ตอนที่ ๑๓
ปั่นหัว
โสมกลับไปเปลี่ยนเครื่องแบบของตน ร่ายมนตร์แปลงกาย แล้วซ่อนเอาสิ่งของที่ธรรม์ซื้อหามาให้เอาไว้ในบริเวณที่พบกับชายหนุ่ม หญิงสาวเดินเตร่อยู่แถวนั้น เพื่อปรับสภาวะอารมณ์ของตนให้สามารถทำงานต่อได้ เมื่ออารมณ์มั่นคงในระดับหนึ่งแล้วจึงครุ่นคิดว่าจะไปที่ไหนดีเพราะยังไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับราชันหน้ากากภูตในวันนี้
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอก็ถอดหน้ากากภูตและใช้เสื้อคลุมดำของตนห่อผูกเอาไว้รอบเอว เหลือเพียงเสื้อ และโจงกระเบนสีดำตลอดตัวเท่านั้น ก่อนจะออกเดินทางไปยังเรือนเริงรมย์ทันที
บรรยากาศของเรือนเริงรมย์ยังคงยั่วให้คนเกิดความลุ่มหลงอยู่เช่นเคย
เมื่อโสมเดินเข้าไปทุกสายตาก็หันมาจับจ้องด้วยความสนใจ หญิงสาวรู้ว่าตัวเธอในร่างบุรุษดูมีเสน่ห์ รอยยิ้ม หว่านเสน่ห์จึงถูกแจกจ่ายอย่างทั่วถึงทั้ง บุรุษและสตรีจนต่างพากันเคลิบเคลิ้ม
“คุณท่าน” แม่เล้าเร่งเดินมารับหน้าเมื่อทราบจากเด็กรับใช้ว่ามีบุรุษหนุ่มรูปงามปานเทพบุตรมาเยือนเรือน “เป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับคุณท่านอีกครั้งเจ้าค่ะ เชิญทางนี้นะเจ้าคะ อิฉันจะต้อนรับขับสู้คุณท่านอย่างดีเลย”
“ไม่ต้องไปห้องไหนหรอก ฉันมาหานางสุวิมล” โสมบอกจุดประสงค์อย่างตรงไปตรงมา
แม่เล้ามีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาทันที
แต่หญิงสาวทำเป็นมองไม่เห็น “แต่ถ้าหากนางไม่ยินดีจะพบฉันก็ให้มาบอก ฉันจะไม่บังคับนาง”
แม่เล้ายืนอึกอักอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่งเด็กรับใช้ไปห้องนางสุวิมล
โสมกวาดตามองสถานที่ราวกับไม่สนใจอะไรเป็นพิเศษแต่แท้จริงแล้วกำลังสังเกตทางหนีที่ไล่และมองหาคนที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็รับรู้ว่าแม่เล้าจับจ้องสำรวจเธออยู่ ดังนั้น เธอจึงยอมให้นางทำตามใจชั่วครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาจ้องตานางด้วยแววตาหยอกเย้าพลางหัวเราะเบาๆ อย่างรู้ทันทำให้นางหน้าม้านไปเล็กน้อย ตอนนั้น เองที่เด็กรับใช้ซึ่งถูกส่งเป็นนายหน้าหอกลับมากระซิบอะไรบางอย่างแก่นาง
“เชิญตามอิฉันมาเจ้าค่ะ” แม่เล้ากลบเกลื่อนสีหน้าแล้วเดินนำไปยังห้องพักของนางสุวิมลอย่างเงียบเชียบ
โสมไม่ยอมประมาทแม้แต่นิดเดียวเพราะสายตายังคงกวาดมองพฤติกรรมของแขกทุกคนโดยละเอียด
ความเคลื่อนไหวผิดปกติและแววตาที่จับจ้องมาของกลุ่มชายที่นั่งสำราญอยู่บนลานกลางเรือนทำให้รู้ว่าบางทีสิ่งที่สันนิษฐานเอาไว้อาจเป็นจริง
มีคนของธรรม์คอยสอดแนมและจับตามองนางสุวิมลอยู่ที่นี่!
