Skip to content

เสนาบดีเจ้าจะหนีไปไหน 4

Chapter 4

ผู้เฝ้ามอง

เฟยเทียนยักไหล่ “เจ้าคิดถูกแล้วที่มาให้ข้าช่วยน่ะ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร? ปล่อยให้เขาตาย? ปล่อยให้วิญญาณติดกับศพไปจนกว่าไพลินวิญญาณจะแตกสลายหรือ? ข้ามีทางช่วยที่ดีกว่านั้นอีก คือช่วยให้เขากลับมามีชีวิตอีกครั้งอย่างไรล่ะ”

“แต่หากทำเช่นนั้นชะตาชีวิตจะยุ่งเหยิง! กรรมจะพัวพันกันไปพัวพันกันมายากจะแก้ไขได้!” เหยียนหลัวหวางสบถอย่างโมโหยิ่ง เฟยเทียนยักไหล่ “กรรมพัวพันแล้วอย่างไร ข้าก็แค่ต้องแก้ไขกรรมของข้า และกรรมของข้าก็คือเขาถูกพิษของข้า ข้าก็แค่ต้องช่วยแก้พิษให้เขาก่อนจึงจะตัดกรรมที่ต้องเกี่ยวข้องกับเขาออกไป”

“วะ! เจ้าไม่เข้าใจหรือ!? เจ้ากำลังจะทำให้ชะตาชีวิตของเด็กคนนี้บิดเบือนไป” เหยียนหลัวหวางตวาดอย่างโมโห เฟยเทียนตอบแบบกำปั้นทุบดิน “บิดเบือนแล้วอย่างไร? ชะตาชีวิตของคนที่นี่ก็ล้วนอยู่นอกเหนืออำนาจของเทพดวงชะตากันทั้งหมด จะเพิ่มเจ้าเด็กคนนี้มาอีกคนก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่เลย”

“เจ้า!” เหยียนหลัวหวางโมโหจนแทบอยากจะชักกระบี่ออกมาสู้กับนางแล้ว เฟยเหยาเห็นเหยียนหลัวหวางโมโหมากจึงก้าวไปไกล่เกลี่ย “ท่านใจเย็นๆ ก่อน”

“จะให้ข้าใจเย็นได้อย่างไร! เจ้าดูนางซิ นางคิดแต่จะช่วยเจ้าเด็กคนนี้จนไม่สนใจเลยว่าการกระทำของนางจะทำให้คนอื่นได้รับผลกระทบอย่างไร!” เหยียนหลัวหวางบ่นจนแทบจะพ่นไฟออกมาได้แล้ว เฟยเหยาขยับไปกระซิบว่า “เช่นนั้นคงต้องให้ท่านไปรายงานเจ้าแม่ฯ ดีกว่าเจ้าค่ะ”

เหยียนหลัวหวางพยักหน้ารับหงึกๆ “อืม”

เขากำลังจะขยับตัวหมุนหันหลัง พลัน! ชะงักกึก! หากไปรายงานเจ้าแม่ฯ คาดว่าเจ้าแม่ฯ ย่อมออกหน้าแทนลูกสาวน่ะซิ วะ! เจ้าเด็กเจ้าเล่ห์นี่!

เขาจ้องนางอย่างโมโห หากนางไม่ใช่ลูกสาวของเทพสงครามกับเทพกระบี่เขาคงฆ่านางไปแล้ว! นางก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ทำให้ชะตาชีวิตยุ่งเหยิง โดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ หากเขาแตะต้องธิดาของเทพสงครามคาดว่าเทพสงครามคงตามไปหักขาเขาถึงยมโลกแน่! พวกนางทั้งสองคนก็เหมือนผีเล็กผีน้อยที่มีผู้ยิ่งใหญ่คุ้มหัวนั่นแหละ คนหนึ่งก็ธิดาเจ้าแม่ฯ อีกคนก็ธิดาเทพสงคราม ฮึ่ม!

