Skip to content
Home » Blog » องครักษ์เสื้อแพร 335

องครักษ์เสื้อแพร 335

ตอนที่ 335 ปฏิบัติหน้าที่ก็คือความจงรักภักดี

“ใต้เท้า นับดูแล้วครึ่งเดือนมานี้ไม่ได้จดหมายจากถนนทักษิณเลย”

จางซื่อเฉียงกล่าวขึ้นไม่ดังนัก แต่ก็ฟังกระจ่างชัดว่าหมายถึงอะไร ความเคยชินทางนี้ก็คือหวังทงสองสามวันก็จะให้ไปรับจดหมายลับฉบับหนึ่งจากเมืองหลวง ขุนนางนอกวังหากจะส่งสารให้ว่านลี่ก็ย่อมต้องส่งผ่านไปทางสำนักฎีกา ก่อนจะส่งต่อไปยังขันทีในสำนักส่วนพระองค์

ตอนนี้เรื่องสำนักส่วนพระองค์ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่อาจยุ่งเกี่ยว จดหมายลับจากหวังทงก็ไม่อาจให้คนนอกได้อ่าน ดังนั้นจดหมายพวกนี้จึงต้องส่งไปยังถนนทักษิณ ทุกวันเจ้าจินเลี่ยงจะมาที่ถนนทักษิณตามเวลาที่กำหนดเพื่อมาดูแลหอเลิศรสและลานฝึกหู่เวยให้อยู่ในสภาพเดิม

นี่เป็นคำสั่งของฮ่องเต้ว่านลี่ อย่างไรที่นี่ก็เป็นความทรงจำที่แสนงดงามที่สุดของพระองค์ โดยปกติผู้ที่นำส่งจดหมายมาจะส่งให้ถึงมือเจ้าจินเลี่ยง แล้วเจ้าจินเลี่ยงจะเป็นผู้นำไปทูลเกล้าต่อ

หากจดหมายจากฮ่องเต้ว่านลี่ไปถึงหวังทงนั้นกลับไม่ซับซ้อนนัก ส่วนใหญ่ก็ส่งมอบให้กับสำนักรักษาความสงบ จากนั้นก็จัดคนนำส่งไป

ตั้งแต่สองฝ่ายเริ่มสื่อสารกันด้วยวิธีส่งจดหมายนี้ น่าจะมีราวเดือนละหกฉบับจากเทียนจิน เมืองหลวงส่งกลับเดือนละสี่ฉบับ และหากมีเรื่องเร่งด่วน สองสามวันอาจต้องเพิ่มรอบส่ง

แต่หลายวันมานี้ แม้ว่าหวังทงจะส่งจดหมายไปตามปกติ แต่ทางเมืองหลวงกลับตอบกลับมาอย่างขาดๆ หายๆ จางซื่อเฉียงรับหน้าที่นำส่งหมายไปส่งดังนั้นจึงกล่าวเช่นนี้

การรักษาความสม่ำเสมอในการติดต่อกับฮ่องเต้ ก็เพื่อจะได้อยู่ในพระทัยฮ่องเต้เสมอ สำหรับหวังทงนี่เป็นหลักประกันความปลอดภัย โดยเฉพาะการที่เขามีศัตรูรอบด้านเช่นนี้ ต้องได้รับการปกป้องจากฮ่องเต้ตลอดเวลาจึงจะสบายใจคลายกังวลได้

หวังทงสีหน้ายังคงปกติ ได้แต่กล่าวน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ใกล้ปีใหม่แล้ว ฝ่าบาทคงทรงยุ่งราชกิจ เพิ่งจะอภิเษกสมรสอีก ก็ย่อมเป็นได้”

ทุกวันหลังอาหารเช้า ไช่หนานและหยางซือเฉินจะต้องหยิบยกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานมาคุยกันต่อหน้าหวังทงรอบหนึ่ง ต่อมา จางซื่อเฉียง ซุนต้าไห่และพวกถานเจียงก็นำเรื่องมาตรวจสอบร่วมด้วย

เรื่องการทหาร การบริหารคนและเรื่องการค้าต่างๆ ไม่ต้องการให้หวังทงลงชื่อด้วยตนเอง ก็แค่ให้รับรู้เท่านั้น จะได้ชี้แนะเพิ่มเติม ยังมีเรื่องที่ได้ตัดสินไปแล้ว ดูว่ามีใครมีอะไรเสริมอีกหรือไม่ จากนั้นควรทำอะไรต่อ วางแผนแจ้งข่าวกันและกัน

