Skip to content

คู่แฝดแสบสุดขั้ว 8

Cover Kf

Chapter 8

ซื้อของขวัญให้เลขา

“งั้นเหรอ เออขอบใจนะ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้ารับรู้แล้วก็เดินไปที่โต๊ะเลขาหยิบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะซะเอง เขาเหลือบไปเห็นกรอบรูปตั้งโต๊ะแบบพับได้วางอยู่ เขาหยิบขึ้นมาดู ข้างในเป็นรูปชายหญิงคู่หนึ่งยืนโอบกันบนชายหาด ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะเป็นพ่อกับแม่ของพิมพิรา ถัดมาเป็นรูปพิมพิรายิ้มแฉ่งคนเดียวมีฉากหลังเป็นพระอาทิตย์ดวงโตสีแดงซึ่งน่าจะเป็นตอนพระอาทิตย์ตก ถัดมาอีกรูปเป็นรูปพิมพิราสวมชุดครุย บนหัวสวมมงกุฎดอกไม้ยิ้มหน้าบานฉากหลังเป็นซุ้มดอกไม้สีสดมีป้ายแสดงความยินดีตัวเบ้อเริ่ม ส่วนรูปสุดท้ายเป็นรูปพริ้ตตี้สาวสวยหุ่นเซ็กซี่ขยี้ใจชาย ยืนถ่ายรูปคู่กับรถสปอร์ตหรู พอมองหน้าคนในรูปเขาก็ต้องมองแล้วมองอีก เลื่อนกรอบรูปขยับเข้าขยับออกหาโฟกัสให้ชัดๆ เพราะนึกภาพไม่ออกเลยว่าพิมพิราก็แต่งตัวเซ็กซี่เป็นกับเขาเหมือนกัน

‘โอ้โห…มิน่าล่ะหนุ่มๆ ถึงได้ตามจีบกันจัง นี่ขนาดมีข่าวลือกันไปทั่วทั้งออฟฟิตก็ยังดิสเครดิตแม่คุณไม่ได้เลยนะนี่ ก็ยังเห็นตามกันเป็นพรวนอยู่นั้นแหละ ถึงว่าซิ!ขาวๆ อึ๋มๆ ซะขนาดนี้พวกหนุ่มๆถึงได้เทียวไปเทียวมาอยู่นี่เอง’

เขาวางรูปไว้ที่เดิม แล้วก็หยิบแฟ้มบนโต๊ะถือเข้าห้องไป

เมื่อพิมพิรากลับมา นพก็รีบบอกว่า “คุณพะพิมครับ เมื่อกี้ท่านออกมาถามหาคุณน่ะครับ”

“เหรอคะ ขอบคุณค่ะน้านพ” พิมพิราพยักหน้ารับรู้แล้วก็รีบเข้าไปพบเจ้านาย เธอเคาะประตูห้อง “ขออนุญาตค่ะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบบอก “เชิญครับ”

พิมพิราเปิดประตูเข้าไปแล้วเธอก็ถามว่า “ท่านมีอะไรจะใช้พะพิมเหรอคะ?”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มให้แล้วบอกว่า “เดี๋ยวผมจะออกไปซื้อของขวัญวันเกิดให้เจ้าวีมันน่ะครับ ผมอยากจะให้คุณไปช่วยเลือกของขวัญให้เจ้าวีมันหน่อย”

พิมพิราทำหน้างงๆ ‘เอ๋! จะซื้อของขวัญให้ลูกแล้วเกี่ยวอะไรกับเราล่ะหว่า…’

พลเอกณรงค์ฤทธิ์เห็นเลขาทำหน้างงก็รีบอธิบายว่า “คือว่าทุกทีคุณคุณหญิงจิตตราแม่ของเจ้าวีเขาจะเป็นคนเลือกของขวัญให้เจ้าวีน่ะครับ ผมก็กลัวว่าถ้าผมไปซื้อเองเดี๋ยวจะไม่ถูกใจเจ้าวีน่ะครับ ผมก็เลยอยากให้คุณไปช่วยเลือกให้หน่อย แบบว่าอายุไล่ๆ กันก็น่าจะรู้รสนิยมคนวัยเดียวกันน่ะครับ”