เมื่อแม่เล้าเดินนำโสมมาจนถึงห้องหนึ่ง ประตูห้องก็เปิดออกทันทีพร้อมนางสุวิมลซึ่งออกมารับหน้า ดวงตาของนางเป็นประกายระยับ พวงแก้มแดงเปล่งปลั่งริมฝีปากมีรอยยิ้ม ที่เห็นได้ชัดว่าพยายามกลบเกลื่อนแต่ไม่สำเร็จ
โสมรีบสวมบทบาทชายเจ้าชู้ทันทีด้วยการหลิ่วตาให้นาง
“สุวิมล ต้อนรับขับสู้คุณท่านให้ดีล่ะ” แม่เล้าแปลกใจกับพฤติกรรมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนของนางคนงามเป็นอย่างมาก ใจนึกหวั่นว่าเรื่องนี้อาจนำภัยร้ายมากรายเรือนก็เป็นได้ แต่กระนั้นก็ตามนางไม่อาจแสดงท่าทีกีดกันนางสุวิมลได้และยิ่งไม่อาจขับไล่ท่านราชองครักษ์โสมไปได้เช่นกัน
“คุณท่านเจ้าคะ เชิญเข้าไปเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวอิฉันจะให้เด็กไปยกสุราอาหารมาและส่งเด็กสาวมาปรนนิบัติคุณท่าน”
“สุราอาหารยกมาก็ได้แต่ฉันต้องการแค่แม่หญิงสุวิมลเท่านั้น” โสมประกาศเมื่อเดินผ่านหน้าแม่เล้าเข้าห้องนางสุวิมลซึ่งเอี้ยวตัวเปิดทางให้ด้วยอาการเกร็งๆ เล็กน้อย
ในดวงใจของนางคนงามพองฟูและตื้นตันนักที่คุณท่านยังคงเรียกนางอย่างให้เกียรติและแสดงออกว่านางมี
ความสำคัญ
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องแล้วโสมก็หับประตูปิดใส่หน้าแม่เล้าที่ทำท่าจะเข้ามาขัดขวางทันที หญิงสาวในคราบชายหนุ่มหันหลังกลับมาหานางคนงามที่บัดนี้ควบคุมอารมณ์และเก็บอาการของตนได้แล้ว พลางเดินเข้าไปนั่งอิงหมอนด้วยความผ่อนคลายราวกับตนมีสิทธิ์เต็มเปี่ยมในห้องอันใหญ่โตห้องนี้
“ท่านราชองครักษ์จะฟังดนตรีหรือไม่เจ้าคะ” น้ำเสียงละมุนเจือความเย็นชาเอ่ยขึ้น แต่ไม่รอคำตอบ นางคลานเข่าไปยกจะเข้มาตั้งแล้วลงมือบรรเลงเพลง
นางสุวิมลบรรเลงเพลงด้วยจิตใจไม่ปกตินักเพราะถึงแม้ดวงตาของนางจะหรุบลงมองปลายนิ้ว แต่ดวงตาในดวงใจนั้น สัมผัสได้ว่านางกำลังถูกจับจ้องด้วยสายตาของบุรุษเจ้าเสน่ห์ผู้นั้น ดวงตาสีไพลินยามสะท้อนแสงเทียนสีทองคงจะงามจับตานัก ยิ่งถ้าดวงตาคู่นั้นฉายแววหวานระริกอยู่แล้วจะยิ่งมีอานุภาพสั่นคลอนหัวใจและร่างกายจนเหมือน
จะจับไข้ และมันช่างน่าท้อแท้ใจนักที่นางรู้ดีว่าตนไม่สามารถต่อต้านอานุภาพเช่นว่านั้นได้เลย
ตั้งแต่ที่นางเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือท่านโสม นางคิดว่าอาจจะไม่รอดชีวิตเพื่อได้เจอท่านอีกเสียแล้ว ผิดคาดที่ท่านผู้นั้นเพียงกำชับอย่างเย็นชาว่าห้ามลามปามกับท่านโสมอีก หาไม่แล้วท่านผู้นั้น จะสังหารนางเสีย แม้นางจะกลัวตายแต่นางไม่อาจห้ามใจได้เพราะนางรู้ตัวว่าหัวใจไม่ได้เป็นของนางอีกต่อไป บางทีมันอาจจะทรยศไปเป็นของท่านโสมตั้งแต่ตอนที่ท่านกอดนางเอาไว้ หรืออาจจะเป็นตอนที่สัมผัสริมฝีปากกัน หรืออาจจะเป็นตั้งแต่วันแรกที่ท่านปรากฏตัวต่อหน้านางแล้วใช้ดวงตาคู่สวยสีแปลกนั่นจ้องมองนางก็เป็นได้
เมื่อทิพยดนตรีสิ้น เสียงสุดท้าย ประตูห้องจึงค่อยเลื่อนเปิด สุราชั้น เลิศหลายไหส่งกลิ่นหอมตลบไปทั้ง ห้องเมื่อเด็กรับใช้เปิดจุกผ้าออก กับแกล้มรสจัดจ้านสี่จานตกแต่งสวยงามชวนลิ้มรส
