Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 15

ตอนที่ ๑๕

คำสารภาพ

โสมไม่อยากจะเชื่อว่าราชันหน้ากากภูตต้องทรงงานมากมายถึงเพียงนี้ ตลอดสี่วันที่ผ่านมานอกจากเวลากินข้าวและอาบน้ำสิบห้านาทีกับนอนพักผ่อนวันละสี่ชั่วโมงแล้วหญิงสาวแทบไม่ได้ลุกไปไหนเลย ฎีกาจากกระทรวงต่างๆ ทั้งเรื่องด่วนและไม่ด่วนทยอยมาวางบนโต๊ะเหมือนไม่มีวันหมดสิ้น

เธอแทบจะเป็นลมเสียหลายครั้งและเริ่มเข้าใจราชันไพรสัณฑ์อย่างถ่องแท้ว่าเหตุใดพระองค์จึงต้องหาโอกาสหลบออกไปเที่ยวนอกวังโดยไม่ให้ใครตามตัวเจอและตอนนี้เธอก็อยากจะหายตัวไปเหมือนกัน!

โสมวางฎีกาเล่มสุดท้ายของวันเมื่อเวลาล่วงเลยมาค่อนดึก หน้าตาของเธออิดโรยและหมองคล้ำการทำงานหนักสามารถเคี่ยวกรำคนให้แก่เกินวัยเร็วกว่าปกติถึงสี่ห้าปีทีเดียว

“วันนี้หมดแล้วขอรับ” มหาดเล็กเดินมารายงาน พลางมองสภาพของท่านราชองครักษ์โสมด้วยความเป็นห่วง

“ถึงยังไม่หมดฉันก็ไม่ทำต่อแล้ว” หญิงสาวบอกเสียงแหบแห้งแล้วเดินลากสังขารโทรมๆ ของตนไปยังห้องพระบรรทม ทิ้งตัวลงบนแท่นนอนของตนแล้วหลับสนิทไปในทันที

เธอหลับไปนานเท่าไรก็ไม่รู้ ตื่นมาอีกครั้งเพราะได้ยินเสียงผิดปกติ พอผุดลุกตามสัญชาตญาณก็ถูกโยนกลับไปที่แท่นนอนอีกครั้ง ครั้นจะอ้าปากร้องก็พลันได้ยินเสียง

“ข้าเอง”

พระสุรเสียงคุ้นหูบวกกับโครงร่างสูงใหญ่ในเงามืดทำให้โสมทิ้งตัวลงนอนตามเดิมอย่างหมดแรง โมโหก็โมโหแต่ก็เพลียเกินกว่าจะลุกขึ้น มาต่อปากต่อคำในตอนนี้โสมจึงเอาหัวมุดหมอนตั้งท่าหลับต่อ

“ที่ผ่านมารบกวนท่านมากแล้ว” ราชันรับสั่งด้วยเสียงลุ่มลึกจับพระอารมณ์ไม่ได้ “ธรรม์ย้ายพลเข้ามาตั้งที่พักอาศัยอยู่แถบชานเมืองหลวงแล้ว ข้าชื่นชมที่ท่านสามารถทำงานนี้สำเร็จ ดังนั้นข้าย่อมต้องหาเวลาให้ท่านพักสักระยะ”

โสมครางอือออรับ หญิงสาวง่วงและอ่อนเพลียเกินกว่าจะครุ่นคิดลึกซึ้ง ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป และไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะแสดงความดีใจ

“เรื่องซ่องโสเภณีเด็กนั่นข้าได้ไปจับตามองมาหลายวัน คาดว่าความคงรั่วไหลว่าข้าคิดจะกำจัดที่นั่นทิ้งเสีย พวกมันจึงฆ่าคนทำลายหลักฐาน” พระสุรเสียงเยียบเย็นกัดกินใจคนฟังนัก “ซ่องนั่นกลายเป็นสุสานของเด็กทุกคนไม่เว้นแม้แต่รายเดียว”

โสมรู้สึกเหมือนถูกโยนลงบ่อน้ำเย็นเฉียบ เธออุทานเสียงแหบพร่า “อะไรนะ!”

