Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 47

ตอนที่ ๔๗

ฝนเลือด

อาทิตย์ลาลับขอบฟ้าก่อนจะแทนที่ด้วยจันทราดวงโต แม่เฒ่านั่งอยู่ริมหน้าต่างของกระท่อมหลังเก่าของนางเพื่อเย็บผ้าที่เริ่มขาดวิ่นโดยอาศัยแสงเทียนและแสงจันทร์อำนวยสะดวกแก่สายตาอันพร่าเลือนของนาง ฉับพลันดวงจันทร์ก็ถูกบดบังด้วยเมฆสีทะมึนซึ่งทำให้แม่เฒ่าต้องเงยหน้าขึ้น มองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ลมพายุโบกกรรโชกแรงจนกระท่อมของนางสั่นไหวก่อนที่พายุฝนจะพัดกระหนํ่าลงมา แม่เฒ่าร้องเสียงหลงด้วยความกลัวเพราะไม่เคยเจอพายุฝนที่เกรี้ยวกราดขนาดนี้มาก่อนแล้วก็ต้องตกใจมากขึ้น เมื่อฝนที่สาดเข้ามาหาตัวนางนั้น คือเลือด

เสียงกรีดร้องโหยหวนของนางดังขึ้น พร้อมกับเสียงกรีดร้องของคนบ้านใกล้เรือนเคียงซึ่งในเวลาต่อมาได้กลายเป็นเสียงกรีดร้องของชาวกณวรรธน์นคร

คืนนั้น ราชันไพรสัณฑ์ประกาศแก่ชาวกณวรรธน์นครด้วยเสียงดังก้องฟ้าว่าแม่หญิงจันทรวดีพิโรธที่ชาวเมืองไม่สามัคคีกันจึงได้สาปฝนเลือดลงมา หากผู้ใดไม่อยากทนทุกข์ทรมานด้วยฝนเลือดจงงดดื่มน้ำ แล้วควํ่าโอ่งทุกใบเพื่อทำความสะอาดในตอนสายและเตรียมพร้อมสำหรับรองน้ำฝนครั้งใหม่

ชาวเมืองผู้ขวัญหายต่างก้มกราบอ้อนวอนขอความเมตตาจากแม่หญิงจันทรวดีและพากันปฏิบัติตามรับสั่งของราชันไพรสัณฑ์อย่างเคร่งครัด

เหตุการณ์นี้ขัดขวางแผนการร้ายของธรรม์เอาไว้ได้ชะงัด เนื่องจากฝนเลือดที่กระหนํ่าอย่างหนักทำให้ไม่มีใครสามารถออกจากเรือนพักไปปฏิบัติภารกิจได้ ธรรม์ได้แต่จ้องมองฝนเลือดซึ่งรู้ว่าเป็นฝีมือของราชันไพรสัณฑ์ด้วยความคับแค้นใจและเริ่มสงสัยว่าบางทีอาจมีเกลือเป็นหนอน แผนการที่ได้มีการวางแผนเอาไว้อาจล่วงรู้ไปถึงอีกฝ่ายได้ ดังนั้น ทางเดียวที่เหลืออยู่สำหรับเขาก็คือการลงมืออย่างกะทันหันและเขาเลือกคืนนี้เป็นวันทำการ!

รุ่งเช้าของกณวรรธน์นครนั้น มีแต่เลือดนองแผ่นดินแสดงให้เห็นถึงลางร้ายและอาถรรพ์ ชาวเมืองต่างไม่กล้าออกจากเรือนกันจนกว่าจะถึงยามสาย โอ่งทุกใบถูกคว่ำและล้างอย่างสะอาดเอี่ยมเพื่อเตรียมรับน้ำฝนครั้งใหม่ จะมีเพียงหมู่บ้านซึ่งธรรม์ตั้งตนเป็นผู้ปกครองเท่านั้น ที่ไม่ปฏิบัติตามแม้จะอกสั่นขวัญแขวนจากฝนเลือดเมื่อคืนก่อนก็ตาม แต่ในเมื่อผู้นำของพวกเขายืนกรานว่าไม่จำต้องทำตามรับสั่งถึงเพียงนั้น อีกทั้งฝนเลือดไม่ได้ปะปนกับโอ่งน้ำดื่มจึงไม่อาจต้องอาถรรพ์ด้วยแต่อย่างใด ทุกคนจึงออกมาใช้ชีวิตและดื่มน้ำจากโอ่งกันตามปกติ