แม่เล้ารีบมานั่งคุกเข่าเตรียมปรนนิบัติข้างกาย
แต่โสมรู้ทันชิงพูดเสียก่อน “ฉันต้องการความเป็นส่วนตัว” หญิงสาวในคราบชายหนุ่มจงใจ
ใช้น้ำเสียงและแววตาเย็นชาจนคนมองสะท้าน ได้แต่ถอยฉากไปอย่างไม่สู้เต็มใจ เมื่อประตูห้องปิดลงเธอจึงกวักมือเรียกให้นางสุวิมลเข้ามาใกล้
“แม่หญิงจะมีไมตรีรินสุราให้ฉันรึไม่”
นางสุวิมลอดจะค้อนให้กับคนที่ปั้นหน้ายิ้มใสซื่อไม่ได้ ท่านเล่นใช้น้ำเสียง ใช้แววตาและคำพูดเช่นนี้จะให้คนฟังทนใจแข็งเป็นหินศิลาได้หรืออย่างไร นางค่อยๆ รินสุรากลิ่นหอมให้ท่านดื่มอย่างสำราญใจพลางรำพึงว่าแม้จะเป็นเพียงการรินสุราให้ท่านดื่มเงียบๆ กลับทำให้ความสุขงอกงามขึ้น
“แม่หญิงคิดอะไรอยู่” โสมเย้า
นางคนงามยิ่งขัดเขินจนมือไม้สั่นและไม่อาจเก็บงำสีระเรื่อบนพวงแก้มได้
“ช่างชอบรังแกคนนัก!” นางคนงามร้องพ้อ หัวใจเต้นระทึกยิ่งขึ้นเมื่อได้สดับเสียงหัวเราะอันแจ่มใสของท่านโสม
“แม่หญิงคนงามที่แสนเย็นชาคนนั้น หายไปไหนหนอ” โสมพูดลอยๆ ทำให้ท่าทีถือตัวเย็นชากลับมาอีกครั้งราวกับกำลังปกป้องตัวเองจากการถูกทำร้ายจิตใจ หญิงสาวในคราบชายหนุ่มสังเกตเห็นได้จึงลอบยิ้มมุมปาก คิดในใจว่าตนมาถูกทางแล้ว ยิ่งปั่นหัวนางมากเท่าไหร่นางก็จะยิ่งหมดการป้องกันตัวเท่านั้น “ที่นั่งอยู่ตรงหน้าฉันคือแม่หญิงผู้งดงาม
อ่อนหวานยิ่งกว่านางอัปสรสวรรค์เสียอีก”
เกราะกำแพงน้ำแข็งพังทลายลงเมื่อได้รับคำชื่นชมเยินยอ นางสุวิมลขัดเขินจนทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่ยกไหสุรารินให้ไม่หยุด
โสมยังคงวอนขอให้นางคนงามป้อนกับแกล้มและฉวยโอกาสดมดอมผมหอมและกายอุ่นละมุนอย่างเปิดเผย จนใจที่นางสุวิมลจะเอ่ยห้าม
“ฉันยังไม่ได้ขอบใจแม่หญิงเลยที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้” โสมพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ทั้ง ที่ในใจกำลังคิดสลับซับซ้อน “หากไม่ได้ยาที่แม่หญิง ‘ป้อน’ ให้ในคืนนั้น ฉันคงไม่ได้มานั่งสำราญใจกับแม่หญิงอยู่ที่นี่”
“อิฉันย่อมต้องทำโดยไม่ลังเลอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
“ยาตัวนั้น คือยาอะไรหรือ” หญิงสาวในคราบชายหนุ่มอ้าปากรับกับแกล้มด้วยท่าทางเกียจคร้านอย่างพร้อมที่จะทำให้คนตายใจ
“เป็นยาต้านยาสลบเจ้าค่ะ” นางสุวิมลตอบแล้วก็ใจหายวาบเมื่อรู้ตัวว่าเผลอเผยความลับบางอย่างออกไป นางเหลือบมองคนถามด้วยความระแวดระวัง เมื่อเห็นท่าทีผ่อนคลายติดจะเกียจคร้านของท่านก็เบาใจขึ้น มานิดหนึ่ง
“ฉันทำงานเสี่ยงชีวิตอยู่บ้าง คงต้องหายาพวกนี้เอาไว้ติดกายในยามวิกฤต ไม่ทราบว่าแม่หญิงพอจะรู้จักร้านขายยาดีๆ แนะนำให้ฉันไหม”
ท่านราชองครักษ์ถามยิ้มๆ “ตัวฉันจะรอดชีวิตหรือจะจบชีวิตก็คงต้องหมายพึ่งยาพวกนี้เสียแล้ว”
“อิฉันรู้จักร้านขายยาใหญ่แถวตลาดเจ้าค่ะ ชาวเมืองที่มีฐานะมักจะไปซื้อหายากันที่นั่น เห็นว่ารักษาได้ชะงัดนัก”
“อืม… แล้วสุราดีล่ะ ต้องซื้อหาที่ใด” หญิงสาวในคราบชายหนุ่มพาออกนอกเรื่องอย่างแนบเนียน