เฟยเหยาทำหน้าเฉย นางจะปล่อยให้เด็กตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร? หากเด็กคนนี้เป็นลูกของนาง นางย่อมหาทางช่วยสุดกำลังแน่นอน นางก็มีลูกดังนั้นจึงเห็นอกเห็นใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ หากต้องสูญเสียลูกไปพ่อแม่ของเด็กคนนี้คงเสียใจมากแน่นอน

“เอาเลยๆ เจ้าสองคนจะทำอย่างไรข้าก็ไม่รับรู้ด้วยแล้ว!” เหยียนหลัวหวางพูดอย่างโมโหยิ่งนัก เฟยเทียนรอโอกาสอยู่แล้วจึงรีบพูดว่า “เจ้าอนุญาตแล้วนะ”

“วะ! ใครอนุญาต!?” เหยียนหลัวหวางกระทืบพื้นทีหนึ่ง จนพื้นใต้เท้ายุบเป็นหลุม เฟยเทียนลอยหน้าลอยตาพูด “ก็เมื่อกี้เจ้าอนุญาตแล้ว เหยาเอ๋อร์ก็ได้ยินใช่ไหม?”

“เจ้าค่ะ” เฟยเหยาพยักหน้าหงึกๆ เหยียนหลัวหวางยิ่งโมโหจนหน้าแดงหน้าเขียว เขาตกหลุมพรางของสตรีทั้งสองเสียแล้ว! โว๊ย!

เฮยอู่ฉางชมดูเงียบๆ เขาไม่อาจสอดปากอะไรได้ทั้งนั้น ปล่อยให้ท่านผู้ยิ่งใหญ่เถียงกันเองเถอะ เหอๆๆๆ

เฟยเทียนไม่รอช้าเอาโอสถเม็ดหนึ่งใส่ปากทารกน้อยทันที เหยียนหลัวหวางห้ามไม่ทัน “เจ้า!”

“เด็กคนนี้จะฟื้นอีก 20 วัน เพียงเท่านี้กรรมของข้ากับเขาก็สิ้นสุดแล้ว ต่อจากนี้ข้าไม่มีกรรมต่อเขาแล้ว” เฟยเทียนพูดอย่างไม่สนใจท่าทางโมโหของเหยียนหลัวหวาง ต่อให้เขาโมโหจนตายนางก็ไม่สนใจ

นางมองเขาแล้วพูดว่า “ขอบคุณเจ้ามากที่พาเด็กคนนี้มาหาข้า ทำให้ข้าตัดกรรมกับเขาได้เสียแต่เนิ่นๆ”

เหยียนหลัวหวางยิ่งหน้าตาอึมครึม หากกระทืบเท้าชักดิ้นชักงอได้ดั่งเด็กน้อยเขาคงทำไปแล้วกระมัง แง่ง!

เฟยเทียนส่งทารกน้อยคือให้เหยียนหลัวหวาง “พาเด็กกลับไปได้แล้ว ข้าไม่ส่งล่ะ”

นางพูดแล้วก็เดินเข้าไปข้างใน ลูกชายเดินตามไป เหยียนหลัวหวางมองอย่างโมโหฮึดฮัด เฟยเหยาเดินเข้ากระท่อมไปแล้วปิดประตู เหยียนหลัวหวางยิ่งโมโหมากขึ้นอีก แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ เขาจึงข่มใจเอาไว้ ส่งเด็กให้เฮยอู่ฉาง สั่งว่า “พากลับไป”

เฮยอู่ฉางรับทารกน้อยไปอย่างงงๆ เหยียนหลัวหวางก็หายตัวไป เฮยอู่ฉางมองทารกน้อยแล้วพากลับไปที่จวนเสนาบดีเฉิน เขาปรากฎตัวขึ้นข้างเตียงวางทารกน้อยไว้ข้างมารดา ไป๋อู่ฉางมองเฮยอู่ฉางถามว่า “เป็นอย่างไร? แม่นางเฟยเทียนยอมช่วยเหลือหรือไม่?”

“ช่วย” เฮยอู่ฉางตอบสีหน้าเรียบเฉย ไป๋อู่ฉางมองเฮยอู่ฉางรอฟังเขาเล่า เฮยอู่ฉางพูดต่อว่า “แม่นางเฟยเทียนช่วยให้เด็กคนนี้รอดตายน่ะซิ”

“หา!” ไป๋อู่ฉางปากอ้าตาค้างไปครู่หนึ่ง “เช่นนั้นเด็กคนนี้ก็ไม่ตายแล้ว!?”

“อืม” เฮยอู่ฉางพยักหน้า ไป๋อู่ฉางถามต่อ “เช่นนั้นข้าจะพาวิญญาณของเขาไปได้อย่างไร?”