“อ๋อ ได้ซิคะท่าน” พิมพิราพยักหน้ารับปากทันที พลเอกณรงค์ฤทธิ์ปิดแฟ้มที่อ่านค้างอยู่ฉับ แล้วพูดว่า “งั้นก็ไปกันเลยนะครับ”

เขาบอกพร้อมกับลุกขึ้นอย่างว่องไว พิมพิรารีบออกไปเก็บโต๊ะทำงานของเธอพร้อมกับบอกคนขับรถว่า “น้านพคะ ท่านจะไปข้างนอกค่ะ”

“ครับคุณพะพิม” นพพยักหน้ารับรู้แล้วก็รีบไปเตรียมรถทันที เมื่อท่านประธานเดินออกมา พิมพิราก็สะพายกระเป๋าพร้อมจะติดตามเจ้านายไปได้ทุกที่ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เดินไปกดลิฟท์

เมื่อลงไปด้านหน้าออฟฟิตเขาก็เห็นนพเอารถมาจอดคอยอยู่แล้ว พอขึ้นรถเขาก็สั่งว่า “ไปเกษรพลาซ่านะนพ”

“ครับท่าน” นพรับคำแล้วก็ขับรถออกไปตามคำสั่งเจ้านาย

กว่าจะฝ่าการจราจรไปได้ก็เสียเวลาไปถึง 2 ชั่วโมงจนพิมพิราแอบบ่น “เฮ้อ ติดได้ติดดี นี่ถ้านั่งรถไฟฟ้าล่ะก็แป๊บเดียวก็ถึง”

แม้ว่าเธอจะบ่นเบาๆ กับตัวเอง แต่พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ยังได้ยินเขาเลยหันไปบอกว่า “งั้นตอนขากลับเรานั่งรถไฟฟ้ากลับก็ได้ครับ”

พิมพิราตกใจ ‘อุ้ยตาย! ท่านได้ยินด้วยเหรอ’

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มให้แล้วหันกลับไปมองถนนต่อ พิมพิราแอบถอนหายใจโล่งอกเพราะกลัวว่าจะถูกเจ้านายตำหนิ ‘เฮ้อ…รอดตัวไป’

เมื่อไปถึงเกษรพลาซ่า ก่อนจะเข้าไปเลือกซื้อของขวัญ พิมพิราก็ถามท่านประธานว่า “ท่านคะ ท่านคิดว่าจะซื้ออะไรเป็นของขวัญให้คุณวีคะ? พะพิมจะได้เลือกถูกค่ะ”

“ผมคิดว่าจะซื้อนาฬิกาให้น่ะครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ตอบ พิมพิราพยักหน้ารับรู้

หลังจากนั้นพิมพิราก็ได้รู้ว่าสินค้าในห้างนี้แพงขนาดไหน แม้ว่าจะเคยได้ยินมาบ้างแต่ก็ยังไม่เท่ากับได้มาดูได้มารับรู้ด้วยตัวเองดังเช่นในขณะนี้ เคยแต่เดินผ่านๆ ดูอยู่นอกร้าน

“เท่าไหร่นะคะ?” เธอถามพนักงานขายเสียงสูง พนักงานขายคนเดิมรีบบอกราคานาฬิกาเรือนที่คุณลูกค้ากำลังถืออยู่อีกครั้งด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “เจ็ดล้านเก้าแสนค่ะ”

‘โอ้…แม่เจ้า!’ พิมพิรารีบส่งนาฬิกาคืนให้พนักงานขายทันที ‘นาฬิกาแค่เรือนเดียวทำไมมันแพงขนาดนี้ฟร่ะ!’

หลังจากนั้นเธอก็ไม่กล้าหยิบกล้าจับนาฬิกาเรือนไหนในร้านอีกเลย ได้แต่ชี้ให้เจ้านายดูเพราะเธอกลัวจะทำของเขาตกเสียหายขึ้นมาจะเอาปัญญาที่ไหนมาจ่าย พลเอกณรงค์ฤทธิ์เลือกดูจนหมดทั้งร้านก็ยังไม่ถูกใจเลยซักเรือน เขาจึงชวนพิมพิราไปดูร้านอื่น

จากนั้นทั้งสองคนก็เดินเข้าเดินออกร้านนั้นร้านนี้ช่วยกันเลือกแต่ก็ยังไม่เจอที่ถูกใจเลยซักเรือน จนรู้สึกเหนื่อย พลเอกณรงค์ฤทธิ์จึงชวนพิมพิราไปนั่งพัก “คุณพะพิมครับ ผมว่าเราไปหาอะไรดื่มกันก่อนเถอะครับ”