“อิฉันไม่ค่อยได้ออกไปไหนและไม่ค่อยได้สุงสิงกับใครจึงไม่ทราบได้เจ้าค่ะ” นางสุวิมลตอบหยิ่งๆ ปรายตามองโสมราวกับบอกว่า ‘ท่านมีวาสนาปานใดแล้วที่ได้มานั่งสุงสิงในห้องของอิฉันได้’
“แม่หญิงดูมีเสน่ห์มากเหลือเกินเมื่อพูดด้วยสีหน้าแบบนี้” โสมเยินยอด้วยท่าทางเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม จึงได้เห็นดอกไม้แดงอีกครั้ง “ฉันควรจะรู้อยู่แล้วว่าสุราดีคือสุราที่แม่หญิงสุวิมลเป็นผู้รินให้ฉันดื่มซึ่งไม่อาจซื้อหาหรือประเมินค่าได้”
“ปากหวานร้ายกาจนัก” นางทอดถอนใจ เบิกบานและเคลิบเคลิ้มจนไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้
“ใครเขาก็ว่าอย่างนั้น” ท่านราชองครักษ์ยิ้มเจ้าเล่ห์ ตาแพรวพราว
“คงจะใช้ใบหน้างดงามนั้น หลอกล่อและใช้วาจานั้น ล่อลวงบุปผาไปเชยชมดอกแล้วดอกเล่ามาแล้วกระมังเจ้าคะ จึงเอ่ยได้คล่องนัก”
“อย่าเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีตเลยเพราะมันทำให้ฉันต้องทอดถอนใจอยู่เสมอว่าฉันมีตาแต่ไร้แววเพียงใดจึงไม่ค้นพบแม่หญิงเสียให้เร็วกว่านี้”
นางสุวิมลสะเทิ้น อายเมื่อดวงตาสีไพลินคู่งามสบจ้องอย่างเว้าวอนอ่อนหวาน นางลืมถ้อยคำตัดพ้อไปเสียสิ้น รับรู้แต่เพียงว่าบุรุษหนุ่มผู้มีบุคลิกซับซ้อนไม่ธรรมดาผู้นี้ช่างมีพรสวรรค์อันร้ายกาจนักในการกลั้นแกล้งรังแกใจสตรีให้ระทดระทวย ตัวนางผู้ซึ่งเย็นชาต่อบุรุษเสมอมายอมสิโรราบให้แก่บุรุษผู้นี้ย่อมกล่าวได้ว่าสมควรยิ่งแล้ว
หลังจากนั้นทั้งสองก็คุยสัพเพเหระกันเนิ่นนาน
โสมยัดเยียดป้อนสุราให้นางสุวิมลดื่มจนนางเมามาย ขยันกวาดต้อนปั่นอารมณ์ของนางให้ขึ้นๆลงๆ อยู่ตลอดจนนางหมดความควบคุมตัวเองและเริ่มพูดเพ้อพรํ่าตอบตามที่เธอไถ่ถาม หญิงสาวในคราบชายหนุ่มยิ้มใส่ไหสุราแล้วกระดกขึ้นดื่มจนหมด
นางสุวิมลเอนกายเข้าซบอกเธอในตอนนั้นเมื่อเห็นว่ามีสุราบางส่วนไหลลงมาที่ลำคอนางจึงชะโงกไปลิ้มรสอย่างไม่มีสตินัก
“แม่หญิง!” โสมเกือบสำลัก ละล่ำละลักดันร่างอรชรที่ทำท่าจะเลื้อยขึ้น มาบนตัวออกห่าง เห็นทีนางคนงามเมามายเหลือเกินแล้ว ดวงตาจึงได้หวานฉ่ำปานจะหยาดหยด เนื้อตัวร้อนรุมแดงเรื่อและเอาแต่หัวเราะคิกคัก จ้องจะลวนลามคนอยู่เรื่อย “ฉันว่าแม่หญิงนอนพักจะดีกว่า”
“คุณท่านจะไปแล้วหรือเจ้าคะ” นางสุวิมลถามเสียงอ้อแอ้ ไม่ปิดบังความเอาแต่ใจในน้ำเสียงแม้สักนิด “อย่าไปเลย อยู่กับอิฉันนะเจ้าคะ”
“ฉันอยู่ได้แน่หรือ” โสมทอดเสียงหยั่งเชิงขณะตะครุบมือบางแสนซุกซนเอาไว้ “แล้วคนผู้นั้น จะไม่มาหาเรื่องฉันแน่นะ”
“ช่างเขา! อิฉันไม่สนใจอีกแล้ว!” นางคลุ้มคลั่งขึ้นมาทันที “ขอเพียงมีคุณท่าน ต่อให้เขาจะสังหารอิฉันจริง อิฉันก็ยอม เป็นเพราะมันทำให้ชีวิตอิฉันเหมือนตกนรกทั้งเป็น!”
“เดี๋ยวก่อนนะ แม่หญิงพูดถึงใครอยู่หรือ” ท่านราชองครักษ์ตะล่อมถาม
“ท่านโสม” นางโผเข้าหาแล้วซุกกายอันสั่นระริกอยู่ในอ้อมอกที่นางพึงใจ “อยู่กับอิฉันนะเจ้าคะ อย่าไปไหนเลย”
