Skip to content

คู่แฝดแสบสุดขั้ว 7

Cover Kf

Chapter 7

ท่านประธานนั่งวินมอเตอร์ไซด์

“ดีมาก งั้นเราเข้าไปด้วย เอ็งจะได้คอยกันท่า” พลเอกณรงค์ฤทธิ์สั่งลูกน้อง แล้วเปิดประตูลงจากรถ ก้าวอาดๆ เข้าไปในบ้านของอดีตน้องเมียพร้อมกับคนขับรถ

“ต๊ายคุณพี่!” จิตตรีพอรู้จากคนรับใช้ว่าอดีตพี่เขยมาหา เธอก็รีบออกไปต้อนรับหน้าบานเป็นกระด้งเลยเชียวล่ะ “สวัสดีค่ะคุณพี่ แหมน้องล่ะดีใจจริงๆ ค่ะที่คุณพี่อุตส่าห์มาเยี่ยมถึงบ้าน เชิญข้างในก่อนค่ะคุณพี่”

จิตตรีจะเข้าไปเกาะแขน แต่พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบเบี่ยงตัวหลบ พร้อมกับจ้องหน้าอดีตน้องเมียด้วยสายตาดุดันถมึงทึง “ฮึ่ม!”

จิตตรีรู้สึกหนาวยะเยือกในอก เธอรีบยิ้มหวานสู้ทันที “คุณพี่มาหาน้องถึงบ้าน คุณพี่มีอะไรให้น้องรับใช้หรือคะคุณพี่?”

แล้วเธอก็มองคนขับรถด้วยสีหน้าไม่พอใจ ‘หนอย! จะตามประกบไปถึงไหนยะ’

เธอรีบปรับสีหน้าแล้วพูดกับอดีตพี่เขยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “คุณพี่มาเหนื่อยๆ เชิญข้างในก่อนนะคะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองเฉย ไม่คิดจะเข้าบ้านตามคำเชิญ เขาข่มอารมณ์แล้วพูดกับจิตตรีว่า “คุณจิตตรี ที่ผมมาวันนี้เพราะผมรู้ว่าคุณเป็นคนจ้างไอ้สมชายให้ไปปล่อยข่าวลือว่าผมมีอะไรกับคุณพิมพิรา”

“อะไรนะคะคุณพี่!” จิตตรีตกใจหน้าซีดเผือด ‘แย่ล่ะซิ! คุณพี่รู้ได้ยังไงวะ อีตุ๊ดนั่นมันเสือกปากโป้งแน่ๆ เลย หนอยอีสมชาย! มึงคงแค้นที่กูไม่จ่ายอีกหมื่นนึงให้มึงแน่ๆ มึงเลยปากโป้งบอกคุณพี่ซะเลย หนอยอีกระเทยควาย! เจอตัวเมื่อไหร่กูจะตบให้เลือดกลบปากเลยมึง!’

เธอรีบปฏิเสธแสร้งทำหน้าตาไม่รู้เรื่อง “คุณพี่เอาอะไรมาพูดคะ จิตตรีไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์จ้องจิตตรีด้วยสายตาดุดัน “คุณจะบอกว่าไม่รู้เรื่องก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีครั้งหน้าล่ะก็…ผมเอาเรื่องแน่ คุณจำไว้ให้ดีก็แล้วกันครับคุณจิตตรี ถ้าขืนคุณยังยุ่งวุ่นวายกับผมอีก ต่อไปผมไม่ไว้หน้าคุณแน่!”

แล้วเขาก็หันหลังเดินกลับ จิตตรีรีบเข้าไปเกาะแขนบีบน้ำตา “คุณพี่คะ ข่าวลืออะไร น้องไม่รู้เรื่องเลยนะคะ จู่ๆ คุณพี่ก็มาต่อว่าน้องอย่างนี้ทั้งๆ ที่น้องไม่ได้ทำได้ยังไงคะ คุณพี่ปรับปรำน้องอยู่นะคะ น้องอยู่ของน้องดีๆ คุณพี่มาถึงก็มาว่าน้องฉอดๆ อย่างนี้น้องไม่ยอมนะคะคุณพี่”