“ค่ะท่าน” พิมพิราหันไปพยักหน้าเห็นด้วย พลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินนำพิมพิราตรงไปยังร้านกาแฟเล็กๆ ที่อยู่ในห้าง

เมื่อนั่งปุ๊บ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็สั่งเครื่องดื่มกับพนักงานว่า “ลาเต้ร้อนที่นึงแล้วก็นมเย็นที่นึงครับ”

พิมพิราแปลกใจที่ท่านประธานรู้ได้ยังไงว่าเธอจะสั่งอะไรมาดื่ม ‘เอ๊ะ…ท่าน รู้ได้ไงว่าเราจะสั่งนมเย็น’

แต่เธอก็ไม่กล้าถาม จึงได้แต่นั่งเงียบ มองนู้นมองนี่ไปเรื่อยจนได้ยินเสียงเจ้านายถามว่า “คุณพะพิมจะสั่งอะไรเพิ่มไหมครับ? ร้านนี้เขามีสตอเบอรี่ชีสเค้กอร่อยมากนะครับ”

พิมพิราหันกลับไปมองเจ้านาย เธอนึกแปลกใจอีกครั้ง ‘เอ๊ะ…ท่านรู้ได้ไงว่าเราชอบสตอเบอรี่ชีสเค้ก?’

แล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ไม่รอคำตอบจากเลขา เขาหันไปสั่งกับพนักงานว่า “น้องครับเอาสตอเบอรี่ชีสเค้กมาสองที่ครับ”

แล้วเขาก็หันกลับมาพูดกับเธอว่า “ถ้าคุณพะพิมได้ลองกินสตอเบอรี่ชีสเค้กของที่นี่แล้วล่ะก็ ผมรับรองเลยว่าไม่มีที่ไหนอร่อยเท่าร้านนี้อีกแล้วครับ”

“จริงเหรอคะท่าน ขอบคุณค่ะ” พิมพิราพยักหน้ารับรู้

เมื่อเครื่องดื่มกับของว่างที่สั่งไปมาเสิร์ฟ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็พูดว่า “ขอบคุณครับ”

พนักงานเสิร์ฟยิ้มรับแล้วก็ถอยออกไป พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยกแก้วลาเต้ขึ้นจิบ แล้วก็หยิบส้อมตัดแบ่งขนมตักเข้าปาก พิมพิรามองขนมในจานตรงหน้าแล้วตักกินบ้าง ‘อืมห์…อร่อยอ่ะ’

ดวงตาหวานเป็นประกายวิบวับอย่างมีความสุขขึ้นมาทันที

“อร่อยใช่ไหมครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ถามพร้อมกับยิ้มให้ พิมพิรารีบเคี้ยวรีบกลืนขนมแล้วตอบว่า “ค่ะท่าน อร่อยมากค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มรับ แล้วก็ไม่ชวนเลขาคุยอีก จนกระทั่งพิมพิรากินสตอเบอรี่ชีสเค้กจนหมด

“สตอเบอรี่ชีสเค้กของที่นี่เขาอร่อยมากๆ จนผมมากินบ่อยๆ เลยล่ะครับ” เขาเล่าให้ฟัง และเมื่อพิมพิราดื่มนมเย็นหมดแล้วเขาก็สั่งเช็คบิล “น้องครับ เช็คบิลด้วยครับ”

พนักงานรีบเข้ามาบริการอย่างว่องไวทันใจ เพียงครู่เดียวก็นำบิลมายื่นให้ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็จัดการจ่ายเงิน พิมพิราเหลือบมองบิลแล้วก็แทบลมจับ เมื่อรู้ราคานมเย็นที่เธอดื่มและสตอเบอรี่ชีสเค้กที่เธอกินเข้าไป ‘จ๊าก! นมเย็นแก้วเดียวเกือบสองร้อย สตอเบอรี่ชีสเค้กชิ้นละเกือบสามร้อย ทำไมมันแพงขนาดนี้ฟร่ะ!?’