“คุยกันก่อนสิ” โสมสะกิดให้คนที่ทำท่าจะหลับตานอนตื่นขึ้นมา
“ดับเทียนก่อนเถิดเจ้าคะ อิฉันแสบตาเหลือเกิน”
โสมทอดถอนใจ หันไปดับเทียนจนทั้งห้องมีเพียงแสงสลัวที่ลอดพ้นเข้ามาทางหน้าต่างเท่านั้น เมื่อเห็นแสงเทียนดับลงเช่นนี้คาดเดาได้เลยว่าแม่เล้าที่คอยสังเกตการณ์อย่างกระวนกระวายอยู่ด้านนอกต้องใจหล่นตกลงถึงตาตุ่มจนต้องปรี่เข้ามาเคาะห้องเป็นแน่แท้ แต่นางคงไม่กล้าผลักประตูเข้ามาเพราะเกรงจะเจอฉาก ‘ชิดเชยผกา’
แล้วก็เป็นอย่างที่เธอคาดเอาไว้จริงๆ เสียด้วย แต่เพียงไม่นานเสียงเคาะประตูก็หายไปบ่งบอกว่าแม่เล้าล่าถอยไปด้วยอับจนปัญญาจะห้ามปรามเสียแล้ว แล้วคนของธรรม์ล่ะ จะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร
“แม่หญิงรู้จักธรรม์หรือไม่” โสมกระซิบถาม ขยับจัดท่านอนของนางคนงามให้นอนสบาย รับรู้ได้ว่านางตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่หนึ่งเมื่อได้ยินชื่อของธรรม์
“รู้จักเจ้าค่ะ” นางตอบเบาๆ น้ำเสียงละม้ายหวาดหวั่นแต่ก็คล้ายจะเทิดทูน
“แล้วแม่หญิงรู้ไหมว่าคนสำคัญของธรรม์คือใคร” เธอพยายามใช้น้ำเสียงอ่อนนุ่มกล่อมให้นางตอบแต่โดยดี
“ท่านโสม” นางตัวสั่นระริกเบียดเข้าหาร่างของโสมราวกับจะยึดเป็นที่พึ่งพิง
หญิงสาวในคราบชายหนุ่มจนใจจึงจำต้องรับร่างของนางเอาไว้ในอ้อมอก โสมถอนหายใจนอนมองเพดานราวกับว่ามันจะหล่นลงมาทับได้ทุกวินาที ในตอนนี้หญิงสาวสับสนเหลือเกินว่าตนมาที่เรือนเริงรมย์เพื่อจุดประสงค์ใดกันแน่ หาที่นอน หาข่าว หรือมาด้วยเรื่องส่วนตัว ภาพความทรงจำในการเที่ยวชมตลาดกับธรรม์ยังตามติดไม่ห่างหาย ความรู้สึกอันปั่นป่วน อ่อนหวานและชอกช้ำ ยังวนเวียนอยู่ในหัวใจ ตัวเธอเกิดมาจนตายมารอบหนึ่งยังไม่เคยเจอความรู้สึกที่เฉียดใกล้คำว่ารักมาก่อน
ครั้นต้องมาพบเจอกลับต้องพบกับคนที่ไม่อาจครอบครองได้ ชะตาชีวิตคนเรามันช่างเล่นตลก แต่ครั้งนี้เห็นจะเป็นตลกร้ายถึงขั้นรังแกกันเกินไปหน่อยกระมัง
ท่านราชองครักษ์โสมครุ่นคิดถึงนลวรรณสหายในโลกที่ตนจากมา หล่อนเล่าว่าเมื่อครั้งที่ตนต้องมาอยู่ในฐานะแม่หญิงจันทรวดีก็ถูกความรักกลั่นแกล้งให้ต้องใจกับสามีซึ่งตอนนั้นมีภรรยาอยู่หลายคน หล่อนปกป้องใจตัวเองด้วยการพยายามไม่หลงรักและคิดแต่เพียงจะหลอกใช้เพื่อความปลอดภัยของตัวเองเท่านั้น กระนั้น หัวใจก็คิดทรยศไปหลงรัก
สามีจนได้ ต้องเจ็บช้ำเพราะภรรยาคนเก่าและภรรยาคนใหม่ของสามี กว่าจะจิตใจเข้มแข็งมั่นคงและเชื่อใจสามีว่ารักหล่อนจนไม่เหลือความรักให้ใครอีกต่อไป หล่อนก็เหลือเวลาที่จะเสพสุขความรักนั้น อยู่น้อยนิดก่อนที่ความตายจะพรากหล่อนไปจากสามีและกลับมาพบรักกันใหม่ในโลกมนุษย์
แล้วตัวเธอล่ะ ชะตาชีวิตจะเหมือนนลวรรณหรือไม่ สถานการณ์ของเธอสามารถเอาไปเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของนลวรรณได้จริงหรือ
“ฉันขอถามแม่หญิงเป็นคำถามสุดท้ายจะได้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
“แม่หญิงเป็นเมียของธรรม์ใช่หรือไม่!”