เหมือนว่าเป็นการประชุมเช้าและการประชุมระดมสมองกัน หลังจากหวังทงเสนอให้ทำเช่นขึ้น แรกเริ่มทุกคนรู้สึกไม่ชิน โดยเฉพาะพวกฝึกยุทธ์ จะรู้สึกว่ายุ่งยาก หากหลายเดือนมานี้เป็นความเคยชินเสียแล้ว ทุกอย่างมีหลักมีเกณฑ์ จัดการได้ราบรื่น จัดการได้อย่างสบาย

ในเวลานี้ในห้องมีแต่หวังทง จางซื่อเฉียงและไช่หนานสามคน เห็นหวังทงกล่าวอย่างไม่สนใจนัก ไช่หนานที่มาจากในวังรู้ความสำคัญของเรื่องนี้ดียิ่งกว่าคนอื่น จึงกล่าวอย่างร้อนใจว่า

“ใต้เท้า ฝ่าบาทมิได้มีราชกิจยุ่งนัก ท่านได้อ่านข่าวจากโจวกงกงหรือยัง? ซุนไห่แห่งสำนักอาชาหลวงเสนอตัวใกล้ชิดฝ่าบาท นำเสด็จไปอุทยานปัจจิม มิใช่ว่าเหมือนเราที่สร้างลานฝึกหู่เวยขึ้นหรอกหรือ หากฝ่าบาททรงเหินห่างจากพวกเราไป เกรงว่าคงมีคนอื่นเข้ามาแทนที่เป็นแน่!”

ทุกคนร่วมเดินเส้นทางเดียวกัน หากหวังทงได้ดี ทุกคนก็ดี หากหวังทงพ่าย ผู้ใดจะยังได้ประโยชน์ใดอีกเล่า ไช่หนานถูกลดตำแหน่งขับออกจากวังมา กว่าจะมาสู่ตำแหน่งมีเกียรติเป็นถึงผู้บังคับบัญชากองกำลังหู่เวยในตอนนี้ได้ อย่างไรก็ไม่อยากกลับไปทนทุกข์ดังเก่าอีก

เขาร้อนใจยิ่งกว่าหวังทง หวังทงกำลังจดจ่ออยู่กับการอ่านม้วนเอกสาร ในมือถือปากกาขนห่าน ขีดเขียนอะไรลงไปเป็นครั้งคราว

รอจนอ่านเอกสารเสร็จ ก็เงยหน้าขึ้นมามอง เห็นสีหน้าร้อนใจไช่หนานก็อึ้งไป ตามมาด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ พลางถามขึ้นเสียงดังว่า

“นายกองไช่ เช่นนั้นท่านว่าข้าควรทำเช่นไร?”

การย้อนถามเช่นนี้ทำเอาไช่หนานอ้าปากค้าง ไม่มีคำตอบอันใด คิดไปคิดมา เรื่องนี้ก็ไม่มีหนทางทำอะไรได้จริงๆ หรือว่าควรเข้าเมืองหลวงเข้าเฝ้าฝ่าบาท ตอนนี้ซุนไห่หาอุบายมากมายมาทำให้ทรงสำราญพระทัย หวังทงกลับไปเมืองหลวงตอนนี้ นอกจากระลึกถึงวันเก่าๆ ยังมีอะไรจะทำได้อีก หรือว่าจะทำหอเลิศรสและลานฝึกขึ้นอีก ย่อมไม่เหมาะกับตอนนี้แล้ว

เมื่อเห็นไช่หนานตอบไม่ได้ หวังทงก็ส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า

“เรื่องนี้ไม่เห็นมีอันใด ข้าจะไปทำไมกัน เกรงว่าจะได้ผลเสียกลับมาแทน”

“…เราจะไม่ทำอะไรเลยงั้นหรือ?” “

“หรือว่าเราตอนนี้ว่างงานกันล่ะ?”

หวังทงยิ้มถามกลับไป เห็นไช่หนานกับจางซื่อเฉียงสีหน้าฉงน เขาก็ย้อนถามอย่างสบายอารมณ์กล่าวต่อว่า

“ตอนข้าอยู่เมืองหลวง เปิดหอเลิศรส ตั้งลานฝึกหู่เวย ได้จัดการผดุงคุณธรรมกับฝ่าบาท ตอนนั้นฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยในข้าอย่างหาที่สุดมิได้ ในวังตอนนั้นต่างรับเรื่องนี้ไม่ได้ สุดท้ายยังต้องขับข้าออกมาอยู่เทียนจินนี่ ข้าตอนนั้นยังเป็นแค่นายกองร้อยธรรมดา ยังถูกกีดกันเช่นนั้น ซุนไห่ผู้นี้เป็นถึงผู้ช่วยหัวหน้าสำนักอาชาหลวง ผู้ใหญ่ในวังเห็นเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเฝิงเป่า จางกงกงจะคิดเช่นไร ท่านจางจะคิดเช่นไร ไทเฮาทั้งสองจะทรงคิดเช่นไร?”