“อย่ามายุ่งกับผม แล้วก็เลิกตามผมซักที ถ้าคุณยังมียางอายอยู่บ้าง อย่าให้ผมต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้เลยคุณจิตตรี” พลเอกณรงค์ฤทธิ์แกะมือจิตตรีออกอย่างรังเกียจ แล้วก็เดินออกจากบ้านอดีตน้องเมียทันที

“กรี๊ดดดด…” จิตตรีกรี๊ดลั่นบ้าน  เดือนรีบหลบไปทันที เมื่อเห็นเจ้านายอาละวาดขว้างปาข้าวของกระจุยกระจาย กระถางต้นไม้ใบเล็กใบน้อยที่อยู่ใกล้มือถูกหยิบขึ้นมาขว้างปาระบายอารมณ์จนแตกกระจาย เพล้ง!…เพล้ง!…เพล้ง!…เพล้ง!…เพล้ง!…

เดือนมองแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า “เฮ้อ…กูเหนื่อยอีกแล้วซิ ต้องมาคอยตามเก็บตามกวาดกันอีกแล้ว”

หลังจากที่สมชายขอเรียกประชุมเฉพาะกิจแก้ข่าวให้พิมพิราแล้ว พร้อมกับยืดอกรับว่า ‘ทำไปเพราะถูกจ้างวาน’

ทำให้คนในบริษัทเลิกซุบซิบนินทาเลิกมองพิมพิราด้วยสายตารังเกียจ แต่ก็ยังมีบางคนที่ยังแอบนินทาพิมพิราอยู่เช่นพวกของเกศเกล้า เพราะเกศเกล้าชอบชัยชนะจึงทำให้เธอเกลียดขี้หน้าพิมพิรา เมื่อข่าวลือเงียบหายไปบรรยากาศในการทำงานก็กลับเป็นปกติดังเดิม

หลังจากนั้นสมชายก็ถูกเพื่อนร่วมงานแอนตี้ แต่ก็ยังมีเพื่อนบางคนที่ยอมให้อภัยดังเช่นแก้ว สมชายดีใจจนร้องไห้โฮอย่างไม่อายสายตาใครจนแก้วต้องรีบลากตัวให้ไปร้องไห้ต่อในห้องน้ำชาย

ยิ่งนานวัน พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ยิ่งเห็นว่าพิมพิรามีนิสัยคล้ายๆ คุณหญิงจิตตรา แต่ที่แตกต่างกันก็คือพิมพิรากล้าที่จะพูด กล้าที่จะต่อว่า ดังเช่นในขณะนี้ “ท่านคะ ในเมื่อท่านกลัวว่าจะไปไม่ทันแล้วทำไมท่านไม่รีบออกจากออฟฟิตล่ะคะ? พอตอนนี้จะมาเร่งให้น้านพซิ่ง คงต้องเหาะไปแล้วล่ะค่ะ”

เธอว่าให้ เมื่อท่านประธานเอาแต่เร่งให้น้านพขับรถเร็วๆ เพื่อไปให้ทันนัด พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันขวับ! ไปมองอย่างไม่พอใจ แต่พอสบตากับดวงตาคู่สวย ปากที่กำลังขยับจะพูดก็หุบลงทันที เพราะแม่เลขาตัวดีหันไปสั่งกับคนขับรถว่า “น้านพเดี๋ยวจอดตรงวินมอไซต์ข้างหน้าเลยนะคะ เพราะเดี๋ยวพะพิมกับท่านจะนั่งมอไซด์รับจ้างไปค่ะ”

เธอสั่งฉับ! พร้อมกับยัดแฟ้มใส่กระเป๋าสะพายใบใหญ่อย่างเตรียมพร้อม พลเอกณรงค์ฤทธิ์ได้แต่อ้าปากหวอ “อะไรนะ! นี่จะให้ผมนั่งรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างไปเหรอ…”

‘เอ่อ…คุณเธอคิดได้ไงเนี่ย!’ เขาอึ้ง! ตะลึงงันไป คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ นพรีบเปิดไฟเลี้ยวแล้วเบนรถชิดริมทางเท้า ซึ่งมีรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างจอดอยู่สามสี่คัน พิมพิราก็รีบลงจากรถพร้อมกับหันมาเร่งท่านประธานเหย็งๆ หน้าเฉย “ท่านคะ รีบๆ ลงมาซิคะเดี๋ยวก็ไปไม่ทันกันพอดี”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ทำหน้างงๆ ‘ตกลงใครเป็นเจ้านายกันแน่ฟร่ะ!’