กว่าโสมจะออกจากห้องของนางสุวิมลมาได้ก็ค่อนสว่าง หญิงสาวเดินผ่านร่างของแม่เล้าและเด็กรับใช้ที่นอนกองกันอยู่หน้าห้องไปอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะตัดสินใจเดินมาปลุกให้ไปดูแลนางสุวิมลที่นอนเปลือยกายอยู่บนฟูก เธอรู้ว่าเรื่องนี้จะทำให้เรือนโกลาหลเพียงใด แต่ในยามนี้ยิ่งเธอทำเรื่องให้วุ่นมากเท่าไหร่สิ่งต่างๆ ก็จะยิ่งเปิดเผยมากขึ้นเท่านั้น
แต่ที่ธรรม์ไม่ออกหน้าจัดการอะไรเมื่อเธออยู่กับนางสุวิมลเพียงสองคนช่างน่าสงสัยนัก เพราะโดยท่าทีของเขาแล้วเมื่อลูกน้องไปรายงานความย่อมต้องโผล่มาหาเธอเป็นแน่ เว้นแต่ว่าคนพวกนั้นไม่ใช่คนของธรรม์ เช่นนั้นแล้วจะเป็นคนของใครกัน
โสมเตร็ดเตร่อยู่ในเมืองจนตะวันส่องกลางศีรษะก่อนสวมหน้ากากภูตและห่มผ้าคลุมดำให้เรียบร้อยเพื่อกลับวังด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ในใจหวนคิดถึงตอนที่เธอถามคำถามนั้นออกไป นางสุวิมลกลับไม่มีแก่ใจจะตอบเสียแล้วเพราะนางเอาแต่กอดรัดร่างของเธออย่างกระสับกระส่ายแล้วลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าออกเสียหมด
หญิงสาวแทบหัวใจวายตายเพราะนางคนงามแนบกายเข้าหาแล้วพรมจูบไปทั่วใบหน้าของเธอ โชคยังดีที่หลังจากนั้น ไม่นานนางก็หมดสติไป
“ท่านราชองครักษ์!” เมื่อเดินมาถึงหน้าพระตำหนักสุริยัน เสียงของทหารภูตห้านายผู้ได้รับหน้าที่ในการเฝ้าอารักขาก็พูดขึ้นพร้อมกันด้วยน้ำเสียงยินดีราวกับเห็นฟ้ามาโปรด
โสมคิดอย่างขบขันว่าหากทำได้ทหารภูตทั้งห้าคงเข้ามาคุกเข่ากอดขาเธอแล้วร้องไห้น้ำตาไหลพรากๆ แน่
“ท่านไปไหนมาขอรับ พวกกระผมผลัดเวรกันออกตามหาท่านเป็นนานไม่เจอแม้แต่ร่องรอย ท่านไม่ทราบรึว่าเกิดเรื่องมากมายแค่ไหน”
“อะไรกัน ฉันไม่อยู่แค่นี้กลายเป็นว่าถึงขั้นต้องผลัดเวรกันออกตามหาเลยหรือ” โสมพูดเสียงกลั้วหัวเราะ เดาว่าป่านฉะนี้ราชันที่ประทับอยู่ด้านในคงจะรู้แล้วว่าเธอมาเพราะเสียงเอะอะของทหารภูตเหล่านี้แหละนั่น
… หลังของมหาดเล็กหายวับไปไวๆ ด้วย
“อย่างไรก็ช่างเถิดขอรับ ท่านกลับมาก็เหมือนฟ้ามาโปรดพวกกระผม หากพ้นคืนนี้ไปโดยไม่ได้ตัวท่านมา พวกกระผมแย่แน่ๆ” ทหารทั้งห้านายรีบตรงเข้าล้อมโสมแล้วจัดการ ‘ต้อน’ ให้เข้าไปด้านใน “ตั้งแต่ท่านผลุนผลันออกไปวันนั้น ราชันก็มีพระราชโองการให้พวกกระผมตามท่านมาเข้าเฝ้าให้ได้ รีบเข้าไปเถิดขอรับ”
ในที่สุดหญิงสาวก็มายืนอยู่ต่อหน้าราชันไพรสัณฑ์ที่ทรงหน้ากากภูตครึ่งหน้ากำลังประทับนั่งอยู่บนพระแท่นราวกับรอต้อนรับ
“พวกเจ้าออกไปได้ ไม่มีคำสั่งห้ามใครเข้ามาเด็ดขาด”
“แหมๆ ไม่คิดว่าท่านจะคิดถึงฉันถึงขนาดให้พวกทหารภูตออกตามหาเลยนะนี่”
“ใช่ ข้าคิดถึงท่านมากเชียวล่ะ ท่านราชองครักษ์โสม”
พระสุรเสียงของราชันทำให้โสมขนลุกอย่างไม่ทราบสาเหตุ หญิงสาวเสหัวเราะแล้วเดินเลี่ยงไปนั่งที่แท่นนั่งของตนที่ตั้งอยู่ใกล้กันด้วยท่าทางสบายๆ
“ท่านรู้รึไม่ว่าท่านชักจะโด่งดังเกินไปเสียแล้ว เมื่อก่อนเรื่องของท่านก็เป็นที่พูดถึงในหมู่ชาวเมืองอยู่บ้าง แต่ในยามนี้ทุกคนในเมืองต่างกล่าวขวัญถึงท่านราชองครักษ์โสมรูปงามเจ้าเสน่ห์กันทั้งนั้น”
“อะไรกัน” โสมแปลกใจ
ราชันหน้ากากภูตปรายตามองนางหมิ่นๆ “เป็นเพราะพวกนางกำนัลเหล่านั้นละเมอเพ้อพกถึงท่านให้
ครอบครัวพวกเขาฟังยามได้รับอนุญาตให้กลับไปเยี่ยมบ้านได้อย่างไรเล่า”
โสมเพิ่งเข้าใจและตำหนิตัวเองที่เพิ่งจะมาเอะใจบางอย่างเอาตอนนี้ เธอประมาทไปจริงๆ คิดว่าตัวเองเก่งและฉลาดนักจนกลับกลายเป็นคนโง่ ทำไมเธอถึงไม่เอะใจตั้งแต่ที่นางสุวิมลเรียกเธอว่า ‘ท่านราชองครักษ์’ ทั้ง ที่เธอไม่เคยบอกหล่อนว่าดำรงตำแหน่งใดในวัง
เธอมันโง่และไม่เฉลียวใจสักนิด!