คำถามย้อนกลับเช่นนี้ทำให้ไช่หนานอึ้งไป พึมพำกับตนเองว่า

“จางจิงกงกง หัวหน้าสำนักอาชาหลวงเป็นคนสนิทของไทเฮาฉือเซิ่ง ส่วนซุนไห่เป็นคนของไทเฮาเหรินเซิ่ง พวกเขา…”

กล่าวถึงตรงนี้ก็นิ่งตกใจทันที หรี่ตามองซ้ายมองขวา ในห้องมีแต่หวังทงกับจางซื่อเฉียงสองคน จางซื่อเฉียงก้มหน้าลง

หวังทงยิ้มกล่าวต่อว่า

“เราฝึกกองกำลังอยู่ที่เทียนจิน ยังนำเงินก้อนจินฮวาส่งเข้าเมืองหลวงไม่ขาด ล้วนเป็นงานที่เราควรทำ เป็นการเสริมกำลังให้กับฮ่องเต้อย่างแท้จริง ขอเพียงพวกเราทำต่อไป ได้เห็นก้อนเงินพวกนั้น ได้เห็นกองกำลังพวกนี้ ในพระทัยฝ่าบาทก็ย่อมนึกถึงพวกเราที่นี่ พระเมตตาย่อมไม่เปลี่ยนแปลง”

กล่าวมาเป็นชุดทำเอาไช่หนานได้แต่พยักหน้า สีหน้าคลายกังวลลงไม่น้อย ลูบใบหน้าไปมายิ้มกล่าวว่า“

“ใต้เท้าหวังช่างอ่านได้ทะลุทุกเรื่อง ข้าเองที่เลอะเลือน ใต้เท้ากับพี่จางเชิญคุยกันไปก่อน วันนี้ข้าต้องออกนอกเมืองไปที่แม่น้ำทะเล พานหมิงกับคนของเขา 500 คน จัดทำรายชื่อเสร็จแล้ว จะไปตรวจนับกับพี่ถานเจี้ยน”

ขณะที่พูดก็หอบรายชื่อลุกขึ้นยืนคำนับหวังทง บอกกล่าวกับจางซื่อเฉียงแล้วก็ออกไป

ไช่หนานออกไป จางซื่อเฉียงก็จะออกไปทำงานต่อ แต่ยังไม่ทันขยับหวังทงก็เรียกไว้ หันหน้ากลับมามองก็ต้องตกใจ เพราะหวังทงไม่ได้มีสีหน้ายิ้มแย้มแบบเมื่อสักครู่ กลับมีสีหน้าเคร่งเครียดผิดปกติ

“พี่จาง ข้ามีจดหมายฉบับหนึ่ง ตอนเช้าพี่ส่งคนนำเข้าเมืองหลวงไปมอบให้โจวอี้กับหลี่ว์วั่นไฉ ต้องตรวจสอบให้ดี ดูว่าระยะนี้ซุนไห่ทำอะไรที่พวกอะไรกันแน่ พวกเรายังไม่รู้เจตนา”

จางซื่อเฉียงรีบเข้าไปรับจดหมาย หวังทงสำทับอีกว่า

“สายทั้งในและนอกเมืองก็ต้องกำชับให้ดี ให้ทุกคนระวังตัวหน่อย อย่าให้ใครแทรกเข้ามาได้ ตอนนี้มีตัวแปรมาก เราต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวัง”

************

สถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเทียนจินตั้งอยู่ที่คลองส่งน้ำนอกเมือง แต่การจัดงานเลี้ยงรับรองระหว่างขุนนางล้วนจัดในเมือง ดังนั้นจึงมีร้านอาหารและโรงเตี๊ยมที่หรูหราในเมืองไว้รองรับพวกเขาเหล่านี้

ที่ทำการกองตรวจการอยู่ทางทิศใต้ มีโรงเตี๊ยมใหญ่แห่งหนึ่งชื่อว่า โรงเตี๊ยมจตุรทิศ ที่นี่มีหน้าร้านยาวไปเกือบหนึ่งในสามของถนนทั้งเส้น ที่พักมีทั้งห้องชั้นเลิศ ห้องชั้นดีและห้องพักเตียงเดียว หน้าโรงเตี๋ยมยังหอสองชั้นอีกหอหนึ่ง แบ่งออกเป็นสามห้อง ใช้สำหรับเลี้ยงรับรอง อาหารและสุราที่นี่มีชื่อที่สุดในเทียนจิน

สุราอุ่นเกาเหลียงจากเมืองเป่าติ้ง รวมทั้ง ‘รสดีอันดับหนึ่ง’ ที่ปรุงจากเนื้อปลาและเนื้อแพะตุ๋นล้วนเป็นอาหารขึ้นชื่อ เจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้เคยเป็นผู้ว่าการมณฑลมาก่อน ยังเคยเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวน เป็นบัณฑิตระดับจวี่เหริน