“นี่คุณพะพิม คุณจะให้ผมนั่งมอเตอร์ไซต์รับจ้างจริงๆ เหรอครับ?” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าแม่เลขาหน้าหวานจะกล้าให้เขาใช้บริการมอเตอร์ไซต์รับจ้างจริงๆ ดังที่เธอพูด

“ก็จริงซิคะท่าน รถติดขนาดนี้ ถ้าท่านอยากจะไปให้ทันก็มีแต่มอไซด์เท่านั้นแหละค่ะที่ทำได้ รีบๆ ลงมาเถอะค่ะ” พิมพิราบอกหน้าเฉยแถมยังเร่งอีกต่างหาก แต่พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ยังนั่งเฉย จนพิมพิราบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ท่านคะถ้าไปไม่ทันก็อย่ามาโทษคนอื่นล่ะกันค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองนาฬิกาข้อมือตัวเอง ‘เฮ้อ…ระยะทางกับเวลามันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน…’

ทำให้เขาตัดสินใจทำตามที่เลขาบอก เพราะกลัวว่าจะไปไม่ทันเวลานัดจริงๆ เขาก้าวลงจากรถเบนซ์ด้วยสีหน้าปลงๆ แล้วพิมพิราก็จัดการเจ้ากี้เจ้าการให้เขาขึ้นคล่อมมอเตอร์ไซต์รับจ้างพร้อมกับเอาหมวกกันน็อคมาสวมให้

“พี่คะพาไปส่งที่โรงแรม……นะคะ ซิ่งเลยนะพี่” เธอสั่งพร้อมกับยิ้มหวานให้หนุ่มมอเตอร์ไซต์รับจ้าง

“ครับ” วินมอเตอร์ไซต์พยักหน้าให้แล้วก็รีบออกรถพาลูกค้าไปส่งตามคำสั่งทันที

“เหวอ!” พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบเกาะรถมอเตอร์ไซต์อย่างเหนียวแน่นเพราะกลัวตก แถมวินมอเตอร์ไซต์ก็ซิ่งได้สะใจขาโจ๋ จนเขาแอบภาวนาอยู่ในใจ ‘อย่าไปชนรถชนใครที่ไหนนะเฟ้ย! ตูยังไม่อยากลงไปวัดพื้นถนนเล่น’

เมื่อถึงโรงแรม เขาก็ควักตังค์จ่ายค่าโดยสารบวกทิปให้ไปอีกร้อยบาท วินมอเตอร์ไซต์รีบบอกพร้อมกับยื่นแบงค์ร้อยคืนให้ “พี่ให้ตังค์ผมมาเกินครับ”

“เอาไปเถอะพี่ให้ทิป” พลเอกณรงค์ฤทธิ์บอก วินมอเตอร์ไซต์รีบขอบคุณอย่างดีใจ “ขอบคุณครับพี่ โอกาสหน้ามาใช้บริการอีกนะครับ”

แล้ววินมอเตอร์ไซต์ก็ขี่รถจากไป พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองตามหลังไปอย่างสยอง ‘ไม่มีครั้งต่อไปหรอกไอ้น้อง แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวพี่ก็เข็ดจนตายแล้วเฟ้ย!ง

เมื่อพิมพิราตามไปถึง พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เดินไปจ่ายค่าโดยสารให้ เมื่อวินมอเตอร์ไซต์ไปแล้วเขาก็มองเธอด้วยสายตาดุๆ

แต่ก่อนที่พลเอกณรงค์ฤทธิ์จะทันได้ต่อว่าแม่เลขาหน้าหวาน พิมพิราก็รีบชิงพูดขึ้นซะก่อนว่า “ท่านคะ เหลืออีกสิบนาทีค่ะท่าน รีบไปกันเถอะค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก้มมองนาฬิกาแล้วรีบเดินเข้าไปข้างในทันที ‘ฮึ่ม! ฝากไว้ก่อนเถอะคุณพะพิม หาเรื่องให้ผมหัวใจจะวายตาย!’

