ่นหอมตลบอบอวลซึ่งครอบคลุมไปทั่ว ยิ่งส่งให้ บรรยากาศดูเยือกเย็นแลดูน่าหวาดกลัว ใครเล่าจะกล้าเดินเข้ามาใกล้…

บ้านหลังใหญ่ตรงหน้าทำให้หญิงสาวทั้งสามคนถึงกับพูดไม่ออก ยิ่งความเงียบที่ปกคลุมไปทั่วก็ยิ่งทำให้หญิงสาวทั้งสามรับรู้ถึงบรรยากาศแปลกๆ เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แม้รู้สึก แต่กลับไม่อาจอธิบายออกมากระเป๋าเดินทางถูกวางเอาไว้ยังห้องโถงก่อนที่ทั้งสามจะเดินสำรวจรอบๆ กระทั่งพบว่าบ้านหลังนี้ออกจะมีโครงสร้างที่ไม่เหมือนบ้านโบราณนัก

ตัวบ้านหลังใหญ่มีกำแพงสูงลิบล้อมรอบ มองไม่เห็นด้านนอก ตัวเรือนพักแบ่งออกเป็นสามส่วน โดยมีเรือนหลักเป็นโถงรับรอง และมีเรือนครัวแยกออกมา ด้วยแต่ละเรือนมีห้องนอนเพียงหนึ่งเดียว ทำให้หญิงลาวทั้งสามต้องแยกกันไปพักในแต่ละเรือน

“อย่างนี้ไม่ตะโกนกันคอแตกเหรอกว่าจะหากันเจอ’’ ฉิน เหม่ยพูดทีเล่นทีจริงตอนกลับมายังห้องโถงด้านหน้า

“หรือฉันไปนอนเป็นเพื่อนเธอดี” หนิงอวี่เสนอ

“ฝันไปเถอะ ฉันไม่ชอบแชร์ห้องนอนกับใครเธอก็รู้” ฉิน เหม่ยปฏิเสธทันทีอย่างไม่ต้องสงลัย

“เอาเถอะยังไงคุณน้าก็บอกแล้วว่าที่นี่จะไม่มีใครมาพัก นอกจากเรา ใช้กันคนละห้องนั่นแหละ ฉันเองก็เหนื่อยแล้ว อยากจะนอนพัก” เจียวมี่พูดจบก็ชี้ไปยังเรือนที่อยู่ทิศตะวันออก ฉันไปทางนั้นนะ”

“ถ้าอย่างนั้นฉันพักที่เรือนเหนือก็แล้วกัน”

มองดูเพื่อนสองคนเดินแยกย้ายกันไป ฉินเหม่ยเองก็ได้ แต่เดินตรงไปยังเรือนทิศใต้ ครุ่นคิดไประหว่างทางก็รู้สึกว่า โครงสร้างของบ้านหลังนี้ผิดปกติ

ปกติแล้วประตูหลักของบ้านสมควรหันไปทางทิศใต้ เรือนหลักตั้งอยู่ทางทิศเหนือ หากแต่บ้านหลังนี้กลับหันหน้าไปทางทิศตะวันตก และเรือนหลักกลับตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเสียอย่างนั้น

ที่สำคัญส่วนของเรือนพักกลับล้อมรอบเรือนหลักซึ่งเป็นโถงรับรอง ทำเช่นนี้มิเท่ากับล้อมกับดักหรอกหรือ…

“คิดมากจริง ใช่ว่าคนเราจะยึดถือเรื่องแบบนี้ไปทุกคน บางทีเจ้าของบ้านคงเน้นความสะดวกสบายมากกว่ากระมัง” ฉิน เหม่ยยักไหล่ราวกับไม่ใส่ใจ จากนั้นจึงเดินตรงไปยังห้องพักซึ่ง เมื่อครู่เธอเปิดเอาไว้

บ้านหลังนี้มีกำแพงสูงลิบ อีกทั้งเดินสำรวจมาแล้วว่าด้านในไร้ผู้คน ดังนั้นหญิงสาวทั้งสามจึงปล่อยตัวตามสบาย แม้ เป็นบ้านซึ่งอยู่ในชนบทหากแต่ความเป็นอยู่ก็ไม่ได้นับว่าแย่ โดยเฉพาะเครื่องอำนวยความสะดวก ที่น่าโล่งใจก็คือห้องน้ำที่นี่มีเครื่องทำน้ำอุ่น

“ถังน้ำ!” ฉินเหม่ยอุทานด้วยความตื่นเต้น

แม้ทุกอย่างดูคงสภาพอย่างวิถีชาวบ้าน โดยเฉพาะถังน้ำซึ่งทำมาจากไม้ หากแต่กลับมีเครื่องทำน้ำอุ่น ยังดีที่ชาวบ้านที่นี่ แม้ครํ่าครึ หากแต่ยังรู้จักใช้พลังงานโซล่าเซลล์