“ก็ไม่ต้องพาไปแล้วน่ะซิ” เฮยอู่ฉางบอก ไป๋อู่ฉางมึนงงไปครู่หนึ่ง “ไม่พาไป? หากไม่พาไปชะตาชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปน่ะซิ”

“ก็เปลี่ยนน่ะซิ เจ้าก็อย่าคิดมากเลย คนเปลี่ยนชะตาชีวิตเด็กคนนี้ไม่ใช่พวกเราแต่เป็นแม่นางเฟยเทียน ถ้าหากใครจะเอาผิดขึ้นมาก็ต้องไปเอาผิดกับแม่นางเฟยเทียนซิ พวกเราไม่เกี่ยวนา” เฮยอู่ฉางบอก ไป๋อู่ฉางคล้อยตามอย่างจำใจ เฮยอู่ฉางตบไหล่ “พวกเราก็ไปกันเถอะ”

“อืม” ไป๋อู่ฉางพยักหน้า เฮยอู่ฉางหายตัวไป ไป๋อู่ฉางก็หายตัวไปอีกคน หลังจากทั้งสองหายไปแล้ว ราวครึ่งชั่วโมงต่อมา ก็มีคนๆ หนึ่งปรากฏตัวขึ้น คนๆ นี้สวมชุดสีดำทั้งตัว คลุมศีรษะด้วยผ้าสีดำยากต่อการมองเห็นใบหน้าใต้ผ้าคลุมสีดำ จากรูปร่างผอมสูงน่าจะเป็นบุรุษ เขาก้มมองทารกน้อย มองต่างหูไพลินสีน้ำเงินแวววาว มือกำแน่น

“เสียดายนักที่ข้ามาไม่ทัน ไพลินเลือกเจ้านายเสียแล้ว เฮ้อ…” เสียงทุ้มต่ำพูดอย่างเสียดายยิ่งนัก กว่าเขาจะสืบหาเจอว่าไพลินวิญญาณมาอยู่ที่โลกแห่งนี้ก็สายไปเสียแล้ว เขาตามหาไพลินวิญญาณกับชิงชิงฉวน(星星船 เรือสตาร์) มานานแล้ว ชิงชิงฉวนสามารถทะลวงกฎของโลกพันเล็ก(จักรวาลขนาดเล็ก) ได้ เขาตามหาชิงชิงฉวนเพื่อเข้าไปในโลกพันเล็กหวังตามหาคนๆ หนึ่ง เขาตามกลิ่นอายชิงชิงฉวนมาจนถึงที่นี่แต่กลิ่นอายของชิงชิงฉวนก็หายไปเสียก่อน เขาจึงตามหาไพลินวิญญาณ แต่เมื่อพบไพลินวิญญาณกลับพบว่ามันเลือกเจ้านายไปแล้ว แต่จะให้เขาตัดใจทิ้งไพลินวิญญาณเขาก็ทำไม่ได้ เขามองทารกน้อยแล้วยื่นมือไปอุ้มทารกน้อยขึ้นมา จากนั้นก็หายวับไป

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เฉินม่านอิ๋งลืมตาตื่น นางมองลูกในอ้อมกอดทันที แต่ก็ไม่เห็นลูก นางจึงลุกขึ้นมองหาเพราะคิดว่าสามีอาจจะอุ้มไปก็ได้ แต่เมื่อมองไปก็เห็นสามีนอนอยู่ที่ข้างเตียง นางจึงยื่นมือไปปลุกเขา “ท่านพี่ๆ”

“อืม” เฉินจงกุ้ยงึมงำลืมตาตื่น เฉินม่านอิ๋งถาม “ท่านพี่ ลูกล่ะเจ้าคะ?”

“ลูก?” เฉินจงกุ้ยงุนงง เขามองๆ ไปก็ไม่เห็นลูกอยู่กับฮูหยิน เขามองไปรอบๆ ห้องทันที แต่ก็ไม่เห็นสาวใช้คนไหนอุ้มลูกของเขาสักคน พวกนางนั่งสัปหงกหลับกันหมด “หรือว่าท่านหมอติงจะอุ้มลูกไป?”