มีเพียงชายที่ถูกเรียกว่ามานพคนเดียวเท่านั้น ที่อ้างกับทุกคนว่าป่วยแล้วเก็บตัวอยู่ในบ้านพักเพื่อเลี่ยงไม่ให้ใครรู้ว่าตนไม่ดื่มน้ำจากโอ่งและเอาแต่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างรอคอย จนกระทั่งใกล้เที่ยงท้องฟ้าที่แจ่มใสพลันมีเมฆสีเทาเคลื่อนเข้าปกคลุม เกิดเสียงคำรามของท้องฟ้าอยู่ชั่วครู่ก่อนที่สายฝนอันชุ่มฉ่ำและใสสะอาดจะเทลงมาจากฟ้าราวกับน้ำทิพย์ ชายหนุ่มจึงค่อยเดินออกไปวางกระบอกไม้ไผ่ว่างเปล่าทั้งสี่ประบอกของตนที่หน้าเรือนแล้วตากฝนอาบน้ำด้วยความสบายใจ

เมื่อร่างกายสดชื่นพอแล้วชายหนุ่มจึงกลับเข้ามาในเรือนพร้อมกระบอกน้ำอันเต็มเปี่ยมเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและรอคอยให้ฝนหยุดตก สีแดงฉานจากฝนเลือดนั้นถูกชะล้างออกไปเผยความงามของธรรมชาติที่เหมือนจะเปล่งประกายมากกว่าเดิม เขาเฝ้ามองดูอย่างเงียบๆ และพึงพอใจพลางดื่มน้ำด้วยความใจเย็น เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงฝนก็หยุดตก ท้องฟ้ากระจ่างใสและแสงแดดอบอุ่นอาบไล้ไปทั่วแผ่นดิน

ชายหนุ่มยังคงรอคอยไปอีกหนึ่งชั่วโมงถึงค่อยก้าวลงจากเรือนพร้อมกระบอกน้ำมันและวัตถุติดไฟ มีคนเฝ้าเรือนปรุงยาอยู่สองนายแต่เขากำจัดได้โดยไม่เปลืองแรงนักก่อนจะสาดของเหลวสีดำกลิ่นเหม็นหืนเข้าไปในเรือนปรุงยาอย่างถ้วนทั่ว วัตถุติดไฟเป็นประกายรุกเริง เมื่อมันถูกโยนลงไปในที่ชุ่มน้ำมันเปลวไฟลูกใหญ่ก็ลุกพรึ่บขึ้น และลามไปทั่วทุกบริเวณด้วยความรวดเร็ว เขามองดูด้วยความสาสมใจเพียงครู่เดียวแล้วรีบเร้นกายหนีออกจากที่นั่นโดยไม่มีใครจับได้

เมื่อธรรม์มาถึงที่เกิดเหตุก็พบเพียงศพและเรือนปรุงยาที่เพลิงไฟโหมไหม้ยากจะดับ ชายหนุ่มกัดฟันแน่นด้วยความแค้น ดวงตาแดงฉานด้วยความอาฆาต ร่างสั่นสะท้านด้วยความโกรธเกรี้ยว ไฉนเขาจะไม่ทราบว่านี่เป็นฝีมือคนของศัตรู เพียงแต่ช่างน่าเจ็บใจที่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นใครและในเมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น แล้วคงจับมือใครดมไม่ได้อีก