นับตั้งแต่พลเอกณรงค์ฤทธิ์ได้มีประสบการณ์นั่งวินมอเตอร์ไซต์เป็นครั้งแรกในชีวิต เขาก็ยังไม่มีโอกาสเฉ่งแม่เลขาตัวแสบเลย เพราะมัวแต่ทำงานที่กระทรวงกว่าจะมีเวลาว่างเข้าบริษัท ก็ผ่านไปเป็นอาทิตย์กว่า ครั้นพอเข้าออฟฟิต ก็เจองานกองท่วมหัวทำให้ท่านประธานอย่างเขาต้องรีบสะสางงานจนลืมไปแล้ว กว่าจะเสร็จงานก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน

“ขอบคุณครับคุณพะพิมที่อยู่ช่วยงานจนดึก” พลเอกณรงค์ฤทธิ์บอกด้วยสีหน้าอ่อนล้านิดๆ ก็อายุปูนนี้แล้ว ยังต้องมานั่งทำงานหลังขดหลังแข็งตั้งแต่เช้ายันมืด ถ้าไม่เหน็ดไม่เหนื่อยกะเขาเลยก็ต้องเรียกว่าซุปเปอร์แมนแล้วล่ะ

พิมพิรายิ้มรับด้วยสีหน้าอ่อนล้าเช่นกัน ก็ในเมื่อเจ้านายเธอสู้งานขนาดนี้ เธอจะมัวขี้เกียจอยู่ได้ยังไงไม่งั้นเสียชื่อเกียรตินิยมอันดับหนึ่งน่ะซิ

“ไม่เป็นไรค่ะท่าน เพราะยังไงพะพิมก็ได้โอทีอยู่แล้วล่ะค่ะ นี่ขนาดคิดคร่าวๆ แล้วนะคะ พะพิมว่าเดือนนี้พะพิมได้โอทีมากกว่าเงินเดือนแน่ๆ คะท่าน ส่วนเดือนที่แล้วก็ได้น้อยกว่าเงินเดือนแค่สองร้อยเองค่ะ นี่ถ้าได้โอทีแบบนี้ทุกเดือนๆ ล่ะก็…พะพิมคงมีเงินเหลือเยอะแยะเลยล่ะค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์เลยมองใบหน้าหวานๆ เขม็ง ‘เอ…พูดแบบนี้หาว่าเราใช้งานหนักทางอ้อมรึเปล่าหว่า…’

เสียงหวานๆ ยังคงพูดต่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “แล้วถ้าเหลือเยอะๆ นะคะพะพิมจะได้มีโอกาสพาพ่อกับแม่ไปเยี่ยมน้องที่อังกฤษปลายปีนี้ตอนช่วงปีใหม่ซักทีค่ะ”

เขามองใบหน้ายิ้มแป้นของเลขาซึ่งดูจะชอบซะอีกที่ได้โอทีเยอะๆ เขาจึงปัดความคิดเมื่อกี้ออกไปจากหัวสมองทันที

“นี่ก็ดึกแล้วผมว่าเรากลับกันซักที พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อ ป่านนี้นพคงนั่งสัปหงกแย่แล้วล่ะ”

“ค่ะท่าน” พิมพิรารีบเรียงแฟ้มเก็บให้เรียบร้อย เมื่อเสร็จแล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ช่วยเลขาปิดไฟในห้องจนถึงดวงสุดท้ายข้างประตู ครั้นออกไปหน้าห้อง ทั้งคู่ก็เห็นคนขับรถนอนฟุบอยู่ที่โต๊ะเลขา น้ำลายไหลยืดเป็นทาง พิมพิราเดินไปปลุก “น้านพคะ น้านพตื่นเถอะค่ะท่านจะกลับบ้านแล้ว”

นายนพงัวเงียตื่น เงยหน้าขึ้นมาน้ำลายไหลย้อยจนพลเอกณรงค์ฤทธิ์ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะเดินเข้าไปตบบ่า “นพไปล้างหน้าล้างตาไป๊ นอนน้ำลายไหลหมดหล่อแล้ว”

“คร้าบท่าน”นพยานคางรับคำสั่งอย่างงัวเงียแล้วก็ลุกเดินเซๆ ไปล้างหน้าในห้องน้ำ พิมพิราจึงใช้เวลาช่วงที่คนขับรถไปเข้าห้องน้ำ เก็บโต๊ะทำงานของตัวเองให้เรียบร้อย เมื่อน้านพออกมา เธอก็พร้อมจะกลับบ้านแล้ว