เขาเดาพลางลุกไปดูทันที เขาเจอติงเฟิ่งเหล่ยนั่งหลับอยู่ใกล้ๆ กับห้องครัว เขาจึงเขย่าปลุก “ท่านหมอๆ”

“อืม” ติงเฟิ่งเหล่ยลืมตาขึ้นมา บ่าวได้ยินเสียงแว่วๆ ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เฉินจงกุ้ยถามทันที “ท่านหมอ ลูกชายข้าล่ะ?”

“ลูกท่าน?” ติงเฟิ่งเหล่ยงุนงง “ลูกท่านก็อยู่กับฮูหยินไม่ใช่หรือ?”

“ไม่อยู่” เฉินจงกุ้ยบอก ติงเฟิ่งเหล่ยส่ายหน้า “ลูกท่านไม่ได้อยู่กับข้านะ หรือว่าสาวใช้จะอุ้มไป?”

เฉินจงกุ้ยร้องตะโกนสั่งคนทั้งจวนทันที “ตามหาคุณชายน้อยเร็ว! คุณชายน้อยหายไป”

“ขอรับ” / “เจ้าค่ะ” บ่าวไพร่ขานรับแล้วรีบหาคุณชายน้อยทันที เฉินม่านอิ๋งเดินตามมา นางเม้มปากแน่น สีหน้าคล้ายจะร้องไห้เต็มที

ติงเฟิ่งเหล่ยก็ช่วยตามหาอีกแรง เขาสงสัยว่าคนที่พาคุณชายน้อยไปจะเอาศพคุณชายน้อยไปทำอะไร?

เฉินม่านอิ๋งเดินหาลูกไปทั่ว นางกับสาวใช้เร่งค้นหาลูกอย่างร้อนใจ เฉินจงกุ้ยก็แยกไปตามหาอีกทาง คนทั้งจวนล้วนช่วยกันตามหาคุณชายน้อยกันจ้าละหวั่นแล้ว ทุกคนล้วนตามหาคุณชายน้อยทุกซอกทุกมุมของจวนอย่างละเอียดยิบ

หลังจากนั้นก็มีข่าวว่าเฉินมู่อิ๋งหายไป ทำให้เฉินไฮ่ผิงกับเฉินเหวินเคอดีใจยิ่งนัก หายไปตลอดกาลได้ยิ่งดี ฮ่าๆๆๆๆ

เฉินมู่อิ๋งถูกพาตัวไป เขามองเห็นสิ่งต่างๆ ผ่านจิตวิญญาณ ถึงแม้ร่างเขาจะหลับอยู่มีสภาพเหมือนตายแต่ยังไม่ตาย แต่จิตวิญญาณของเขาสามารถรับรู้ได้ เขาเห็นคนตัวสูงๆ ใส่อาภรณ์สีคล้ำๆ เขามองคนๆ นั้นอย่างอยากรู้อยากเห็น คนชุดดำมองทารกน้อย เขาเห็นจิตวิญญาณของทารกน้อยกำลังมองเขาอยู่เขาจึงคุยกับจิตวิญญาณของทารกน้อยว่า “เจ้าเป็นเจ้านายของไพลินวิญญาณแล้ว เจ้าก็คือเจ้านายของไพลินวิญญาณเม็ดนี้ ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดไพลินวิญญาณจึงเลือกเจ้าเป็นเจ้านาย? เจ้ามีดีอะไรรึเจ้าหนู?”

คำถามของเขาไร้คำตอบเพราะเฉินมู่อิ๋งยังไร้เดียงสาเกินไป คนชุดดำส่งเสียงอย่างขัดอกขัดใจ “ฮึ่ม!”

เขามองทารกน้อยแล้วบอกว่า “ข้าคือผู้เฝ้ามอง ข้าเฝ้ามองพิภพ ทำหน้าที่บันทึกความเป็นไปของพิภพ”

เฉินมู่อิ๋งมองอย่างไร้เดียงสา ผู้เฝ้ามองไม่ชอบใจเลยที่ทารกน้อยไม่อาจตอบโต้กับเขาได้ เขาจึงพาทารกน้อยไปดูวิถีชีวิตของคนๆ หนึ่ง คนๆ นี้เป็นราชครูในราชสำนักของแคว้นซีเอ่อ(锡儿) ซึ่งเป็นแคว้นเพื่อนบ้านกับแคว้นซินหยาง แคว้นซินหยางก็คือแคว้นบ้านเกิดเมืองนอนของเฉินมู่อิ๋ง ผู้เฝ้ามองพาทารกน้อยไปดูราชครูผู้นั้น ราชครูกำลังสอนองค์ชายน้อยอ่านตำรา เขาท่องเป็นบทกลอนพันอักษร ซึ่งมีท่วงทำนองจำง่าย เขาท่องทีละบท องค์ชายน้อยก็ท่องตาม เฉินมู่อิ๋งฟังเสียงสูงๆ ต่ำๆ นั้นซ้ำไปซ้ำมา