“ท่านธรรม์ มานพหายไปขอรับ” หัวหน้าผู้ติดตามตรงเข้ามากระซิบด้วยความร้อนรน เขาสังเกตเห็นว่าพักนี้มานพมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปซึ่งอาจไม่ได้มีสาเหตุจากเรื่องที่มารดาเสียชีวิตก็ได้ แต่เพราะเขาไม่มีเหตุผลมาสนับสนุนจึงไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควร ครั้นเกิดเรื่องไม่คาดฝันนี้จึงได้ฉุกใจไปตามหาผู้ต้องสงสัยแต่กลับไม่พบตัวทั้งที่เจ้าตัวขอลา

พักโดยอ้างว่าป่วยแท้ๆ ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงว่ามานพจะทรยศหักหลังเสียแล้ว

“ป่านนี้มันคงหนีไปได้ไกลแล้ว” ธรรม์กัดฟันพูดด้วยความแค้นเสียจนทำอะไรไม่ถูก

“กระผมสังเกตมานานแล้วว่ามานพมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปมากในช่วงนี้แต่ไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นผู้ทรยศไปได้”

“เจ้าบอกว่ามันมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือ ถึงขั้นเปลี่ยนไปเป็นคนละคนหรือไม่”

“ก็ไม่ถึงขั้นนั้นขอรับ แต่บางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนไปแม้แต่บุคลิกและคำพูดจาซึ่งเมื่อแรกทุกคนคิดว่าเป็นเพราะยังคงเสียใจเรื่องมารดาที่เพิ่งตายไป”

“เจ้ามานพนั่นคงจะตายเป็นผีไปก่อนหน้านั้นแล้ว ข้าพอจะรู้แล้วว่าไอ้มานพที่เราพูดคุยด้วยเป็นใคร” ชายหนุ่มกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนและเล็บจิกเข้าเนื้อ จนเลือดไหลซึมตามร่องนิ้ว “หิรัญ!”

หิรัญเดินทางมาที่หน้าประตูพระราชวังและแจ้งเจตจำนงเข้ามอบตัว เหล่าทหารยามต่างพากันมองเขาด้วยความยำเกรง แต่เมื่อเขายอมนั่งนิ่งและยอมให้จับมัดก็พากันโล่งใจ จนกระทั่งทหารภูตมารับตัวและได้จับมัดด้วยอาคมแรงกล้ากว่า เขาจึงถูกพาไปพระตำหนักสุริยันตามรับสั่งของราชันไพรสัณฑ์

หิรัญคุกเข่าลงตรงหน้าราชันไพรสัณฑ์และพระมเหสีโสมโดยไม่ต้องให้ใครกระซิบบอก จิตใจของเขายังเต็มไปด้วยความจงรักภักดีอย่างยิ่ง แม้ว่าหลังจากนี้ชีวิตของเขาจะต้องดับสูญไปเพราะความผิดที่ได้ก่อแก่พระมเหสีเขาก็ไม่เก็บไปโกรธเคืองเพราะชีวิตนี้ของเขาอยู่รอดมาได้ก็เพราะราชันไพรสัณฑ์ทั้งสิ้น!

“แก้มัดให้ราชองครักษ์หิรัญ” ราชันหนุ่มรับสั่งสั้นๆ แต่ทำให้เหล่าทหารภูตที่กำลังนึกลำบากใจตกตะลึงไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะรีบช่วยกันแก้มัดด้วยความยินดี “ลำบากเจ้ามากแล้วหิรัญ”

“หามิได้พระเจ้าค่ะ” ราชองครักษ์หิรัญเอ่ยเสียงแหบ “หลังจากที่ข้าพระพุทธเจ้าทำความผิดร้ายแรงแก่พระมเหสีแล้วพระองค์ยังให้ความเมตตาก็ถือวาสนาเกินกว่าที่ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่าจะได้รับแล้วพระเจ้าค่ะเพราะฉะนั้น ต่อให้ต้องตาย ข้าพระพุทธเจ้าก็จะทำตามพระประสงค์พระเจ้าค่ะ”

“แหม… เวลามีผู้ชายสองคนมาพูดจาซึ้งๆ ให้กันแล้วทำให้ฉันเกิดความปิติเหลือเกิน” โสมแกล้งแหย่ แต่ทำให้ผู้ชายสองคนสำลักขึ้น มาทันที

“นี่เขาเรียกว่าความรัก!”