หลังจากนั้นท่านประธานก็ชวนคุณเลขาไปเดินเลือกของขวัญต่อ กว่าจะเลือกได้ก็เล่นเอาเดินกันทั่วทั้งห้าง เมื่อเลือกได้แล้วพนักงานขายก็จัดการห่อของขวัญตามคำสั่งลูกค้าทันที พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็รูดเครดิตการ์ดจ่ายปื้ดๆ จ่ายแบบชิลๆ แค่สิบล้านกว่าๆ เอง

เมื่อซื้อของเสร็จปั๊บก็กลับกันปุ๊บ แถมขากลับท่านประธานยังชวนคุณเลขานั่งรถไฟฟ้ากลับอีกต่างหาก พิมพิราจึงได้รู้ว่าพลเอกณรงค์ฤทธิ์ไม่เคยใช้บริการรถไฟฟ้าเลย จึงเป็นหน้าที่เธอจัดการซื้อตั๋วให้และคอยบอกว่าต้องทำยังไงบ้าง พลเอกณรงค์ฤทธิ์ทำตามที่พิมพิราบอกอย่างเก้ๆ กังๆ ตามประสาคนไม่เคยขึ้นรถไฟฟ้า

จนกระทั่งถึงสถานีปลายทางซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับบริษัท พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เสียบบัตรโดยสารเข้าเครื่องตามที่พิมพิราบอก แต่เพราะเป็นบัตรโดยสารแบบเที่ยวเดียวจึงไม่มีบัตรคืนมา ทำให้พลเอกณรงค์ฤทธิ์ซึ่งมัวแต่รอจะรับบัตรคืนเหมือนที่เห็นคนอื่นๆ เขาได้คืน จนพิมพิราต้องรีบดันหลังท่านประธานให้เดินออกไปก่อนที่แผงกั้นจะปิด “ท่านคะเดินไปเลยค่ะ”

เมื่อท่านประธานเดินออกไปแล้ว พิมพิราก็แตะบัตรของตัวเองกับเครื่องแล้วเดินตามออกไป หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินจากสถานีรถไฟฟ้าไปจนถึงบริษัท

“โห…แค่แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว ถ้ารู้งี้นะผมไม่มัวนั่งรถให้เสียเวลาหรอกครับ ครั้งหน้าเรานั่งรถไฟฟ้าไปนะครับคุณพะพิม  มันเร็วดีผมชอบ”

“ค่ะท่าน” พิมพิรายิ้ม

เมื่อถึงบริษัท ท่านประธานก็กลับไปนั่งทำงานต่อ กว่านายนพจะขับรถฝ่าการจราจรกลับมาถึงที่บริษัทก็เสียเวลาไปตั้งเกือบ 3 ชั่วโมง เพราะตอนขากลับเป็นช่วงโรงเรียนใกล้เลิก การจราจรจึงเริ่มๆ จะติดอย่างมหาโหด

เมื่อใกล้จะถึงเวลาเลิกงาน ท่านประธานก็เรียกเลขาเข้าไปพบ “คุณพะพิมครับเชิญข้างในหน่อยครับ”

“ค่ะท่าน” พิมพิราตอบอินเตอร์คอม แล้วก็รีบเข้าไปตามคำสั่งทันที “ท่านมีอะไรจะใช้พะพิมเหรอคะ?”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยื่นกล่องของขวัญกล่องหนึ่งให้คุณเลขาพร้อมกับอมยิ้ม “ผมให้คุณครับ”

“อะไรคะเนี่ย? ให้พะพิมทำไมคะ? ท่านให้เนื่องในโอกาสอะไรคะ?” พิมพิราทำหน้างงๆ

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ลุกจากเก้าอี้เดินอ้อมโต๊ะมายืนตรงหน้าพิมพิรา แล้วเขาก็จับมือเธอให้แบออก แล้วเอากล่องของขวัญใบน้อยวางลงบนฝ่ามือขาวนวลพร้อมกับยิ้มให้ “ผมให้ เพราะอยากจะตอบแทนที่คุณทำงานให้ผมดีมากๆ ดีกว่าที่ผมคาดไว้ซะอีก อีกอย่างผมอยากจะตอบแทนที่ใช้งานคุณล่วงเวลาบ่อยๆ จนทำให้คุณต้องกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ เป็นประจำ รับไว้เถอะครับ ถือว่าเป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากผมล่ะกัน”

“แต่ว่า…” พิมพิราปฏิเสธ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็รีบบอกว่า “อย่าปฏิเสธที่จะไม่รับนะครับ ผมซื้อมาแล้วอย่าให้ผมต้องเสียเงินเปล่าเลยนะครับ”