ผู้เฝ้ามองมองดูชีวิตของราชครูผู้นั้นไปเรื่อยๆ เฉินมู่อิ๋งก็มองดูราชครูผู้นั้นด้วยเช่นกัน ทั้งสองมองดูจนราชครูสิ้นอายุขัย เฉินมู่อิ๋งก็เห็นทิวทัศน์เปลี่ยนกลับมาเป็นใต้ต้นไม้ใหญ่ “เอ๋?”

“หึๆๆๆ พูดได้แล้วซินะเจ้าหนู” ผู้เฝ้ามองหัวเราะเบาๆ เฉินมู่อิ๋งมองอย่างงุนงง เขารู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขาไม่ใช่ทารกน้อยอีกต่อไปแล้ว เขามองผู้เฝ้ามองเขม็ง ถามว่า “ท่านทำอะไร?”

“ข้าให้เจ้าดูวิถีชีวิตของคนอย่างไรล่ะ ด้วยวิธีนี้เจ้าจะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากการเฝ้ามองได้ คนๆ นั้นเคยมีชีวิตอยู่จนถึง 10 ปีที่แล้ว องค์ชายน้อยที่คนๆ นั้นสั่งสอนปัจจุบันนี้ก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของแคว้นซีเอ่อ” ผู้เฝ้ามองอธิบาย “หากข้าให้เจ้าเฝ้ามองคนที่ยังมีชีวิตอยู่ย่อมไม่อาจมองดูคนๆ นั้นเสร็จสิ้นได้ใน 1 วันหรอกนะ หากทำเช่นนั้นเจ้าคงแก่ไปแล้ว”

เฉินมู่อิ๋งขมวดคิ้วงุนงง เขาไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่จับใจความได้ว่าผู้เฝ้ามองใช้วิธีการบางอย่างให้เขาดูคนที่ตายไปแล้ว ผู้เฝ้ามองมองทารกน้อยถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”

“เฉินมู่อิ๋ง” เฉินมู่อิ๋งตอบ ผู้เฝ้ามองถามอีก “เจ้าได้ไพลินวิญญาณมาได้อย่างไร?”

“ไพลินวิญญาณคืออะไร?” เฉินมู่อิ๋งถาม ผู้เฝ้ามองชี้ไปที่ใบหู “ต่างหูที่หูเจ้าอย่างไรล่ะ อัญมณีที่อยู่บนต่างหูคือไพลินวิญญาณ”

“อ่อ” เฉินมู่อิ๋งเข้าใจแล้ว “ต่างหูนี้ท่านพ่อมอบให้ข้า”

“แล้วพ่อเจ้าได้มาได้อย่างไร?” ผู้เฝ้ามองถามต่อ เฉินมู่อิ๋งส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”

ผู้เฝ้ามองถอนหายใจ เขาก็ไม่ได้สนใจนักว่าพ่อของเฉินมู่อิ๋งได้มาอย่างไร ที่เขาสนใจก็คือเหตุใดไพลินวิญญาณจึงเลือกเจ้าเด็กคนนี้เป็นนายต่างหาก

“ผู้เฝ้ามอง ท่านให้ข้าดูชีวิตของคนอื่นอีกได้หรือไม่?” เฉินมู่อิ๋งถาม ผู้เฝ้ามองพยักหน้า “ได้ แต่เจ้าอยากดูชีวิตของใครรึ?”