“ไม่ใช่ความรักอะไรทั้งนั้น ส่วนเจ้าก็เลิกพูดจาน่าขนลุกเช่นนั้นได้แล้ว”

“หิรัญ”

“พระเจ้าค่ะ”

“เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยเชียว” หญิงสาวแสร้งทำท่าประทับใจสุดท้ายจึงถูกราชันจับยัดส้มใส่ปากเพื่อที่ปากจะไม่ว่างมาพูดจาระรานคนอื่นเขา

“ด้วยความชอบที่เจ้าทำ ข้าจะคืนตำแหน่งให้เจ้า จงรีบรายงานมาว่าสถานการณ์ทางฝ่ายนั้นเป็นอย่างไร” ราชันไพรสัณฑ์รีบพูดเข้าเรื่องเพราะเกรงจะชักช้าไม่ทันการณ์

“ข้าพระพุทธเจ้าวางยาพิษสาปจันทราลงในโอ่งน้ำดื่มของหมู่บ้านธรรม์และธรรม์สั่งไม่ให้ใครคว่ำโอ่งเพราะไม่ต้องการทำตามที่พระองค์ประสงค์ ดังนั้นจึงแน่ใจได้แล้วว่าพวกเขาโดนพิษนั้นแล้ว ก่อนจากมานี้ข้าพระพุทธเจ้าได้เผาเรือนปรุงยาหลังนั้นทิ้งแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นยาแก้พิษหรือยาพิษอื่นใดล้วนถูกพระเพลิงทำลายจนหมดสิ้น”

“ทำได้ดีมาก” ทรงชมเชย

“แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าพระพุทธเจ้ายังติดค้างอยู่ในใจ” ราชองครักษ์หิรัญเหลือบมองพระบาทของพระมเหสีโสมด้วยความละอายใจ

“ข้าพระพุทธเจ้าได้ทำความผิดต่อพระมเหสีและยังไม่มีโอกาสได้ชดใช้ให้ขอทรงพระกรุณาลงทัณฑ์าพระพุทธเจ้าด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ”

“จะให้ฉันฆ่าท่านหรือเปล่า” โสมเอ่ยขึ้น แต่ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ “ตอนนี้บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย ฉันไม่อยากฆ่าคนที่ยังใช้ประโยชน์ได้หรอก รอให้ท่านหมดประโยชน์เมื่อไหร่ฉันจะฆ่าท่านทันทีเลย ดีหรือไม่”

“พระมเหสี” หิรัญครางด้วยความละอายและปลาบปลื้ม พระนางรู้นิสัยของเขาว่าจะไม่ยอมลดความรู้สึกผิดลงหากไม่ได้รับโทษ ดังนั้นจึงรับสั่งเชือดเฉือนให้เขารู้สึกเจ็บยอกใจว่าหากเขาหมดประโยชน์เมื่อไหร่จะฆ่าทันที ทั้งที่ทรงทราบอยู่แล้วว่าเขาไม่สามารถทำตัวไร้ประโยชน์ต่อราชันไพรสัณฑ์ได้!

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณแล้วพระเจ้าค่ะ”

ราชันไพรสัณฑ์กุมมือของโสมไว้ด้วยความชื่นชม นางจะรู้หรือไม่ว่าบัดนี้นางซื้อใจหิรัญและเหล่าทหารภูตที่ยืนฟังอยู่ไว้ได้ นับแต่นี้ทุกคนรวมทั้งหิรัญจะยอมมอบกายถวายชีวิตเพื่อนาง!

“ไปพักผ่อนเถอะหิรัญ คืนนี้เรามีงานใหญ่ที่ต้องจัดการ” รับสั่งด้วยรอยแย้มพระโอษฐ์ชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดรอยยิ้ม บนใบหน้าของหิรัญเช่นกัน

“พระเจ้าค่ะ!”