“ข้าเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง แต่จนใจจะเปิดเผยตัวเพื่อช่วยเหลือ ข้าเจ็บแค้นนักที่ทำอะไรไม่ได้…” ดวงเนตรขององค์ราชันหน้ากากภูตวาวโรจน์ด้วยความแค้น ผินพระพักตร์มาทางโสมและรับสั่งหนักแน่น “…ท่านจงนำ กองทหารเสือไปสังหารล้างเรือนเจ้ากระทรวงกลาโหมที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเสียค่ำวันนี้”

“ฉันเองก็อยากทำอย่างนั้น อยู่พอดี!” โสมพูดเสียงเหี้ยมเกรียม

“มีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะเล่าให้ท่านฟัง” รับสั่งด้วยสุรเสียงประหลาด “ข้าได้ส่งของกำนัลให้แม่หญิงศรีศุภางค์ ธิดาของท่านเจ้าเมืองกิตติมาเป็นเวลาสามขวบปีแล้ว ด้วยตั้งใจว่ายามใดที่บ้านเมืองสงบสุขข้าจะไปรับนางมาเป็นมเหสี แต่ข้าพบว่า ข้าไม่ต้องการมีมเหสีอีกต่อไปแล้ว ข้าพึงใจกับคุณสมบัติอันเหมาะสมของนางแต่หาได้เกิดความรักไม่ ข้าเคยคิดว่าหากนางเป็นมเหสีของข้าแล้วไซร้คงทำใจรักนางได้ในสักวันหนึ่ง จนกระทั่ง… ข้าได้รู้ว่าข้าคิดผิด”

ในความมืด… ราชันไพรสัณฑ์ถอนพระปัสสาสะอีกครั้ง

โสมหาวหวอดพลางหลับตาพริ้ม

“ข้าต้องการ ‘เมีย’ ที่ผูกสมัครรักใคร่” ราชันแห่งกณวรรธน์นครรับสั่งเบาลงอีกคล้ายกับทรงไม่มีกำลังใจจะพูดต่อ “ข้าจะส่งของกำนัลครั้งสุดท้ายไปให้แม่หญิงศรีศุภางค์ เขียนจดหมายแสดงความเสียใจและขอโทษที่ได้ให้ความหวังนาง แต่ไม่อาจทำให้นางสมหวังได้ ข้าไม่อาจอภิเษกสมรสกับสตรีนางใดได้เพราะข้าไม่อยากทรมานใจนางด้วยหัวจิตหัวใจอัน

ไร้รักของข้า ต่อไปนี้คงได้แต่มองหาตัวแทนที่จะแต่งตั้งขึ้น เป็นองค์รัชทายาทแล้ว” ราชันหนุ่มรับสั่งด้วยความกล้ำกลืน

“สำหรับคนที่ข้าคิดปองต้องจิตก็ไม่อาจรักให้สมหวังได้ ข้าจะไม่ทำให้เขาผู้นั้น ต้องลำบากใจกับความรักที่ข้ามีให้ คงขอแค่เพียงความเมตตาให้ข้าได้รักเท่านั้น หากแม้นข้าบุญน้อยนัก เขาจะพรากความรักอันเป็นชีวิตของข้า ข้าจะสิ้นใจตายก็สุดแท้แต่วาสนา”

พระหัตถ์ใหญ่ลูบลงบนศีรษะของโสมอย่างแผ่วเบาหนึ่งครั้งก่อนจะละมือไป

“ถึงแม้ท่านจะรังเกียจข้ามากแค่ไหน แต่ข้าจะไม่รักท่านในชาตินี้นี้นเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว!”