“ข้าอยากดูชีวิตของขุนนางที่เก่งๆ เหมือนพ่อข้า” เฉินมู่อิ๋งบอก มองด้วยสายตาขอร้อง ผู้เฝ้ามองซึ่งยังไม่มีอะไรจะทำจึงพาเฉินมู่อิ๋งไปดูชีวิตคน เขาเลือกชีวิตของขุนนางผู้หนึ่งซึ่งเก่งทางด้านบุ๋น เพราะเฉินจงกุ้ยเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ทิวทัศน์เปลี่ยนไป เฉินมู่อิ๋งเห็นขุนนางหลายคนยืนอยู่ในท้องพระโรง เขาไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้คือแคว้นไหน เขามองดูผู้คนเหล่านั้นไปเรื่อยๆ

ผู้เฝ้ามองก็อยู่กับเฉินมู่อิ๋ง เขาไม่ได้ดูผู้คนเหล่านั้น เขามองเฉินมู่อิ๋งต่างหาก เพราะอยากรู้ว่าเหตุใดไพลินวิญญาณจึงเลือกเด็กคนนี้เป็นเจ้านาย เขาเฝ้ามองเฉินมู่อิ๋งไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งทิวทัศน์เปลี่ยนกลับมาเป็นใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิม เฉินมู่อิ๋งจึงรู้ว่าตัวเองหลุดจากการเฝ้ามองแล้ว การเฝ้ามองดูขุนนางทำให้เขาได้รับความรู้มากมายทีเดียว เขามองผู้เฝ้ามอง ถามว่า “ท่านให้ข้าดูชีวิตของจอมยุทธ์ที่เก่งกาจได้หรือไม่?”

“ได้” ผู้เฝ้ามองพูดจบ ทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไป เฉินมู่อิ๋งเห็นคนๆ หนึ่งกำลังฝึกซ้อมกระบี่ เขาก็มองดูจอมยุทธ์คนนั้นฝึกซ้อมกระบี่ไปเรื่อยๆ ทั้งยังออกท่าออกทางตามไปด้วย ผู้เฝ้ามองเบิกตาโต เจ้าเด็กนี่ฉลาดนัก!

การดูชีวิตของผู้อื่นย่อมทำให้ผู้เฝ้ามองเรียนรู้ปัญหาและปัญญาของคนที่ถูกเฝ้ามอง การที่เฉินมู่อิ๋งเฝ้ามองชีวิตของราชครูก็ทำให้จิตวิญญาณของเขาเติบโตขึ้นจนสามารถพูดคุยตอบโต้ได้ การที่เขาขอดูชีวิตของขุนนางก็ทำให้เขาเรียนรู้เล่ห์เหลี่ยมของขุนนางมา บัดนี้เขาดูจอมยุทธ์ก็ทำให้เขาเรียนรู้วิชายุทธ์จากจอมยุทธ์คนนั้นด้วย ผู้เฝ้ามองจึงมองดูเฉินมู่อิ๋งอย่างสนอกสนใจ เขาอยากรู้ว่าเด็กคนนี้จะสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้าง?

จอมยุทธ์ที่เฉินมู่อิ๋งเฝ้ามองอยู่นั้นคือหลิวห้าวเหลียง(刘浩良) นับว่าเป็นจอมยุทธ์ที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง เฉินมู่อิ๋งขยับตัวตามท่าทางของหลิวห้าวเหลียง ร่างกายของเขายังคงหลับอยู่แต่จิตวิญญาณกำลังเคลื่อนไหวไปมา ผู้เฝ้ามองก็มองดูจิตวิญญาณของเฉินมู่อิ๋งไปเรื่อยๆ

ชีวิตของหลิวห้าวเหลียงนับว่าโลดโผนนัก จากพลทหารก็ไต่เต้าไปจนกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ แล้วก็ตกตายเพราะฮ่องเต้เกิดความระแวง ตระกูลหลิวจึงตกตายทั้งตระกูล ศีรษะของแม่ทัพหลิวตกลงพื้น ทิวทัศน์ก็เปลี่ยนกลับมาเป็นใต้ต้นไม้ใหญ่เช่นเดิม

เฉินมู่อิ๋งตัวสั่นๆ อย่างหวาดกลัว เขาเห็นคนตายมากมายในช่วงชีวิตของหลิวห้าวเหลียง ทั้งตายในสนามรบ ทั้งการลอบฆ่าลอบสังหารนับไม่ถ้วน จนกระทั่งถูกโทษประหารจนศีรษะตกลงพื้นเลือดสาดกระจาย ช่างน่ากลัวเกินไปหน่อยจริงๆ

“เป็นอย่างไร? ชีวิตจอมยุทธ์ที่เจ้าอยากดู” ผู้เฝ้ามองถาม เฉินมู่อิ๋งหน้าซีดตัวสั่นๆ “น่ากลัวมาก”

“สงครามก็เป็นเช่นนี้แหละ สงครามของมนุษย์ยังนับว่าไม่เท่าไหร่ หากเจ้าเคยเห็นสงครามของเทพของมารเจ้าคงกลัวจนหวาดผวาเลยกระมัง” ผู้เฝ้ามองพูดน้ำเสียงราบเรียบ เฉินมู่อิ๋งทำหน้าสยดสยอง ผู้เฝ้ามองถามยิ้มๆ “ยังอยากดูชีวิตคนอีกหรือไม่?”