ดังนั้นเรื่องไฟฟ้าอาจเข้าไม่ถึง แม้ว่าจะอยู่ลึกเข้ามาใน หุบเขาจึงเป็นเรื่องหายห่วง ยิ่งไม่เป็นอุปสรรคหากจะแช่นํ้าร้อน

เดินทางเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน เมื่อมาถึงก็ตรงไปที่งานศพ ช่วยงานมากมายทั้งรับแขกและงานเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่สามารถทำได้ เนื่องจากพ่อและแม่ของเสี่ยวเชี่ยนยังคงอยู่ในช่วงโศกเศร้า ในที่สุดก็ได้พักผ่อนจริงๆ เสียที

“อากาศอย่างนี้ต้องแช่น้ำร้อนสิ”

เมื่อเปิดกระเป๋าเดินทางและจัดวางข้าวของที่จำเป็นเสร็จ ฉินเหม่ยก็คว้าอุปกรณ์อาบน้ำเดินเข้าไปในห้องน้ำ คาดหวังเต็มที่ ว่าจะแช่น้ำให้สบายตัว

กลิ่นหอมเย็นของดอกหลิงหลานโชยมากับสายลม ฉิน เหม่ยสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ในใจคิดว่าสวนในบ้านหลังใหญ่ ที่เต็มไปด้วยดอกหลิงหลาน ช่างทำให้บรรยากาศในบ้านดียิ่งขึ้นจริงๆร่างเปลือยเปล่าสัมผัสกับน้ำที่อุณหภูมิกำลังดี ฉินเหม่ยเอนกายพิงถังน้ำ หลับตาลงดื่มดํ่ากับความรู้สึกสบายตัว แม้บอกตัวเองว่าอย่าเผลอหลับโดยเด็ดขาด แต่เพราะร่างกายเหน็ดเหนื่อยจนแทบทนไม่ไหว ในที่สุดก็คอพับไปทั้งที่ยังคงนั่งอยู่ในถังน้ำ

ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือความฝันในความเลือนรางที่ดูคล้ายมีคล้ายไม่มี สัมผัสที่ลูบไล้ลงไปยังผิวกายร้อนผ่าว ทำให้หญิงสาวครางออกมาด้วยความสบาย

ศีรษะเล็กแหงนหงายไปด้านหลัง พิงเข้ากับกล้ามเนื้อ หนั่นแน่นของหัวไหล่หนา ซึ่งไม่รู้ว่าเข้ามานั่งซ้อนอยู่เบื้องหลังตั้งแต่เมื่อไร

ฝ่ามือร้อนเลื่อนไปกอบกุมอกอิ่มที่ปริ่มอยู่ขอบน้ำในถัง คลึงเคล้นลงน้ำหนักทั้งสองข้างอย่างเท่าเทียม โดยไม่ให้ฝั่งใดรู้สึกน้อยเนื้อตํ่าใจ

กายร้อนลวกที่นั่งซ้อนค่อยๆ แนบชิด กระทั่งสะโพกนิ่ม สัมผัสกับบางอย่างที่แข็งขึงดุนดัน บัดนี้ฉินเหม่ยจึงตระหนักว่า ตนกำลังนั่งอยุ่บนตักแกร่งของใครบางคน

แม้ตระหนกแต่ความง่วงงุนกลับมีมากกว่า อีกทั้งความเคลิบเคลิ้มที่ครอบงำ ทำให้เพียงเอนกายพิงร่างแกร่งอย่างอ่อนแรง ปล่อยให้ฝ่ามือร้อนข้างหนึ่งลูบไล้ลงไปยังจุดเร้นลับ

หญิงสาวอ้าปากหอบหายใจ เมื่อใบหน้าแหงนหงาย มองเห็นเค้าคมเข้มของบุรุษเบื้องหลัง คิ้วเรียวก็มุ่นลงเพ่งสายตามองเขา เสียงหัวเราะทุ้มตํ่าดังขึ้น จากนั้นจุมพิตร้อนผ่าวรุกล้ำก็ประทับลงมา

ฉินเหม่ยใจเต้นรัว สัมผัสรุกเร้าทั้งจากมือใหญ่ที่จุ่มจ้วงเข้าไปในกายสาว และจากจุมพิตลึกล้ำพัวพันอย่างชำนิชำนาญ ความสุขสมทางกายที่เรียกร้องมากขึ้นทำให้หญิงสาวยกมือหนึ่งขึ้นกอดรัดลำคอแกร่ง ยึดใบหน้าเขาเอาไว้พร้อมตอบสนองจุมพิตอย่างเร่าร้อนพอกัน

มืออีกข้างสอดเข้าไปยังหน้าท้องหนั่นกล้าม กระทั่ง ปลายนิ้วเรียวสัมผัสกับส่วนปลายที่แข็งขึง เรียกเสียงคำรามจากลำคอแกร่ง

มือใหญ่เร่งจังหวะจุ่มจ้วงจากเนิบช้าเป็นเร่งร้อน ในขณะ ที่ฉินเหม่ยกอบกุมตัวตนของเขาเอาไว้ได้ เสียงหอบหนักของเขา ทำให้หญิงสาวพออกพอใจ หากแต่จังหวะรุกเร้าของมือใหญ่เองก็ ทำให้กายสาวบีบรัด