แล้วเธอก็หลับไปพร้อมกับภาระผูกพันบางอย่างที่ค่อยๆ ร้อยรัดดวงใจเธอให้หนักอึ้ง…

โสม พยัคฆ์ดำรงตื่นขึ้น มาอีกครั้งด้วยความรู้สึกราวกับร่างถูกถ่วงไปด้วยหินก้อนใหญ่ หญิงสาวมึนงงจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก เธอรู้สึกปวดหัวตุบๆ ลำคอแห้งผากและกระหายน้ำ เหงื่อออกเต็มตัวที่ร้อนจนเหมือนถูกไฟรุม เธอเหลือบตามองรอบๆ จึงค่อยรับรู้ว่าตนอยู่บนแท่นนอนในห้องพระบรรทมของราชันไพรสัณฑ์ ซึ่งขณะนี้กำลังชะโงกมองเธอด้วยใบหน้าที่สวมหน้ากากภูต

“ท่านไม่สบาย” พระสุรเสียงของราชันผ่านเข้าหูของโสม หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ใช้เวลาสักครู่กว่าจะทำความเข้าใจสิ่งที่พระองค์รับสั่งได้

“ดื่มน้ำสักนิดไหม”

โสมไม่แน่ใจว่าได้ทูลตอบพระองค์หรือไม่ แต่ร่างเธอก็ถูกพยุงขึ้นแล้วน้ำก็ถูกนำมาจ่อที่ริมฝีปากโดยมีพระสุรเสียงปลอบให้ค่อยๆ จิบ ก่อนจะผ่อนร่างให้เธอกลับไปนอนตามเดิมพร้อมผ้าห่มจนชิดคอ หญิงสาวมองราชันไพรสัณฑ์เบลอๆ

พระหัตถ์ใหญ่เอื้อมอย่างลังเลมาลูบศีรษะอันเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อของเธอด้วยสัมผัสอ่อนโยนทำให้เธอนึกถึงคำพูดที่ได้ยินเมื่อคืนจึงเอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้งอย่างโง่งมไร้สติว่า “เมื่อคืนนี้พูดจริงรึเปล่า”

พระหัตถ์ใหญ่ที่กำลังลูบศีรษะเธออยู่ชะงักงันพร้อมด้วยอาการการเกร็งก่อนที่จะทรงชักพระหัตถ์กลับอย่างนุ่มนวล ประทานคำตอบสั้นกระชับ “จริง”

“ฉันขอโทษ” โสมพูดเสียงสั่น ด้วยไม่มีสติเท่าไหร่นักหญิงสาวจึงรํ่าไห้น้ำตานองหน้าด้วยความสำนึกผิด

ราชันหนุ่มเห็นดังนั้น ก็ทรงเช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบาด้วยข้อพระดัชนี แต่ดูเหมือนจะไม่อาจซับน้ำตานั้นหมด

“ข้าบอกท่านแล้วว่าจะไม่ทำให้ท่านลำบากใจแน่นอน” ราชันหน้ากากภูตทรงปลอบใจคนป่วยด้วยความขมขื่นพระทัย “พักผ่อนเถิด ไม่ต้องเก็บเรื่องใดมารบกวนใจ”

“ฉันทำให้ท่านต้องเป็นแบบนี้ ฉันขอโทษ” โสมคร่ำครวญสิ่งที่ติดอยู่ในใจอย่างไม่ค่อยมีสติ

“มันไม่ใช่ความผิดของท่าน” พระองค์ไม่อาจห้ามพระทัยที่จะเอื้อมพระหัตถ์ไปลูบศีรษะโสมได้ “มันเป็นเพราะตัวข้าเองที่รักท่าน อย่าได้เศร้าโศกหรือสำนึกผิดอันใดไป”

“ถ้าฉันไม่เย้าแหย่ท่าน ไม่ยั่วเย้าท่าน…”