“ดู” เฉินมู่อิ๋งตอบ ผู้เฝ้ามองถาม “คราวนี้เจ้าอยากดูชีวิตของใคร?”

“เอ่อ ขอเป็นบัณฑิตเถอะ” เฉินมู่อิ๋งตอบ ผู้เฝ้ามองยิ้ม ทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เฉินมู่อิ๋งเห็นผู้คนมากมาย มีคนๆ หนึ่งดูโดดเด่นกว่าคนอื่นมาก เขาจึงมองคนๆ นั้น ผู้เฝ้ามองก็มองเฉินมู่อิ๋งไปเรื่อยๆ

วันคืนผ่านไปหลายวันแล้ว เฉินจงกุ้ยยังหาลูกไม่พบเลย เขาโศกเศร้าเสียใจยิ่งนัก เฉินม่านอิ๋งก็โศกเศร้าเสียใจจนล้มป่วย ติงเฟิ่งเหล่ยก็คอยรักษาฮูหยินเฉิน เฉินจงกุ้ยโศกเศร้าจนไม่อาจไปทำงานได้ ฮ่องเต้จึงมีเมตตาให้เสนาบดีเฉินหยุดงานจนกว่าจะหายโศกเศร้า

เฉินไฮ่ผิงกับเฉินเหวิ่นเคอดีใจมาก พวกเขาล้วนอยากให้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้โศกเศร้าจนตรอมใจตายไปได้ยิ่งดี!

ทุกวันพวกเขาจะไปเยี่ยมพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ พูดจาปลอบใจ “พี่ใหญ่ ท่านอย่าได้เสียใจมากนัก บางทีหลานอาจจะถูกคนร้ายฆ่าตายแล้วก็ได้ ท่านต้องเผื่อใจไว้หน่อยนะขอรับ”

“ใช่ๆ พี่ใหญ่ ตั้งหลายวันแล้วหลานอาจจะตายไปแล้วก็ได้อย่างที่พี่รองพูด ท่านก็ทำใจเถอะ” เฉินเหวินเคอพูดพลางทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจ เฉินม่านอิ๋งได้ยินคำพูดของน้องสามีทั้งสองแล้วก็อยากตบปากพวกเขานัก นางจึงตะโกนสั่งสาวใช้ว่า “พวกเจ้าไปไล่สุนัขสองตัวนั้นออกไป๊!”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่งแล้วรีบเรียกบ่าวเข้ามา “พวกเจ้ารีบมาไล่พวกเขาออกไป ฮูหยินสั่ง”

สาวใช้เน้นคำว่า ‘ไล่’ เสียงดังฟังชัดมาก พวกบ่าวก็ไม่ชอบใจน้องของนายท่านอยู่แล้ว นายท่านกำลังโศกเศร้าคนพวกนี้ยังมาพูดจาให้นายท่านยิ่งเศร้ามากขึ้นอีก เมื่อฮูหยินสั่งมาเช่นนี้พวกเขาจึงไม่รอช้า พากันกรูเข้าไป “เชิญท่านเฉินไฮ่ผิงและท่านเฉินเหวินเคอกลับไปก่อนขอรับ”

“พวกเจ้ากล้า!” เฉินไฮ่ผิงและเฉินเหวินเคอโมโหจนหน้าแดงหน้าเขียว “พี่ใหญ่ ท่านดูบ่าวบ้านท่านซิ พวกมันกล้าพูดจาเช่นนี้กับพวกเราเชียวรึ!”

“พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ” เฉินจงกุ้ยโบกมือ เขาลุกขึ้นเดินเข้าไปด้านในอย่างไร้กะจิตกะใจ พวกบ่าวก็ล้อมหน้าล้อมหลัง ‘สุนัข’ ทั้งสอง พูดน้ำเสียงขึงขังว่า “เชิญพวกท่านกลับไปก่อนเถอะ นายท่านต้องการพักผ่อนแล้ว ไม่สะดวกรับแขก”

“พวกเจ้า!” เฉินไฮ่ผิงชี้หน้าอย่างโมโหยิ่งนัก เฉินเหวินเค่อสะกิดพี่รองกระซิบว่า “วันนี้พวกเรากลับกันก่อนเถอะ วันหน้าค่อยมาใหม่”

“หึ!” เฉินไฮ่ผิงแค่นเสียงอย่างโมโห พูดว่า “พี่ใหญ่ วันหน้าข้าจะมาเยี่ยมอีก”

“พวกเจ้าไม่ต้องมาแล้ว! จวนนี้ไม่ต้อนรับพวกเจ้าแล้ว!” เฉินม่านอิ๋งตะโกนออกมาแล้วไอแค่กๆ สาวใช้รีบส่งชาขิงอุ่นๆ ให้ฮูหยินทันที “ฮูหยินเจ้าคะ ดื่มชาก่อนเจ้าค่ะ”

เฉินไฮ่ผิงกับเฉินเหวินเคอโมโหยิ่งนัก แต่พี่ใหญ่ก็ไม่พูดอะไรสักคำ นี่ยิ่งทำให้พวกเขาโมโหมากขึ้นอีก หึ! พี่ใหญ่เห็นเมียดีกว่าน้องเช่นนี้ได้อย่างไร!

เฉินมู่อิ๋งดูชีวิตของบัณฑิตจนกระทั่งเขาสิ้นอายุขัย นับว่าเขาเป็นบัณฑิตผู้มีความรู้กว้างขวางจริงๆ ทิวทัศน์เปลี่ยนกลับมาเป็นใต้ต้นไม้ใหญ่เช่นเดิม เฉินมู่อิ๋งหันไปมองผู้เฝ้ามอง พูดว่า “ข้าอยากดูชีวิตของหมอ”

“ได้” ผู้เฝ้ามองพูดแล้วทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไป เฉินมู่อิ๋งเห็นผู้คน มีคนเจ็บนอนอยู่บนเตียง หมอกำลังลงมือรักษาคนเจ็บคนนั้น

“ท่านหมอกู่ ท่านต้องช่วยลูกชายข้าให้ได้นะเจ้าคะ ข้ามีเขาเป็นลูกชายคนเดียว หากเขาตายไปข้าคงอยู่ไม่ได้แน่เจ้าค่ะ” มารดาคนเจ็บคร่ำครวญน้ำตานองหน้า

“ข้าย่อมรักษาเขาสุดฝีมือ” กู่เสียนฟางบอกพลางลงมือเย็บแผลอย่างคล่องแคล่วว่องไว เฉินมู่อิ๋งก็มองดูการรักษาไปเรื่อยๆ ผู้เฝ้ามองก็มองดูจิตวิญญาณของเฉินมู่อิ๋งอย่างอยากรู้อยากเห็น เฉินมู่อิ๋งเฝ้ามองวิธีการรักษาของท่านหมอท่านนี้ไปเรื่อยๆ พลางพูดว่า “บาดแผลเช่นนี้รักษาได้ด้วยการเย็บเหมือนเย็บผ้าหรือ?”

“วิธีการรักษามีมากมายนัก หมอแต่ละคนก็มีวิธีการแตกต่างกัน” ผู้เฝ้ามองพูดขึ้นมา เฉินมู่อิ๋งมองผู้เฝ้ามองแล้วพูดว่า “เช่นนั้นหลังจากที่ข้าดูชีวิตของท่านหมอท่านนี้แล้ว ขอข้าดูชีวิตของท่านหมอท่านอื่นด้วยได้หรือไม่ขอรับ?”

“ได้” ผู้เฝ้ามองพยักหน้า “เจ้าอยากดูมากเท่าไหร่ก็ดูได้จนกว่าเจ้าจะเบื่อเลยล่ะ หึๆๆๆ”

“ขอบคุณท่านมาก” เฉินมู่อิ๋งพูดแล้วเบนสายตาไปมองการรักษาต่อ ผู้เฝ้ามองไม่ได้มองกู่เสียนฟาง เขามองสตรีชราที่อยู่ข้างๆ มากกว่า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version