เมื่อได้อยู่กันตามลำพังโสมก็เอนกายเข้าหาพระสวามีด้วยกิริยาออดอ้อนน่ารัก ราชันไพรสัณฑ์ทรงทราบว่าการที่นางทำแบบนี้ย่อมมีสิ่งที่ต้องการขอจากพระองค์

“คืนนี้ท่านจะออกไปจับธรรม์ ส่วนทหารภูตกับทหารเสือก็จะออกไปสังหารพวกกบฏ แต่ฉันอยู่ที่พระตำหนักคนเดียว เหงาจะตายไปเนอะ”

“ไม่เหงาหรอกจ้ะ ข้าจะแบ่งกำลังทหารภูตส่วนหนึ่งเอาไว้คอยอารักขาเจ้าที่นี่”

“แหม… แต่มันก็ไม่เหมือนกับการที่ท่านจะได้เห็นฉันอยู่ในสายตาตลอดเวลา จริงไหม”

“ข้าจะไปฆ่าคนนะโสม หากมัวแต่มองเจ้า ข้ามิต้องโดนเขาฆ่าตายหรอกหรือ”

“พูดอย่างกับฉันเป็นตัวถ่วง อย่าลืมนะว่าฉันน่ะก็ไม่ใช่ย่อยหรอก”

“ไม่ใช่ย่อยเลย ขนาดอุ้มท้องลูกอยู่ยังอยากจะกระโจนเข้าไปในวงฆ่าฟัน ไม่คิดบ้างหรือว่าหากกระทบกระเทือนลูกขึ้น มาแล้วจะเป็นอย่างไร ข้าไม่อยากสูญเสียทั้งเจ้าและลูกนะ”

“ทำไมท่านดักทางฉันได้หมดเลย แบบนี้มันไม่ยุติธรรม” โสมถอนหายใจยอมแพ้ต่อเหตุผลของราชันไพรสัณฑ์

“โลกนี้ไม่มีความยุติธรรมจริงๆ หรอก ส่วนใหญ่เราจะพูดว่าสิ่งใดยุติธรรมก็ต่อเมื่อเราเป็นฝ่ายได้ประโยชน์หรือรู้สึกเห็นด้วยกับเรื่องนั้นเท่านั้น” ราชันหนุ่มทรงพระสรวลเบาๆ “ข้าสัญญาว่าจะรักษาชีวิตเอาไว้ เจ้าจะได้ไม่ตายไปด้วย แค่นี้พอหรือไม่”

“พอก็ได้” หญิงสาวพูดเสียงออดๆ เป็นมอดแทะไม้

“เด็กดี” รับสั่งยั่วเย้าแล้วประทานจุมพิตเบาๆ ให้แก่นาง “อยู่ที่นี่เถอะนะ การออกไปฆ่าคนน่ะไม่สนุกหรอกจ้ะ คนที่เราฆ่าน่ะเขาอาจจะเป็นสามี เป็นลูก เป็นพ่อคน หรือมีญาติพี่น้องเหมือนกับเรา เมื่อมีการตายก็ย่อมมีคนต้องเจ็บปวดสูญเสียซึ่งความเจ็บปวดและการสูญเสียของเขาก็เหมือนกับเรานี่ล่ะจ้ะ”

“ฉันรู้” เธอพูดเสียงเบา “ฝนเลือดของท่านเหมือนลางบอกเหตุร้ายอย่างไรก็ไม่รู้ พวกกบฏคงไม่รู้ตัวว่าฝนเลือดห่าต่อไปก็คือเลือดจากพวกเขา คิดแล้วมันก็ปวดใจและน่าเศร้านะ”

“ทั้งเราทั้งเขาต่างทำในสิ่งที่ตนเชื่อและคิดว่าจำเป็นต้องทำทั้งนั้น หากใครอ่อนแอย่อมต้องพ่ายแพ้ให้แก่คนที่เข้มแข็ง กฎของโลกในตอนนี้ก็มีเพียงเท่านี้ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงมันได้ในทันทีหรอก”

ใช่! กฎของโลกในตอนนี้คือพลังที่น้อยกว่าย่อมพ่ายแพ้ต่อพลังที่มากกว่า!