มีภูมิหลังเช่นนี้ ขุนนางก็ย่อมให้เกียรติอยู่บ้าง จึงไม่ค่อยเกิดเรื่อง การค้าราบรื่นมาโดยตลอด กอปรกับเถ้าแก่ก็รู้ธรรมเนียมดี ดังนั้นงานเลี้ยงทางการ ต้อนรับแขกผู้ใหญ่ก็ล้วนจัดที่นี่ การค้ารุ่งเรืองอย่างมาก

หวังทงเคยมากินอาหารที่นี่หลายครั้ง สุราอุ่นก็ดี แต่ รสดีอันดับหนึ่ง นั้นถูกปากยิ่ง กลับไปลองทำหลายครั้ง ก็ทำไม่ได้รสชาตินี้ ดังนั้นจึงแวะมากินอยู่บ้าง

ตอนเดือนสิบสองทุกที่หากไม่ปิดกลับบ้านไปฉลองปีใหม่กัน ก็จะยุ่งกันจนหัวหมุน กิจการโรงเตี๊ยมจตุรทิศนี้ก็เบาบางลง แต่วันนี้โถงกลางกลับครึกครื้นยิ่งนัก

มีชายสวมชุดทหารสิบกว่าคนกำลังนั่งกินอาหารเช้ากันอยู่ ชุดทหารเช่นนี้เป็นเครื่องแบบชุดทหารหมิง แต่ถูกหักเงินกันมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ชุดทุกคนก็ขาดๆ พังๆ จะมองเป็นชุดทหารก็ยากอยู่

แต่การมากินอาหารเช้าที่นี่ในชุดทหารเช่นนี้ ก็ไม่ใช่หทารทั่วไปจะกระทำกัน

ดูอาหารบนโต๊ะ แม้ว่าจะเป็นอาหารเช้า แต่ก็มีทั้งปลากุ้งและเนื้อแพะ สมบูรณ์บริบูรณ์ยิ่ง พวกเขาสิบกว่าคนนั่งอยู่สามโต๊ะ ดื่มกินกันอย่างเอร็ดอร่อย

ในโถงยังมีแขกอีกสองสามคนนั่งกระจายกันอยู่ ต่างหลบมุมให้ห่างไกล ไม่กล้าเข้าใกล้

“งานนี้มันบัดซบแท้ เขาเพิ่งมารับตำแหน่งกองตรวจการตอนปลายปี ทำเอาพวกเราพี่น้องต้องอดกลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้านกัน”

“หนาวก็หนาว เรือนเรานอกด่านอย่างไรก็อบอุ่น ที่นี่เหมือนถ้ำน้ำแข็ง เหลือทนจริงๆ”

“เสี่ยวเอ้อร์ สุราอุ่นที่ข้าดื่มเมื่อวานนี้มาไหนึง อย่าลืมอุ่นร้อนมาด้วย”

ได้ยินเสียงตะโกนดังมา คนงานที่ได้ยินก็ทำสีหน้าลำบากใจ เข้ามายิ้มกล่าวว่า

“นายท่านทั้งหลาย ร้านเรายามเช้าถึงบ่ายไม่ขายสุรา”

“มารดาเจ้าสิ ข้ากินที่ร้านเจ้าใช่ว่าไม่จ่ายเงิน รีบไปเอามาเร็ว เทียนจินที่แสนบัดซบนี่ นอกจากสุราอุ่นแล้วก็ไม่มีอะไรดีสักอย่าง รีบไปเอามาให้ข้าเร็ว! ไม่เช่นนั้นจะฟันเจ้าทิ้งซะ!!”

คนงานกล่าวจบ ทหารที่สั่งสุราก็ลุกขึ้นยืนชี้มือด่าไปทันที แม้แต่เถ้าแก่หลังโต๊ะเก็บเงินก็รีบลุกขึ้นอธิบายว่า

“เจ้าหน้าที่ทางการมาพักก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ เถ้าแก่ร้านเล็กๆ อย่างเราก็เกรงว่าทุกท่านดื่มแล้วจะเสียงาน จึงได้กำหนดไว้ว่ายามเช้าถึงบ่ายห้ามจำหน่ายสุรา ในเมื่อทุกท่านต้องการดื่ม…”

“พวกป่าเถื่อนหยาบคาย…”

ขณะอธิบายอยู่นั้น ก็มีเสียงลอยมาจากมุมหนึ่ง น้ำเสียงแม้ว่าไม่ดังนั้น แต่ทุกคนก็ได้ยินชัด ชายทั้งสิบลุกขึ้นมองไปด้วยความโมโหมาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version