พิมพิราได้ยินเขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ แกมขอร้อง เธอจึงไม่อาจจะปฏิเสธได้ “ขอบคุณค่ะท่าน”

“แกะดูเลยซิครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์คะยั้นคะยอให้เธอหล่อนแกะห่อของขวัญ พิมพิราได้แต่ทำตาม ครั้นพอเธอแกะกระดาษสีสวยที่ห่อออกแล้ว เธอก็เห็นว่าข้างในเป็นกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม พอเปิดออกดูหัวใจดวงน้อยๆ ของเธอแทบหยุดเต้น เพราะสิ่งที่อยู่ภายในกล่องก็คือนาฬิกาฝังเพชรแบรนด์คาเทียที่เธอเมียงๆ มองๆ ตอนที่เลือกซื้อของขวัญเมื่อตอนบ่าย ด้วยความที่ดีไซน์สวยถูกใจ จนเธออดที่จะถามราคากับพนักงานขายไม่ได้ แต่พอได้รู้ราคาปั๊บเธอก็เลิกคิดฝันอยากจะเป็นเจ้าของทันที ก็ราคาตั้งล้านสอง เธอจะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อได้ล่ะ หรือต่อให้เธอทำงานหาเงินเก่งๆ ได้เหมือนอย่างน้องสาวตัวเองก็เหอะ เธอยังไม่ซื้อเลย ก็ตั้งล้านสองซื้อบ้านได้เป็นหลังเชียวนะเนี่ย!

เมื่อตั้งสติได้ เธอก็รีบปิดกล่องแล้วส่งคืนทันที “ท่านคะ ของแพงขนาดนี้พะพิมรับไม่ได้หรอกค่ะ”

ใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มของพลเอกณรงค์ฤทธิ์เลยหุบฉับพลัน “อ้าว…ทำไมล่ะครับคุณพะพิม?”

“พะพิมขี้เกียจเป็นข่าวค่ะ แค่นี้เขาก็เม้าส์กันจะแย่แล้วว่า พะพิมหวังจะรวยทางลัด ขืนคนอื่นรู้เข้าว่าท่านให้ของแพงๆ กับพะพิม ทีนี้ล่ะค่ะ เขาคงเอาไปเม้าส์กันสนั่นออฟฟิตว่าข่าวที่ลือๆ กันอยู่คงไม่ใช่แค่ข่าวโคมลอยแน่ ท่านเอาคืนไปเถอะค่ะพะพิมรับไว้ไม่ได้จริงๆ ค่ะ” พิมพิมรายื่นกล่องส่งคืนให้ แต่พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ไม่ยอมรับคืนพร้อมกับรีบบอกว่า “รับไว้เถอะครับคุณพะพิม ผมซื้อให้ก็เพราะผมอยากจะให้คุณจริงๆ ผมให้คุณแล้ว คุณจะใส่หรือไม่ใส่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย ส่วนเรื่องที่เขาลือๆ กันอยู่ คุณก็เคยพูดเองนี่ครับว่าอีกไม่นานเขาก็เลิกพูดกันไปเองแล้วคุณจะไปใส่ใจกับเสียงนกเสียงกาทำไมล่ะครับ?”

“แต่ท่านคะ…” พิมพิราปฏิเสธ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็รีบชิงพูดขึ้นซะก่อนว่า “ไม่ต้องมีแต่ครับ ผมให้คุณแล้ว ผมไม่รับคืนหรอกนะครับ คุณพะพิมครับ รับไว้เถอะครับอย่าทำให้ผมเสียน้ำใจเลย”

เมื่อท่านประธานทำหน้าดุๆ พูดแกมบังคับ พิมพิราจึงไม่อาจจะปฏิเสธต่อไปได้ เธอจำใจรับไว้พร้อมกับไหว้ขอบคุณ “ก็ได้ค่ะท่าน พะพิมจะรับไว้ค่ะ ขอบคุณค่ะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มแป้นทันทีที่พิมพิรายอมรับของขวัญจากเขา

ระยะหลังๆ มานี้ พลเอกณรงค์ฤทธิ์มักจะชวนพิมพิราไปไหนมาไหนด้วยเสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งวันหยุด

“คุณพะพิมครับ วันอาทิตย์พรุ่งนี้คุณว่างไหมครับ ผมอยากจะชวนคุณไปดูที่ดินแถวลาดพร้าวด้วยกันหน่อยครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ถามเลขาในตอนเย็นวันเสาร์ก่อนเลิกงาน พิมพิราตอบได้ทันที เพราะเธอยังไม่ได้วางโปรแกรมว่าจะทำอะไรในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดเลย “ว่างค่ะท่าน”

พอได้ยินคำตอบของแม่เลขาหน้าหวาน พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็แอบดีใจ ‘เย้ส!’