“ดึกขนาดนี้เดี๋ยวให้นพไปส่งนะครับคุณพะพิม” พลเอกณรงค์ฤทธิ์บอกอย่างเอื้ออารี พิมพิรารีบไหว้ขอบคุณ “ขอบคุณค่ะท่าน”

แล้วทั้งสามคนก็ออกจากออฟฟิต

หลังจากนั้นไม่นานรถเบนซ์คันงามก็มาจอดหน้าอพาร์ทเม้นต์ที่พักของเลขาสาว พิมพิราสะพายกระเป๋าลงจากรถแล้วหันไปไหว้ท่านประธาน “ขอบคุณค่ะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้ายิ้มให้ แล้วพิมพิมราก็มองเลยไปทางคนขับรถ “ขอบคุณค่ะน้านพ”

เมื่อร่ำลาเสร็จแล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็หันไปพยักหน้าให้คนขับรถ นพจึงขับรถออกไปโดยที่เลขายังยืนส่งเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ก่อนที่รถจะพ้นประตูรั้ว พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็หันไปเห็นโทรศัพท์มือถือของเลขาหล่นอยู่ที่เบาะหลังเขาจึงบอกกับนพว่า “นพจอดรถก่อน คุณพะพิมทำโทรศัพท์ตกไว้แน่ะ”

“ครับท่าน” นายนพหยุดรถทันที แต่เพราะมีรถเก๋งตามหลังมา คนขับรถเก๋งจึงบีบแตรไล่ ปี๊นๆ

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ตัดสินใจคว้าโทรศัพท์มือถือของเลขามาพร้อมกับสั่งคนขับรถว่า “งั้นฉันเอามือถือไปให้คุณพะพิมเอง แล้วเดี๋ยวนพขับรถเลยไปก่อนนะ”

แล้วเขาก็เปิดประตูรถลงมาพร้อมกับเอ่ยขอโทษรถคันหลัง “ขอโทษครับ”

นพรีบขับรถออกไปเปิดทางให้รถเก๋ง พอรถเก๋งไปแล้วเขาก็ถอยรถเลี้ยวกลับเข้าไปอีกครั้ง พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบเดินจ้ำอ้าวไปหาพิมพิราซึ่งกำลังจะเดินเข้าไปในอพาร์ทเม้นต์พร้อมกับร้องเรียก “คุณพะพิมครับ คุณทำมือถือตกครับ”

พิมพิราได้ยินเสียงเจ้านายเรียกหล่อนรีบหันกลับไปทันที “คะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินไปถึงตัวพิมพิรา เขาก็รีบยื่นโทรศัพท์ให้เธอ “คุณทำมือถือตกไว้ในรถครับ”

“อุ้ยตายจริง” พิมพิรายื่นมือไปรับโทรศัพท์คืนพร้อมกับรีบยกมือไหว้ขอบคุณ “ขอบคุณมากค่ะท่าน”

“ไม่เป็นไรครับ งั้นผมไปล่ะครับ” เขาบอกพร้อมกับยิ้มให้ พิมพิรายิ้มแล้วหย่อนโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋า พลเอกณรงค์ฤทธิ์หมุนตัวกลับ เดินตรงไปที่รถของเขา แต่ยังไม่ทันจะถึงรถ ก็มีเด็กผู้ชายอายุราวเจ็บขวบวิ่งผ่านหน้าเขาไป

“แน่จริงก็ปาให้ถูกซิวะ” เด็กชายคนนั้นตะโกนบอกเด็กผู้ชายอีกคนอายุราวห้าขวบที่วิ่งตามมา เด็กชายที่วิ่งตามหลังรีบปาถุงน้ำใส่เด็กชายคนแรก โพล๊ะ!