“ไม่ช้าหรือเร็วข้าก็ต้องรักท่านอยู่ดี” ราชันไพรสัณฑ์ทรงสารภาพด้วยความกล้ำกลืน “ข้าไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับข้ากันแน่ ทั้งที่ความปรารถนาของข้าก็เป็นตามธรรมชาติมาโดยตลอดแต่เมื่อพบท่านข้ากลับต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่สนใจท่าน”

“ท่านไม่ผิด… ไม่ผิดเลย ฉันผิดเองทุกอย่าง ฉันผิดไปแล้ว ได้โปรดยกโทษให้ฉัน” หญิงสาวเพ้อครวญ หนาวสั่นจนกายสะท้านเล็กน้อยทั้ง ที่ผ้าห่มมิดชิด

“พักผ่อนเถอะ” ทรงปาดเช็ดน้ำตาบนผิวนวนเนียนของราชองครักษ์ในพระองค์แล้วชะงัก ทรงแปลกพระทัยว่าเหตุไฉนสีหน้าของโสมจึงนุ่มละมุนราวสตรีเช่นนี้ ราชันหนุ่มอดที่จะมองสำรวจลำคอขาวผ่องที่พ้นผ้าห่มเรื่อยมาจนหน้าอกที่ดันเนื้อผ้าขึ้น มาไม่ได้

หน้าอก!

ฉับพลัน! ราชันหนุ่มทรงกระชากผ้าห่มออกด้วยความตกพระทัย สิ่งที่พระองค์เห็นคือหน้าอกแบนราบของบุรุษมิใช่ของสตรีอย่างที่ทอดพระเนตรเมื่อครู่ ดวงพระทัยของพระองค์เต้นกระหนํ่าสับสนเพราะมั่นพระทัยว่าไม่ได้พระเนตรฝาดไป หรือว่าพระองค์จะฟุ้งซ่านจนเห็นผ้าห่มยับย่นนูนขึ้น เป็นรอยหน้าอกสตรีไปได้

“ฉันมีเรื่องปิดบังท่าน ฉันไม่คิดว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้ ขอโทษจริงๆ” หญิงสาวยังคงเพ้อต่อไป ดวงตาหรี่ปรือจนหลับไปทั้ง ที่ยังกระสับกระส่ายด้วยพิษไข้

ราชันไพรสัณฑ์ทอดพระเนตรใบหน้าคมที่แฝงความอ่อนหวานด้วยความรู้สึกอันสับสน

นี่มันเรื่องอะไรกัน!

ร่างสูงโปร่งนอนอยู่บนเตียง ดวงตาก็มองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อเฝ้ามองดวงจันทร์สีซีด

ธรรม์ร้อนใจจนหงุดหงิดเมื่อเขายังไม่ได้รับการติดต่อจากโสมเลย แม้จะทิ้งไพ่ตายด้วยการขนคนออกมาอยู่ร่วมกับคนกณวรรธน์นครหลายวันแล้วก็ตาม ชายหนุ่มลงโทษนางสุวิมลในขั้นแรกด้วยการสั่งให้อดอาหารเป็นเวลาสามวัน กระนั้น ก็ไม่สามารถลดทอนความหงุดหงิดลงได้

ประตูห้องนอนของชายหนุ่มเปิดออกพร้อมร่างบอบบางก้าวเข้ามาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขาทำเพียงนอนมองนิ่งอย่างไร้ความรู้สึกจนนางอรดีไม่กล้าทำอย่างที่คิดเอาไว้ แต่เมื่อคิดถึงคำเป่าหูของผู้เป็นน้องสามีว่า สามีของนางติดพันรักใคร่กับบุรุษ ทำให้แรงฮึดกับคืนมาเพราะนางจะไม่ยอมเสียสามีให้สตรีหรือบุรุษคนไหนก็ตาม