แล้วเขาก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เมื่อเห็นเลขาสาวจ้องเอาๆ ด้วยความสงสัยว่า ‘ท่านเป็นอะไรหว่า? ทำไมทำท่าแปลกๆ แบบนั้นล่ะ?’

“อะแฮ่มๆ…งั้นพรุ่งนี้แปดโมงเช้าผมจะไปรับคุณที่บ้านนะครับ”

“ค่ะท่าน” พิมพิราตอบรับ ยังไม่ทันจะขอตัว ท่านประธานก็เรียกอีก “เอ่อ คุณพะพิมครับ”

“คะท่าน” พิมพิราขานรับพร้อมกับรอฟังว่าท่านประธานจะใช้อะไรเธออีก

“คือว่าเย็นนี้ เขาเชิญผมไปดูการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ตอนหมุมานเผากรุงลงกาที่…….น่ะครับ ผมก็เลยอยากจะชวนคุณไปดูด้วยกันน่ะครับ ไปเป็นเพื่อนผมหน่อยนะครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ชวนด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจแอบลุ้นแทบตาย…กลัวถูกปฏิเสธแทบแย่!

“ค่ะท่าน” พิมพิรารีบตอบตกลงทันที เพราะเธอชอบดูการแสดงนาฏศิลป์เป็นชีวิตจิตใจเลยล่ะ เธอยิ้มดีใจ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มหน้าบาน เพราะไม่เสียเที่ยวที่เขาอุตส่าห์ไปแอบถามกับสมศรี จนได้รู้ว่าแม่เลขาหน้าหวานมีรสนิยมยังไง? มีไลฟ์สไตล์แบบไหน? ซึ่งสมศรีก็รีบสาธยายให้ฟังแบบไม่มีหมกเม็ด

เขาชำเลืองดูนาฬิกาแล้วก็บอกว่า “ถ้างั้นเดี๋ยวหกโมงเย็นผมไปรับที่บ้านนะครับ นี่ก็ใกล้จะเลิกงานแล้วผมว่าคุณพะพิมรีบกลับไปแต่งตัวเถอะครับ”

“อ้าว…ทำไมต้องกลับไปแต่งตัวใหม่ด้วยล่ะคะท่าน ใส่ชุดนี้ไปดูไม่ได้เหรอคะ?” พิมพิราย้อนถามอย่างงุนงง เธอก้มมองตัวเอง เพราะชุดเสื้อสูทกับกระโปรงที่เธอสวมอยู่ก็ดูเรียบร้อยดีนี่นา

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ส่ายหน้าแล้วรีบบอกว่า “คือว่าเป็นรอบปฐมทัศน์น่ะครับ”

พิมพิราก็ยังทำหน้างงๆ ไม่เข้าใจอยู่ดี พลเอกณรงค์ฤทธิ์จึงต้องอธิบายเพิ่มว่า “คือรอบปฐมทัศน์เขาจะเชิญแต่คนดังๆ อย่างพวกดารา เซเลบ นักธุรกิจใหญ่ๆ กับนักข่าวไปกันน่ะครับ ผู้ชายก็จะใส่ทักซิโด้ ส่วนผู้หญิงก็จะแต่งชุดราตรีไปดูกันน่ะครับ ไม่มีผู้หญิงคนไหนแต่งสูทไปดูหรอกครับ”

“อ๋อ เข้าใจแล้วล่ะค่ะ” พิมพิราพยักหน้าถึงบางอ้อทันที ‘มีแต่พวกไฮโซไฮซ้อว่างั้นเถอะ’

“ถ้างั้นพะพิมขอตัวก่อนนะคะ” เธอบอก พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบพยักหน้าอนุญาต “เชิญครับ อ้อ คุณพะพิมครับแต่งให้สวยที่สุดเลยนะครับ เพราะเดี๋ยวต้องไปเจอนักข่าวถ่ายรูปเอาไปลงหน้าสังคมด้วยนะครับ”