“เฮ้ย!” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ตกใจ เมื่อถุงน้ำที่เด็กชายปาเล่นกัน ดันพลาดมาถูกเขาเต็มๆ

“ว๊าย!” พิมพิราก็ตกใจเช่นกัน เพราะเธอยังยืนรอส่งท่านประธานอยู่ เธอรีบเดินเข้าไปหาเขาทันที แต่เมื่อเข้าไปใกล้เขา เธอรีบอุดปากอุดจมูกตัวเองแน่นเพราะได้กลิ่นเหม็นฉึ่ง “ตายแล้วท่าน! ทำไมมันเหม็นแบบนี้ล่ะคะ?”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ตัวเปียกเหม็นฉึ่งไปหมด เขาหันขวับไปมองเด็กชายทั้งสองคนตาขวาง เด็กทั้งสองคนหน้าเจื่อน มองตอบด้วยความหวั่นกลัว “คือ…อึก…อึก…”

นพรีบลงจากรถไปหาเจ้านายหน้าตาตื่น พอเดินไปใกล้ ก็ต้องรีบยกมือปิดปากปิดจมูกตัวเองไปด้วยอีกคน ยามรักษาการณ์รีบวิ่งเข้ามาขอโทษหน้าซีดเป็นไก่ต้ม “ตายห่า! ขอโทษครับคุณ ต้องขอโทษด้วยครับที่ลูกของผมมันซนไปหน่อย”

‘ซนไปหน่อยเรอะ! อย่างนี้มันไม่เรียกว่าซนไปหน่อยแล้วล่ะ นี่มันต้องเรียกว่าซนนรกแตกต่างหากล่ะเฟ้ย!พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยืนเอามือปิดจมูกตัวเองจ้องหน้ายามเขม็ง ยามรีบวิ่งไปลากลูกชายมาขอโทษทันที “ไอ้เอก ไอ้อ๋อง รีบขอโทษคุณลุงเขาซะเลยนะเอ็ง เสือกเล่นพิเรนทร์บ้าอะไรกันห๊าไอ้ลูกเวร! ดูซิทำคุณลุงเขาเปียกไปหมดแล้ว”

ไอ้เปียกน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่เหม็นนี่ซิ! มันโคตรเหม็นสุดๆ ไปเลย

เด็กชายทั้งสองรีบยกมือไหว้พร้อมกับขอโทษทันทีเพราะกลัวพ่อจะตี “ขอโทษครับคุณลุง”

ทั้งสองคนพูดพร้อมๆ กันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้จนพลเอกณรงค์ฤทธิ์นึกสงสาร

“เอาเถอะๆ ช่างมันเถอะ ทีหลังอย่าเล่นอย่างนี้อีกนะไอ้หนู” พลเอกณรงค์ฤทธิ์บอกเด็กชายทั้งสองคนแล้วก็หันไปพูดกับยามผู้เป็นพ่อเด็กว่า “ช่างมันเถอะ ผมถือว่าฟาดเคราะห์ไปล่ะกัน”

“ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆครับที่ไม่เอาเรื่อง” ยามรีบขอบคุณไหว้ปะหลกๆ “เอ็งสองคนมานี่เลยนะ ไปหาแม่เอ็งเลยไป๊ ดึกป่านนี้ยังเสือกมาวิ่งเล่นกันอยู่ได้ ทีหลังพ่อไม่ตามใจพวกเอ็งแล้ว ไปเข้านอนเลยนะ หนอย! เห็นว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุดไม่ต้องไปโรงเรียนเลยปล่อยให้นอนดึกหน่อยเดียวเสือกก่อเรื่องให้พ่ออีกแล้วไอ้ตัวซน!”

แล้วเขาก็ลากแขนเจ้าตัวต้นเหตุทั้งสองคนไปส่งให้ภรรยาที่ห้องพัก “แม่ไอ้หนูจัดการกับไอ้เอกไอ้อ๋องที มันเสือกเล่นพิเรนทร์เอาฉี่ไปปาใส่กันจนไปโดนคุณเขานั่นน่ะ”

แม่ของเด็กทั้งสองรีบเปิดประตูห้องออกมาทันที พอได้ยินสามีบอกเช่นนั้นเธอก็ลากตัวลูกชายทั้งสองเข้าห้องไปตีทำโทษซะคนละหลายๆ ที เด็กทั้งสองร้องไห้ “แง๊—”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันมาก้มมองตัวเองหน้าหงิกเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี ‘จะกลับบ้านไปทั้งๆ อย่างนี้ล่ะก็…คงได้พากันกลั้นใจตายก่อนจะถึงบ้านแหงๆ’

พิมพิราดูสีหน้าท่านประธานก็พอจะรู้ว่าท่านคิดอะไรอยู่ เธอจึงรีบบอกว่า “พะพิมว่าเชิญท่านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องพะพิมก่อนเถอะค่ะ ขืนกลับไปทั้งๆ อย่างนี้นะคะ พะพิมว่าท่านกับน้านพคงต้องนั่งอุดจมูกไม่ต้องหายใจกันแล้วล่ะค่ะ”

“ขอบคุณครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ถอนหายใจโล่งอก ‘เฮ้อ…รอดตายแล้วเฟ้ย!’