นางจึงกลั้นใจปลดสไบของตนลงกองกับพื้น เผยให้เห็นผิวพรรณเรียบเนียน ตามด้วยผ้านุ่งที่รูดลงไปตามปลีขาเรียว อากาศเย็นลงในยามสางทำให้ร่างเปล่าเปลือยสะท้านหนาวขณะก้าวย่างเข้าไปหาสามีที่จ้องมองตาวาววับอยู่บนเตียง เมื่อนางมาหยุดลงข้างเตียงก็ถูกมือใหญ่กระตุกให้ล้มลงทาบทับร่างเขาเอาไว้เกือบทั้งตัว

“มาเสนอตัวให้ข้าถึงในห้อง ไม่มียางอายบ้างหรือไรแม่ตัวดี” ธรรม์ยิ้มเยียบเย็นอย่างที่คนสบตาต้องสะท้านด้วยเย็นไปถึงขั้วหัวใจ ฝ่ามือใหญ่ลูบโลมไปบนผิวเนียนนุ่มเสมือนทิ้ง รอยปรารถนาให้แผดเผาเจ้าเนื้อนวลทีละนิด “ในเมื่อเจ้าต้องการและข้าก็ต้องการ ข้าคงทำได้แค่ใช้เจ้าจนกว่าเจ้าจะหมดประโยชน์”

พูดจบทั้ง ฝ่ามือและริมฝีปากก็ตะโบมจู่โจม นางอรดีโอนอ่อนคล้อยตามอารมณ์ของชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี รสรักรุนแรงร้อนเร่าแต่ก็แฝงด้วยความหฤหรรษ์ ชื่นฉ่ำด้วยน้ำค้างหยาดพรม จวบจนตะวันส่องแสงกล้า ทิ้งเพียงรอยแห่งความชอกช้ำ ไว้บนกลีบบางเบาเสมือนบาปอันเย้ายวนใจ

นางอรดีทั้งสุขใจและทุกข์ใจ นางหลงรักธรรม์มานานตั้ง แต่ครั้งเขาพาน้องชายมาขอความช่วยเหลือจากพ่อของนางที่เร้นกายออกจากชาวเมือง ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาปานเทพบุตรที่แสนเย็นชามีเสน่ห์อย่างลึกลับที่ทำให้นางมัวเมา แต่ด้วยเป็นสตรีจึงได้แต่แอบรักแอบมอง เฝ้าดูเขาทำทุกอย่างเพื่อปกป้องน้องชายด้วยการสมัครเข้าเป็นทหารภูตก่อนจะหนีราชการออกมาเมื่อร่ำเรียนสรรพวิชาเสร็จสิ้น

ครานั้น พ่อของนางป่วยหนักใกล้สิ้นลมแต่ยังไม่มีทายาทผู้ชายที่วางใจให้ปกครองคนนอกจากธรรม์ ท่านรู้ใจของบุตรสาวจึงได้ฝากฝังให้ธรรม์แต่งงานกับนางเพื่อขึ้น เป็นผู้ปกครองชาวบ้านในเมืองลับแลแห่งนี้

ด้วยบุญคุณค้ำคอและประโยชน์หลายอย่าง ชายหนุ่มยอมแต่งงานเป็นสามีนางก่อนถึงคืนที่พ่อของนางสิ้นใจ แต่การใช้ชีวิตร่วมกับชายผู้นี้กลับไม่ง่ายเลย เขาตักตวงเอาจากนางในทุกทาง เย็นชากับนาง แยกห้องนอนและไม่เคยมาใยดีนอกจากเขาเกิดความต้องการ นางอดสูใจเหลือเกินแต่ยังดีที่เขาไม่มีใครนอกจากนาง นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้นางอดทนและไม่เคยย่อท้อที่จะพิชิตใจเขาผู้เป็นสามีเลยสักครั้ง แต่มาครานี้ ผู้ซึ่งเป็นน้องชายขอสามีกลับนำความร้อนใจมาเล่าให้ฟังว่าสามีของนางติดพันกับบุรุษผู้หนึ่งก็คือท่านราชองครักษ์โสมในราชันไพรสัณฑ์ถึงขั้น หลงงมงาย

และสาเหตุที่ธรรม์ให้ทุกคนออกมาใช้ชีวิตข้างนอกอย่างเปิดเผยก็เป็นเพราะสามีของนางต้องการเอาใจชายชู้คนนั้น อีกทั้งเขายังสามารถคิดจะกำจัดนางให้พ้นทางอีกด้วย!