เมื่อตะวันยอแสงยามสายันต์ ธรรม์ได้เรียกระดมพลอย่างกะทันหันและแจ้งต่อทุกคนว่าจะทำการบุกเข้าพระราชวังในคืนนี้ ขอให้ทุกคนปลุกเสกของขลังและปลุกชีพโหงพรายอีกทั้งกุมารไว้สำหรับใช้ค้นหาสถานที่เป้าหมาย คำสั่งนี้ทำให้ทุกคนตกใจและหวาดหวั่นเพราะการบุกเข้าพระราชวังเป็นเรื่องใหญ่ เกรงว่าอาศัยกำลังของพวกเขาเท่านั้น

คงจะพ่ายแพ้

“ข้าขอยืนยันว่าพวกเจ้าล้วนเก่งกล้าสามารถทัดเทียมทหารภูต เหลือเพียงใจของพวกเจ้าเท่านั้น ที่ชอบบั่นทอนตัวเอง” ธรรม์ประกาศเสียงกร้าว “ตอนนี้พวกเจ้าไม่มีทางเลือก หากไม่สู้ก็ต้องตายเพราะตอนนี้ราชันไพรสัณฑ์ได้เพ่งเล็งเราเอาไว้แล้ว”

สิ่งที่ธรรม์พูดทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอึงมี่

ชายหนุ่มกัดฟันแน่นด้วยความไม่ได้ดั่งใจแต่เขารู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด เขาเงยหน้าขึ้น เพื่อที่จะกล่อมให้อารมณ์ของตนเยือกเย็นลงจ้องมองเมฆสีดำค่อยๆ เคลื่อนหายไปจากม่านฟ้า เผยให้เห็นดวงจันทร์

เต็มดวงที่ค่อยๆ เลื่อนขึ้น ครอบครองท้องนภาอย่างโดดเดี่ยว

“โอ๊ะ!”

แรงบีบเสียดท้องที่เร่งรัดอยู่ทำให้เขาสะดุ้งน้อยๆ แล้วรอคอยให้อาการหายไป แต่ดูเหมือนว่ายิ่งนาน ท้องไส้ก็เริ่มบีบรัดและปั่นป่วนมากขึ้น เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดอีกหลายเสียงทำให้เขารู้ว่าไม่เพียงเขาคนเดียวเท่านั้น ที่กำลังเผชิญกับความเจ็บปวด แต่เป็นชายฉกรรจ์ในกองกำลังของเข้าทั้ง หมด!

มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น!

ธรรม์ทรุดลงกับพื้น ด้วยความเจ็บปวดจนเกือบทานทนไม่ได้ เขารู้สึกถึงมืออันไร้รูปกำลังบีบขยำลำไส้ เหงื่อกาฬผุดพรายและรู้สึกเหมือนถูกโยนเข้าไปในกองไฟ ไม่นานเขาก็อาเจียนอย่างหนัก ดวงตาพร่าลายและเรี่ยวแรงเริ่มเสื่อมถอย เขาพยายามกระเสือกกระสนพาตัวเองลุกขึ้นยืนแต่ไม่อาจทำได้ ครั้นแล้วหางตากลับเหลือบเห็นอาภรณ์ของใครบาง

คนอยู่ข้างๆ จึงเอ่ยปากสั่งให้พยุงตนขึ้น โดยไม่ทันคิดว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่มีอาการทุรนทุรายเช่นพวกตน

“พยุงลุกขึ้น อย่างนั้นหรือ” เสียงที่เอ่ยออกมาด้วยความเจ็บแค้นเป็นเสียงของสตรี ธรรม์เงยหน้าขึ้น หรี่ตามองจนกระทั่งเห็นชัดจึงรู้ว่าเป็นนางสุวิมล ดวงตาคู่นั้นจ้องมองเขาด้วยความโกรธแค้นชิงชังและในมือมีมีดเล่มหนึ่ง “บอกเหตุผลสิว่าทำไมข้าถึงต้องช่วย”

ชายหนุ่มกระอักและอาเจียนออกมาอีกครั้งขณะพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก ทั้งฝนเลือด คว่ำโอ่ง ไฟไหม้เรือนปรุงยาและอาการเจ็บป่วยของชายฉกรรจ์ในกองกำลัง ทั้งหมดนี้เพิ่งกระจ่างตรงหน้าว่าเขาโดนราชันไพรสัณฑ์ซ้อนแผนให้เสียแล้ว และเหตุผลที่นางสุวิมลไม่ถูกพิษไปด้วยนั่นเป็นเพราะนางไม่ได้อาศัยอยู่เขตที่ตั้ง ของกองกำลัง!