“สาวๆ ชอบฉันขนาดนี้เชียวหรือ ปลื้มใจจริง” เธอพูดกลบเกลื่อนความคิดตัวเอง
“การหว่านเสน่ห์ไปทั่วแบบนี้ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง” ราชันหนุ่มรับสั่งเสียงเข้ม
“มาห้ามไม่ให้ฉันเจ้าชู้ ตัวท่านเองก็เถอะ ถึงปากว่าจะรักเดียวใจเดียว แต่ก็คงมีนางสนมมากมายเก็บซ่อนเอาไว้แน่ๆ”
“ข้าไม่มีนางสนมสักนาง” พระองค์ไม่ได้โกหกสักนิด ก็ทรงไม่มี ‘นางสนม’ จริงๆ นี่นา
โสมเลิกคิ้ว มององค์ราชันอย่างไม่อยากเชื่อ ราชันทำให้เธอผิดคาดนัก ไม่คิดว่านอกจากเขาจะเป็นพวกนิยมสิทธิสตรีแล้วยังไม่มีสนมนางในอีก พระองค์เป็นชายที่แปลกจากชายทั่วไปจริงๆ
“ท่านพูดจริงหรือ ไม่มีนางสนมสักนางจริงๆ น่ะหรือ” หญิงสาวยังถามย้ำ
“ท่านสงสัยอะไรในคำพูดของข้านักรึ” ดูคล้ายพระองค์จะไม่พอพระทัยที่มีคนสงสัยว่าพระองค์โกหกพกลม
“เปล่านะ เพียงแต่ว่าฉันผิดคาดมากๆ เท่านั้นเอง” เธอไม่อยากเสี่ยงกวนโทสะราชัน “ถ้าอย่างนั้น หมายความว่าท่านไม่มีนางสนมสักนางแล้วไปหาความสำราญข้างนอกในคราบชายนิรนามเพื่อที่เมื่อมีการอภิเษกสมรส ท่านจะได้ทะนุถนอมนางที่รักเพียงนางเดียวอย่างนั้น หรือ”
“ท่านรู้ใจข้า” รับสั่งด้วยเสียงสรวล
“เลิกพูดเรื่องของข้าเถิด เรื่องที่ท่านจะไปคุยกับจอมโอหังนั่นไปถึงไหนแล้วล่ะ” ราชันหนุ่มเปลี่ยนเรื่องซึ่งทำให้โสมต้องเผลอยิ้มแหยๆ ออกมา นึกโล่งอกที่สวมหน้ากากภูตปิดบังใบหน้าอยู่นัก
“ก็ยังไปไม่ถึงไหนเลย หากท่านคิดว่ามันทำง่ายนักท่านก็คงลงไปทำเองแล้วล่ะ จริงไหม ให้เวลากันหน่อยสิ” โสมออกตัว
“อย่างนั้น รึ” พระสุรเสียงของราชันหนุ่มทำให้อุณหภูมิในห้องอบอ้าวสลับหนาวเย็น เธอรู้ว่าพระองค์ไม่พอพระทัยมากทีเดียวตามประสาคนที่ชอบแสร้งทำเป็นใจเย็นทั้งที่ความจริงแล้วใจร้อนราวกับลาวาภูเขาไฟ
“เรื่องเครียดอย่าเพิ่งคุยกันเลยนะ” โสมรีบหาเรื่องคุยเพื่อเปลี่ยนสถานการณ์ “ท่านให้ทหารออกตามหาฉันคงจะคิดถึงฉันล่ะสิ ว้า… ฉันลำบากใจ อย่างนี้จะกล้าไปไหนไกลได้ยังไง”
“ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่ลืมหรอกนะว่าครั้งนั้น เกิดอะไรขึ้น” พระสุรเสียงของราชันทำให้โสมหนาวเยือกสลับร้อนมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
ยังไม่ทันตั้งตัวอะไรพระวรกายสูงใหญ่ของราชันไพรสัณฑ์ก็กระโจนเข้าหาโสมด้วยความรวดเร็วราวพยัคฆ์ตะครุบเหยื่อจนล้มลงบนแท่นนั่งด้วยกัน ขาทั้งสองข้างของหญิงสาวถูกท่อนพระเพลาที่ทั้งหนักและใหญ่ทรงพลังกดทับ
เอาไว้จนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ แขนทั้งสองข้างก็ถูกพระหัตถ์กุมเอาไว้แน่นตรึงกับเตียง สภาพของเธอในตอนนี้จึงไม่อาจต่อสู้ขัดขืนพระองค์ได้แม้แต่น้อย
“ท่านเล่นอะไรน่ะ! จะปล้ำฉันรึไง!” โสมร้องเสียงหลง พยายามดิ้นรน แต่ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกกดเอาไว้แน่นกว่าเดิม ยิ่งเห็นรอยแย้มพระโอษฐ์ปริศนาของราชันก็ยิ่งใจไม่ดี “นี่ท่านคงไม่ได้คิดจะทำไม่ดีไม่ร้ายกับฉันหรอกนะ อย่าลืมสิว่าทั้ง ท่านและฉันต่างก็เป็นชายชาติทหาร”
ในสถานการณ์แบบนี้เธอพูดอย่างเต็มปากว่าตนเป็นชายชาติทหารได้โดยไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย!