“เพื่อท่านราชองครักษ์โสม พี่จะกำจัดน้องได้ลงคอจริงหรือเจ้าคะ” นางอรดีเอ่ยถามเสียงเครือ

ร่างแข็งแกร่งที่แนบเนาอยู่แข็งเกร็งขึ้น ก่อนจะผลักเธอออกห่างราวกับรังเกียจหนักหนา

“น้องชายของข้าคงจะมาบอกเจ้า” ธรรม์ลงจากเตียงเพื่อแต่งตัว “และเจ้าก็สอดรู้สอดเห็นจนต้องมาถามความเอาจากข้า”

“น้องเป็นเมียของพี่ ทำไมน้องจะถามไม่ได้ล่ะเจ้าคะ” นางอรดีลุกขึ้น นั่งร้องไห้น้ำตานองหน้า

“เมียที่ยัดเยียดตัวเองให้ข้าน่ะหรือ ข้าจำต้องเห็นค่าของเจ้ามากเกินไปกว่าหญิงบำบัดความใคร่ด้วยรึ” ชายหนุ่มพูดอย่างเหี้ยมเกรียมเชือดเฉือนหัวใจดวงน้อยนัก “ในเมื่อเจ้าพอจะรู้มาบ้างแล้ว ข้าก็จะบอกให้ เจ้าเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้เสียว่าเจ้าจะได้อยู่ในฐานะเมียของข้าได้อีกไม่นาน”

“น้องไม่ยอม!” นางอรดีสะอึกสะอื้นจนตัวโยน นางรู้ว่าสามีของนางพูดแล้วสามารถทำได้แน่นอน “หากพี่ทิ้งน้อง พี่จะไปบอกแก่ทุกคนอย่างไร น้องเป็นเมียที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่มานานปีนะเจ้าคะ อีกประการหนึ่งท่านราชองครักษ์โสมก็เป็นบุรุษ พี่จะอธิบายรสนิยมนี้ให้ทุกคนเข้าใจอย่างไรเจ้าคะ”

“มันเป็นเรื่องของข้า!” ชายหนุ่มตาลุกโพลง น้ำเสียงและสีหน้าเกรี้ยวกราดจนหญิงสาวสะดุ้งตกใจกลัว

นางเป็นเมียธรรม์และอยู่ด้วยกันมานานจึงรู้ว่าเขาเป็นคนจำพวกโมโหร้ายและอารมณ์รุนแรง แต่เขาไม่เคย

ใช้กำลังทำร้ายนางเพราะเขามีวิธีทำให้นางหวาดกลัวและเจ็บปวดได้ด้วยวิธีอื่นอีกมากมาย

“ตัวเจ้าในวันนี้ยังมีประโยชน์ก็จงทำตัวให้เป็นประโยชน์เสีย อย่าได้ทำให้ข้าคิดว่าเจ้าไร้ประโยชน์เร็วกว่าที่ข้ากะการณ์เอาไว้ หาไม่แล้วจากที่คิดจะปรานีให้ทุนไปตั้งตัวบ้างก็จักไม่เหลืออะไรเลยเลยแม้ชีวิต!” พูดจบชายหนุ่มก็ผลุนผลันออกจากห้องด้วยอารมณ์ร้ายราวกับพายุลูกใหญ่