นพยิ้มดีใจ ‘เย้!…ไม่ต้องทนเหม็นแล้ว…เย้ๆๆๆ’

แล้วพิมพิราก็หันไปบอกกับนพว่า “น้านพช่วยไปหยิบเสื้อผ้าท่านในรถให้หน่อยค่ะ”

“ครับคุณพะพิม” นพรีบวิ่งไปเปิดท้ายรถหยิบกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ ที่นิ่มนวลจัดเสื้อผ้าลำลองและชุดกีฬาใส่เอาไว้เผื่อเวลาเจ้านายไปฟิตเนสมาส่งให้กับคุณเลขา

พิมพิรารับกระเป๋ามาถือไว้แล้วหันไปบอกกับท่านประธานทั้งๆ ที่อุดจมูกว่า “เชิญค่ะท่าน”

จากนั้นเธอก็รีบเดินนำหน้า พาท่านประธานไปที่ห้องตัวเอง ส่วนนพก็เดินกลับไปรอเจ้านายที่รถ

เมื่อถึงหน้าห้อง พิมพิราก็รีบไขกุญแจ เปิดประตูห้องแล้วเอื้อมมือไปเปิดไฟ ครั้นไฟในห้องสว่างเธอก็หันไปเชิญเจ้านาย “ท่านคะ เชิญค่ะ”

เธอเดินนำเข้าไปในห้อง วางกระเป๋าไว้ข้างๆ ชั้นวางรองเท้า แล้วเธอก็ก้มลงถอดรองเท้าวางไว้บนชั้นอย่างเป็นระเบียบ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก้มลงถอดรองเท้าถุงเท้าของตัวเองถอดวางไว้หน้าห้อง พิมพิราเดินไปเปิดไฟห้องน้ำ “เชิญค่ะ”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปในห้อง ตรงเข้าห้องน้ำไปล้างมือแล้วเดินออกมาเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองอย่างรีบด่วน หยิบเสื้อผ้าและอุปกรณ์อาบน้ำเดินลิ่วกลับเข้าห้องน้ำไปทันที พิมพิราเดินไปหยิบถุงพลาสติกหูหิ้วใบใหญ่ซึ่งเป็นถุงใส่ของจากซุปเปอร์มาเก็ตที่พับเอาไว้มายื่นส่งให้เจ้านาย “ท่านคะ เอาไว้ใส่เสื้อผ้าค่ะท่าน”

“ขอบคุณครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองอย่างเข้าใจรับถุงใบนั้นไปแล้วก็ปิดประตูห้องน้ำ เขาอาบน้ำชำระล้างตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า สระผมแล้วสระผมอีก ฟอกสบู่แล้วฟอกสบู่อีกจนหมดกลิ่นฉี่เหม็นๆ

ระหว่างที่รอ พิมพิราก็เอารองเท้าของเจ้านายที่เปื้อนฉี่นิดหน่อย แต่กลิ่นเหม็นสุดๆ ใส่ถุงพลาสติดผูกปากจนแน่นวางไว้ที่เดิม แล้วเธอก็เดินไปเปิดแอร์แล้วก็หันไปเปิดตู้เย็นหยิบนมกล่องออกมานั่งดื่มอยู่ตรงหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งพลเอกณรงค์ฤทธิ์ออกจากห้องน้ำเธอก็ลุกไปรินน้ำเย็นๆ มาให้ “ท่านคะ น้ำค่ะ”

“ขอบคุณครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์เอาผ้าขนหนูพาดบ่าแล้วก็รับแก้วน้ำไปถือไว้ พิมพิรารีบเลื่อนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมไปให้เจ้านายนั่ง แล้วเธอก็ถอยไปลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งแทน พลเอกณรงค์ฤทธิ์นั่งลงแล้วมองสำรวจไปรอบๆ ห้องขนาดเล็กที่เลขาสาวอาศัยอยู่