“ค่ะท่าน” พิมพิรารับคำ แล้วก็เดินออกจากห้องไปเก็บโต๊ะทำงาน แล้วก็รีบกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัว

เมื่ออาบน้ำเสร็จ พิมพิราก็พันผ้าขนหนูไว้ แล้วออกมานั่งแต่งหน้าเกล้ามวยผมให้เข้ากับชุดที่เธอจะใส่ พอแต่งหน้าทำผมเสร็จ เธอก็เปิดตู้เสื้อผ้าหาชุดเดรสที่เธอเคยใส่ตอนงานเลี้ยงปัจฉิมนิเทศน์

“เอ…อยู่ไหนนะ?” เธอหาจนหมดทั้งตู้ แต่ก็ไม่พบชุดเดรสราตรียาวที่เธอต้องการเลย “อยู่ไหนล่ะเนี่ย? ก็จำได้ว่าใส่ไว้ในตู้นี่แหละ แล้วมันไปไหนกันนะ?”

พลัน! เธอก็นึกขึ้นได้ว่า “อุ้ยตาย! ลืมไปเลยว่าตอนย้ายห้อง เราเอาใส่กล่องให้แม่เอาไปไว้ที่บ้านแล้วนี่นา แย่ล่ะซิมีชุดนั้นชุดเดียวซะด้วยซิ ทำไงดีล่ะยัยพะพิมเอ้ย? แล้วจะเอาชุดที่ไหนใส่ไปล่ะเนี่ย? งานนี้มีแต่ไฮโซไฮซ้อแถมท่านยังย้ำแล้วว่ามีนักข่าวด้วย ขืนแต่งตัวสะเหร่อๆไปล่ะก็…คงได้ทำให้ท่านขายหน้าแย่แน่ๆ เลย พี่โรสก็เคยบอกแล้วว่าถ้าต้องตามท่านไปออกงานด้วยล่ะก็ ต้องแต่งตัวเริ่ดๆ เข้าไว้ห้ามทำให้ท่านขายหน้าเด็ดขาด แล้วนี่เราจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย?”

เธอมองไปมองมา แล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับกระเป๋าเสื้อผ้าของน้องสาวซึ่งวางแอบอยู่ด้านล่างของตู้เสื้อผ้า “อุ้ย! นี่มันกระเป๋าของละลินนี่ ลืมไปเลยว่าละลินทิ้งเอาไว้เผื่อตอนกลับมากรุงเทพนี่นา ไหนดูซิ…เผื่อจะมีชุดไหนพอจะยืมใส่ไปงานได้มั่งน้า”

เธอรีบยกกระเป๋าเสื้อผ้าของน้องสาวมาเปิดดูทันที มือเรียวหยิบเสื้อผ้าที่พับซ้อนๆ กันเอาไว้ออกมาดู  พอเกือบจะถึงก้นกระเป๋าเธอก็ดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น “เย้! เจอแล้ว โชคดีจริงๆ ที่ละลินทิ้งชุดราตรีไว้ด้วย”

พิมพิรารีบหยิบชุดเดรสที่พับใส่ถุงพลาสติกใสไว้ 3 ชุดมาคลี่ดูทันที เธอเอามาทาบกับตัวแล้วส่องกระจกดู

“อึ่ย! ตัวนี้สั้นจัง ไม่เอาหรอก” เธอติทันที แล้วก็หยิบชุดใหม่ขึ้นมาดู

“ไอ้หย่า! ตัวนี้ก็ผ่าซะสูงเชียว” เธอรีบวางชุดลง แล้วก็หยิบชุดต่อไปขึ้นมาทาบ

“ว้า ตัวนี้ก็โป๊จัง ข้างหลังเปิดหมดเลย”

พอเหลือบไปดูนาฬิกา เธอก็รีบๆ เลือกเพราะเกือบจะหกโมงแล้ว “เอาตัวนี้แหละ ขืนชักช้าเดี๋ยวจะไม่ทัน”