“เป็นเพราะท่านทำให้ข้าต้องปรามาสตัวเองอย่างรุนแรง ท่านไม่คิดจะรับผิดชอบสักนิดเลยหรือ” รับสั่งพลางสรวลในลำพระศอเบาๆ ฟังแล้วน่าหวาดกลัวคล้ายพระองค์เป็นภูตจริงๆ ดั่งพระสมัญญานาม
“ฉันไม่ได้ทำอะไรสักนิด!” หญิงสาวร้องเสียงสั่น
“ข้าชักจะสงสัย..” ราชันหนุ่มลากพระสุรเสียงยาว พระองค์ทรงรวบข้อมือบอบบางของโสมเอาไว้ด้วยพระหัตถ์ข้างเดียวแล้วใช้พระหัตถ์อีกข้างหนึ่งถอดหน้ากากภูตของโสมออกเหมือนการทำลายปราการป้องกันตัวเองของเธอลงชั้น หนึ่งแล้วก็ทรงจ้องหน้าโสมนิ่งไป
“ว่าตัวท่านมีอะไรพิเศษเลิศเลอถึงขั้น ทำให้ข้าลืมตัวได้” ทรงพระสรวลราวกับเสียงคำรามตํ่าๆ ทำให้คนฟังขนลุกซู่ด้วยความหวาดหวั่น
“ข้าไม่ชอบอะไรที่ไม่ชัดเจน ดังนั้น เรามาพิสูจน์บางอย่างด้วยกันดีกว่า”
“ไม่เอา! ท่านจะทำอะไรฉันน่ะ อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ ไม่อย่างนั้นฉันจะร้อง…”
โสมไม่ทันได้พูดจบพระโอษฐ์กระด้างก็ประทับบดเบียดลงมา ริมฝีปากของเธอร้อนราวกับถูกไฟเผาแต่ก็รับรู้ถึงรสหวานซ่านบางอย่างที่ทำให้สัมผัสนี้กลายเป็นความทรมานอันแสนยั่วยวนใจ ไฟบางอย่างในกายสาวลุกไหม้อย่างรุนแรงจนต้องดิ้นรนออกจากพันธนาการอย่างดุกร้าวด้วยปรารถนาความใกล้ชิดที่มากกว่านี้เพลิงไฟลามเลียจนเปลือกแห่งอารมณ์มอดไหม้เหลือเพียงเนื้อแท้แห่งอารมณ์
โสมรู้สึกเหมือนถูกผลักลงสู่หุบเหวอันเกินจะหยั่งถึงไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ นอกจากตะเกียกตะกายหาที่จับยึดเพื่อลดหลั่นความหวาดกลัวที่แอบซ่อนอยู่ในซอกใจ
เสียงแก้วทองเหลืองที่ตั้งอยู่บนตั่งตกสู่พื้นดังเปรื่อง เพราะมือของโสมปัดไปโดนทำให้ผู้ที่กำลังก้าวสู่เส้นทางแห่งดำกฤษณารู้สึกตัว เสียงหอบหายใจเป็นเพียงเสียงเดียวที่ดังอยู่ในห้องพระบรรทม พระเนตรภายใต้หน้ากากภูตจ้องโสมอย่างตกตะลึงและไม่อยากจะยอมรับในตัวพระองค์เอง
โสมกำลังนอนหอบหายใจระรวยรินอยู่บนเตียงนอนใต้พระวรกายของพระองค์ ดวงหน้าฉ่ำหวานไปด้วยสีระเรื่อ ดวงตาสีน้ำเงินงามซึ้ง แปลกตาเหม่อคว้างคุไปด้วยแรงอารมณ์อันร้อนรุ่มและริมฝีปากอิ่มเอิบสีแดงจัดบวมเจ่อด้วยการจุมพิตอย่างร้อนแรงเผยอ ราวกับเชิญชวนให้ก้มลงไปลิ้มรสความหวานที่อุ่นซ่านนั่นอีกครั้งหนึ่ง
“นี่มันเรื่องบัดซบที่สุด!” ราชันไพรสัณฑ์เค้นพระสุรเสียงพูดออกมาแต่ไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบเท่าไรนัก “เจ้ากับข้าต่างก็เป็นบุรุษ แต่กลับเข้ากันได้ดีในเรื่องนี้”
“ไม่ใช่ความผิดของฉันสักนิด!” โสมพูดเสียงกระท่อนกระแท่น ไม่มีแรงแม้แต่จะผลักให้พระวรกายแกร่งกำยำที่ทาบทับอยู่ออกจากตัว “ฉันไม่ใช่ต้นเหตุนี่นา ต้องโทษตัวท่านเองนั่นแหละที่เพิ่งจะมารู้ตัวว่าชอบทั้งผู้ชายทั้ง ผู้หญิง”
“ฮึ! ก็อาจจะใช่! เราจุมพิตกันจนเตียงแทบไหม้ ข้าไม่เคยคิดจะทำเช่นนี้กับบุรุษคนใดนอกจากท่าน!” ราชันหนุ่มรับสั่ง
หญิงสาวสังเกตว่าริมฝีปากของพระองค์ซีดขึ้น ตามลำดับ
“เข้าใจรึไม่! ข้ามีพฤติกรรมเช่นนี้กับท่านเพียงคนเดียว!”