ภายในห้องพักเล็กๆ มีเตียงนอนวางชิดผนังห้องด้านติดกับประตูหันปลายเตียงไปทางประตูห้อง คลุมผ้าเอาไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย ข้างๆ หัวเตียงก็เป็นโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่เลขาสาวนั่งอยู่ บนโต๊ะคอมฯ มีรูปภาพใส่กรอบวางอยู่ซัก 5 รูปเห็นจะได้ เขาอยากจะเดินไปหยิบดู แต่ยังก่อนเพราะเดี๋ยวเจ้าของห้องจะหาว่าเขาไม่มีมารยาทไปยุ่มย่ามกับของๆ เธอ

ส่วนทางด้านปลายเตียงก็มีชั้นวางรองเท้าวางชิดติดผนังอยู่ข้างประตูห้องพอดี แล้วก็มีทีวีขนาดยี่สิบนิ้ววางอยู่บนชั้นวางทีวี ภายในชั้นเรียงหนังสือและแผ่นซีดีเอาไว้เป็นระเบียบ ถัดจากชั้นวางทีวีก็เป็นตู้เย็นขนาดกลาง ตรงกลางห้องมีโต๊ะพับญี่ปุ่นตั้งอยู่ รอบๆ โต๊ะมีเบาะนั่งสีเขียวสดใสเข้าชุดกับหมอนอิงใบใหญ่ ส่วนตรงหน้าห้องน้ำก็เป็นตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะเครื่องแป้งสีเดียวกันกับเตียงนอน ข้างๆ ห้องน้ำมีประตูอีกบานซึ่งน่าจะเป็นระเบียงห้อง ถัดจากประตูระเบียงก็เป็นหน้าต่างบานใหญ่ปิดไว้ด้วยผ้าม่านสีเขียว ข้างๆ หน้าต่างมีพัดลมตั้งพื้นอยู่ตัวนึง

พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองไปมองมาพร้อมกับดื่มน้ำไปด้วย ‘โห…สะอาดหมดจดเป็นระเบียบเรียบร้อยดีจัง’

จนน้ำหมดแก้วเขาก็ขอตัวกลับ “ขอบคุณครับคุณพะพิม ผมคงต้องกลับแล้วล่ะครับ มารบกวนคุณซะนาน”

“ไม่เป็นไรค่ะท่าน” พิมพิรายิ้มให้ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ลุกไปวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นกลางห้อง แล้วเขาก็เดินไปหยิบถุงใส่เสื้อผ้าในห้องน้ำรวมทั้งอุปกรณ์อาบน้ำและผ้าขนหนู พอเก็บของเสร็จสรรพเขาก็เดินออกไป “ขอบคุณมากนะครับ อ้อ ไม่ต้องลงไปส่งผมหรอกนะครับ ดึกมากแล้วคุณจะได้พักผ่อนซักที”

“ค่ะท่าน” พิมพิราพยักหน้ารับ พลเอกณรงค์ฤทธิ์หิ้วกระเป๋าเปิดประตูห้องเดินออกไป เมื่อพ้นประตูไปเขาก็หันไปบอกว่า “ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ปิดประตูล็อคห้องให้ดีๆ นะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับคุณพะพิม”

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะท่าน” พิมพิรายิ้มให้ แล้วปิดประตูลงกลอนให้เรียบร้อย พลเอกณรงค์ฤทธิ์รอจนได้ยินเสียงลงกลอนประตูแล้ว เขาก็หิ้วถุงรองเท้าหน้าห้องเดินเท้าเปล่าลงไปข้างล่าง พิมพิราเดินไปคว้าผ้าขนหนูที่ตากไว้ที่ระเบียงเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำบ้าง พอออกมาเธอก็สวมชุดนอนเดินไปปิดไฟแล้วนอนหลับอย่างอ่อนล้า

ณ บริษัทฯ พลเอกณรงค์ฤทธิ์เปิดประตูห้องออกมา ไม่เห็นพิมพิราอยู่ที่โต๊ะเขาก็ถามนพว่า “นพ คุณพะพิมล่ะ”

นพรีบเงยหน้าจากหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะหันไปตอบว่า “คุณพะพิมไปฝ่ายบุคคลครับท่าน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version