จากนั้นพิมพิราก็กวาดเสื้อผ้าตัวอื่นๆ ยัดลงกระเป๋าแล้วเก็บเข้าตู้เอาไว้อย่างลวกๆ เธอรีบตะกุยตะกายหาชุดชั้นในมานุ่ง แล้วรีบสวมชุดเดรสของน้องสาวโดยเร็ว ถึงแม้ว่าชุดจะเล็กไปนิดนึงสำหรับตัวเธอที่อวบกว่าน้องสาวนิดหน่อย แต่พอจะใส่ได้อยู่

เมื่อแต่งตัวเสร็จก็รีบเติมหน้าอีกนิดให้เข้ากับชุด แล้วเธอก็รีบสวมรองเท้าคว้ากระเป๋าถือใบน้อยออกจากห้องลงไปข้างล่างทันที พลเอกณรงค์ฤทธิ์มาถึงก่อนเวลานัดห้านาที เมื่อรถจอดปั๊บ พิมพิราก็เดินออกจากอาคารมาพอดี พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองเธออย่างตกตะลึง ‘แม่เจ้าโว้ย!’

ก็ทุกวันๆ เห็นแต่คุณเลขาหน้าหวานใส่แต่ชุดสูทกระโปรงยาวเหนือเข่านิดเดียวซะจนชินตา เทียบกับขณะนี้มันช่างแตกต่างกันลิบลับเลยล่ะ ชุดเดรสเกาะอกสีแดงสดชายกระโปรงรัดรูปยาวถึงข้อเท้าแต่ผ่าสูงโชว์เรียวขาขาวๆ จนใครต่อใครต้องหันไปมองตามจนต้องเหลียวหลังเลยเชียว

ใบหน้าสวยหวานแต่งแต้มเครื่องสำอางไว้อย่างบรรจงแบบมืออาชีพ เพราะพิมพิรานั้นเคยช่วยพิมไพลินผู้เป็นน้องสาวแต่งหน้าอยู่บ่อยๆ จนฝีมือเข้าขั้นไม่แพ้มืออาชีพเลยล่ะ

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ได้แต่นั่งตะลึงมองอยู่ในรถ จนพิมพิราเดินไปถึงตัวรถ ส่วนนพก็อึ้งไปเลย จะไม่ให้อึ้งได้ไงล่ะ ก็สวยขนาดส่งเข้าประกวดนางงามได้เลยอ่ะ อกเป็นอก เอวเป็นเอว ก้นงอนเด้งซะจนได้สัดส่วนนางงามแท้ๆ กะดูคร่าวๆ น่าจะซักราวๆ ‘37…25…38 สูงร้อยกว่าๆ ชอบมะ…ชอบม่า…’ เพลงฮิตของเจ๊ฮาย อาภาพรแว๊บขึ้นมาในหัวสมองของเขาซึ่งยังนั่งตะลึงมองตาค้าง

พิมพิราเปิดประตูเข้ามานั่งในรถแล้วเธอก็ถามทันทีว่า “ท่านมารอนานรึยังคะ? ขอโทษนะคะที่พะพิมแต่งตัวช้าไปหน่อยน่ะค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์สะดุ้ง! “อ่ะ! ไม่…ไม่นานครับ ผมก็เพิ่งจะมาถึงนี่แหละครับ”

เขาตอบแล้วก็หันไปสะกิดคนขับรถ ที่เอาแต่มองเลขาคนสวยจนแมลงวันแทบจะบินเข้าปากได้

“นพ นพ ไอ้คุณนพ! ไปได้แล้ว” เขาเรียกคนขับรถเสียงเข้มพร้อมกับตบไหล่คนที่มัวแต่ตะลึงตาค้าง ผั๊วะ!

นพสะดุ้ง “คะ…ครับ ครับท่าน”

จากนั้นเขาก็รีบหันไปปลดเบรกมือใส่เกียร์ขับรถออกไปทันที

พอไปถึงสถานที่จัดงาน คุณหญิงสายสมรผู้จัดงานก็รีบเข้าไปทักทาย “สวัสดีค่ะท่าน ขอบพระคุณนะคะที่อุตส่าห์มาเป็นเกียรติในวันนี้ค่ะ”

“สวัสดีครับคุณหญิง ก็คุณหญิงให้เกียรติเชิญทั้งทีผมจะไม่มาได้ยังไงล่ะครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ทักทายตอบ แล้วหันไปแนะนำตัวคุณหญิงสายสมรกับเลขา “คุณพะพิมครับนี่คุณหญิงสายสมรผู้จัดงานนี้ครับ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version