ร่างเล็กบิดเร่าในยามที่ความรัญจวนหวานหวีดพุ่งขึ้นสูง เมื่อทุกอย่างทะยานขึ้นไปถึงจุดสูงสุด ฉินเหม่ยก็ได้แต่กรีดร้องออกมาอย่างสุขสม

จังหวะหัวใจยังไม่คงที่สะโพกผายกลับถูกยกขึ้น หญิง สาวพยายามลืมตาด้วยตื่นตระหนก ตระหนักดีว่านี่คือสิ่งใด แต่กลับไม่อาจขัดขืน เนื่องจากร่างกายที่ตื่นตัวนั้นกำลังเรียกร้อง

ในยามที่ปลายแข็งขึงร้อนผ่าวถูไถกับเนินเนื้อใต้ผิวน้ำ ร่างอรชรกลับสั่นระริก ขยับสะโพกรับจังหวะของเขาอย่างตื่นตัว

“อย่า…คุณเป็นใคร”

สติอันเลือนรางเอ่ยถามเขา พร้อมพยายามเปิดเปลือกตา แม้เอ่ยปากห้ามแต่ร่างกายกลับยังคงสั่นระริกและบดเบียดสะโพกเข้าหากายแกร่ง

เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นหากแต่ไม่อาจจับใจความ ฉินเหม่ยส่ายหน้า

“อย่า…ไม่นะ” ร่างน้อยพยายามดิ้นรนขัดขืน หากแต่มือ ใหญ่กลับตรึงสะโพกผายแน่นในจังหวะที่แก่นกายแข็งขึงกำลังสอดแทรกขึ้นมาจากเบื้องล่างช้าๆ ฉินเหม่ยพลันสั่นสะท้านด้วยความตื่นตระหนก

“ไม่!’’ หญิงสาวตะโกนดังลั่น พร้อมกับร่างทะลึ่งพรวดลุก

ขึ้นยืน

…มองดูทุกอย่างรอบกาย บรรยากาศอันเงียบงัน

ฉินเหม่ยพลันหน้าแดงกํ่า ก้มลงมองผิวกายของตัวเองที่ยังคงร้อนผ่าว แม้น้ำในถังจะลดอุณหภูมิลงไปมาก

“บ้าจริง รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น นี่ฉันฝันบ้าบอตอน กำลังแช่นำร้อนเหรอเนี่ย”

ผิวกายที่อังคงหลงเหลือสัมผัสจากคนในฝัน ทำให้ฉิน เหม่ยต้องเม้มปากแน่น ร่างกายที่ยังคงเรียกร้องแม้จะตื่นขึ้นมาจากฝัน ทำให้หญิงสาวอับอายจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ดังนั้นจึง ได้แต่ก้าวออกมาจากถังน้ำ เช็ดตัวจนแห้งจากนั้นจึงแต่งตัวและเดินออกไปจากห้องน้ำ

ภายในห้องน้ำ หลังจากที่หญิงสาวเดินออกไป เงาร่างสี ดำของจื่อเสียนพลันค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ดวงตาของเขาเปลี่ยนจาก ประกายสีดำเหม่อลอย กลับกลายมาเป็นตัวเขาที่ยังคงมีสติ

ชายหนุ่มก้มลงมองร่างของตัวเองที่เปลือยเปล่า อีกทั้ง ตรงหน้ายังคงมีถังน้ำร้อนที่ผ่านการอาบมาแล้วครั้งหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววงุนงงขึ้นมา จากนั้นก็มองไปรอบห้อง

“เกิดอะไรขึ้น’’

ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง จากนั้นจึงก้าวเดินออกมาโดย ที่ร่างเปลือยเปล่ายังคงเปียกชื้น เขากวาดสายตามองไปรอบห้อง แต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เพราะภายในห้องยังคงว่างเปล่า มี เพียงตัวเขาที่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว

“เมื่อครู่ข้านอนอยู่ที่เตียง แล้วทำไมจึงไปอยู่ในห้องอาบน้ำเล่า”

เขาถามตัวเองเสียงเบาและพยายามครุ่นคิด กายแกร่งที่ ตื่นตัวยิ่งทำให้เขางุนงง

ร่างกายที่ราวกับไม่ได้รับการเติมเต็ม ทำให้เขาสับสนไม่รู้ ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ในยามปกติร่างกายของเขาจะมีความปรารถนา กระทั่งไม่อาจควบคุมเฉพาะช่วงคํ่าคืน แต่ตอนนี้ตะวันยังคงส่องสว่าง และเขาเองก็เพิ่งจะนอนกลางวันไปได้ไม่นาน

คิดได้ดังนั้นเขาก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้น ร่างสูงจึงคว้าเสื้อตัวยาวมาสวมลวกๆ จากนี้นก็ก้าวออกไปจากห้องนอน ตรงไปยังห้องโถงรับรอง หวังว่าสหายของเขาจะให้คำตอบได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version