ทิ้งให้นางอรดีนั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในห้องราวกับโลกของนางใกล้ถึงกาลอาวสานในเร็ววัน นางคร่ำครวญเจ็บช้ำอยู่นานโขกว่าจะรวบแรงกายแรงใจลงมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยกลับห้องแต่ทันทีที่เปิดบานประตูออกชายหนุ่มร่างผอมสูงในชุดดำสนิทปิดมิดชิดตั้ง แต่หัวจรดเท้าก็ก้าวออกมาขวางหน้าเอาไว้

ชายหนุ่มไม่สมัครใจจะออมาอาศัยในเมืองก็จริง แต่ช่วงนี้เขาเกิดอยากมากระตุ้นความคิดเบื้องต่ำของนางอรดีเพื่อที่จะได้เอาเป็นสมัครพรรคพวกจึงได้ออกมาค้างที่เรือนในเมืองแห่งนี้อีกทั้ง การคอยจับตาดูคนแสดงความชั่วด้านมืดออกมาช่างน่าอภิรมย์นัก เขาไม่มีทางพลาดความสนุกสนานเช่นนี้แน่

“พี่ข้าประกาศว่าจะทิ้งเจ้าเสียลั่นเรือน บ่าวไพร่ได้ยินคงนำไปจำนรรจากันเสียสนุกปากแล้ว” เสียงแหบเปี่ยมไปด้วยความสะใจที่น่ารังเกียจ

“อย่ายุ่งกับข้าอีกเลย” นางอรดีเดินเลี่ยงน้องสามี

“เจ้าจะปล่อยให้ราชองครักษ์สัปดนนั่นแย่งพี่ของข้าไปจากเจ้าได้งั้นหรือ” เขายังก้าวเข้ามาดักหน้าเพื่อพ่นพิษใส่จิตใจด้านมืดของหญิงสาวผู้กำลังทุกข์ตรมจนไร้สติ

“แล้วข้าจะทำอย่างไรได้ เจ้าก็ได้ยินว่าเขาพูดตัดรอนข้าอย่างไร” นางตอบเสียงเครือเจือสะอื้น มืดแปดด้านไร้ทางออก

“ต้องมีสักวันที่ชู้รักของพี่ธรรม์จะมาอยู่ในเงื้อมมือเรา” เขาพูดราวกับเป็นคำพยากรณ์ “ถึงครานั้น ข้าย่อมต้องให้เจ้าเป็นผู้ลงมือสังหารมันด้วยมือตัวเอง”

“จะมีโอกาสนั้น จริงๆหรือ” นางอรดีถามเสียงสั่น

“มีแน่” เขาหัวเราะด้วยเสียงราวกับปีศาจกำลังพบสิ่งชวนรื่นเริง ทำให้คนฟังขนลุกขนพองและตัวสั่นด้วยความกลัวอย่างช่วยไม่ได้ “มันจะตกมาอยู่ในกำมือข้า ทำให้ข้าได้สนุกสนานมากกว่าที่เคยเป็น และข้าจะแบ่งให้เจ้าได้สนุกด้วย หากเจ้าเห็นด้วยกับข้าก็จงเริ่มปลุกปั่นพวกเราให้กดดันพี่ของข้ามากๆ เมื่อเราจับเจ้าราชองครักษ์คนนั้นได้แล้ว พี่ของข้าจะได้ไม่สามารถยื่นมือเข้าช่วยเหลือมันได้สะดวกดาย”

“ข้า…” นางอรดีลังเล เรื่องสนุกสนานของเขานั้น ออกจะน่าสะอิดสะเอียนสำหรับคนธรรมดา แต่ความรักที่มากเกินไปและความกลัวที่จะต้องสูญเสียสามีทำให้คนที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้วอย่างนางได้แต่วางเดิมพันครั้ง สุดท้ายด้วยการทุ่มสุดตัว “ข้าเห็นด้วยกับเจ้า หากมีสิ่งใดให้ข้าช่วยก็ว่ามาได้เลย”

เขาแผดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ยินดีปรีดาที่ได้ชักจูงคนให้หลงมาในความมืดมิดได้สำเร็จอีกหนึ่งคน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version