“เจ้า! มาได้ยังไง” ชายหนุ่มกัดฟันพูดด้วยความยากลำบาก

“ตอนแรกก็ไม่คิดว่าโชคจะเข้าข้างให้ข้าได้พบท่านในสภาพนี้หรอกนะ แต่ท่านคงไม่ลืมว่าได้ทำอะไรกับข้าไว้บ้าง” นางสุวิมลหัวเราะเสียงแหลมเสียดหู ดวงตามืดมัวด้วยความมาดร้าย “ข้าเพียงแค่ต้องการมาแอบดูหน้าท่านเพื่อบรรเทาความแค้นลงเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่านี่เป็นโอกาสดีสำหรับการแก้แค้น… ว่าไหมล่ะ”

นางสุวิมลหัวเราะเสียงดังก่อจะลงมือแทงมีดลงที่ท้องของธรรม์จนมิดด้าม เลือดมากมายหลั่งทะลักออกมาจากแผลพร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

ธรรม์รวบรวมกำลังเพื่อดึงมีดนั้นออกจากท้องของตน แล้วแทงไปยังตำแหน่งหัวใจของคนที่กำลังหัวเราะเยาะด้วยความสะใจอยู่ เขาเห็นดวงตาของนางเบิกโพลงด้วยความคาดไม่ถึง แต่เมื่อดวงตานั้นหลุบลงมามองเขามันก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นแววตาของการจองเวรจนกระทั่งนางสิ้นชีวิตลงและเขาทิ้งตัวลงนอนตัวงอกับพื้น ด้วยความเจ็บปวดเจียน

ตาย

“ดูเหมือนว่าข้าไม่จำเป็นต้องลงมือกับเจ้ามากมายเท่าไรนี่” เสียงที่ดังอยู่เหนือร่างทำให้ธรรม์พยายามพลิกกายขึ้น มองผ่านสายตาอันพร่าลาย อาการบีบเกร็งในท้องของเขานั้น ยังคงทรมานไม่ไปไหนและยิ่งเร่งรัดให้เขาอาเจียนมากยิ่งขึ้น แม้กระทั่งไม่เหลืออะไรให้อาเจียนแล้วก็ตาม หูของเขาเริ่มมีเสียงดังอื้อ แต่ก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะของชายที่ยืนค้ำ อยู่เหนือร่างตน

“สภาพน่ารังเกียจไม่เบาเลยนะ เป็นอย่างไรบ้างล่ะ… พิษสาปจันทราน่ะ ทรมานมากหรือไม่”

“แกเป็นใคร!” เขาเค้นเสียงถามด้วยความยากลำบาก เงาร่างทะมึนมืดโน้มต่ำลงมาจนกระทั่งเขาเห็นหน้ากากภูตเต็มหน้าลอยอยู่ใกล้ๆ

หัวใจของเขาหยุดเต้นไปชั่วอึดใจหนึ่งก่อนจะสะบัดร้อนสะบัดหนาวและทุกข์ทรมานยิ่งกว่าเดิมราวกับกำลังตกนรกหมกไหม้ เขารู้ตัวว่ากำลังโดนอาถรรพ์คำสาปหน้ากากภูตเล่นงานไปพร้อมๆ กับพิษสาปจันทราและพิษบาดแผลที่ถูกแทง

“จำเสียงกันไม่ได้หรอกหรือรุ่นพี่” เสียงสรวลนั้น ทำให้ธรรม์ขนลุกเยือก

“ไพรสัณฑ์!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version