ตอนที่ ๙
ธรรม์
โสมรู้สึกเหมือนกำลังหลงอยู่ในเขาวงกต ความหนักใจยิ่งเพิ่มทวีเมื่อไม่สามารถที่จะไว้ใจใครได้สักคน ธรรม์ไม่น่าไว้ใจตรงจุดยืนของเขา ส่วนราชันไพรสัณฑ์ไม่น่าไว้ใจตรงที่ไม่รับสั่งบอกความจริงแก่เธอทั้งหมด ฉะนั้น จึงทำให้ทหารภูตทุกคนไม่น่าไว้ใจตามไปด้วย แล้วอย่างนี้จะทำยังไงถึงจะแน่ใจว่าสิ่งที่คิดจะทำลงไปเป็นผลดีต่อกณวรรธน์นครโดยที่ไม่เอื้อผลประโยชน์ให้แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
หลังจากเปลี่ยนตัวเองกลับมาอยู่ในคราบบุรุษแล้ว เธอพาตัวเองกลับที่พักโดยพยายามหลบเร้นจากสายตา
ของทุกคน
“กำลังจะไปไหนรึท่านโสม” สุรเสียงคุ้นหูเอ่ยเรียกในความมืดทำให้หญิงสาวสะดุ้งตกใจ
เธอหันหลังไปอย่างช้าๆ พบวรกายสูงใหญ่ก้าวออกมาจากความมืดเหมือนปีศาจราตรีจึงได้แต่ถอนใจ คนที่คิดจะจะเลี่ยงที่สุดอยู่ตรงนี้เสียแล้ว
“แหม… นึกว่าใคร ที่แท้ก็ราชันไพรสัณฑ์นี่เอง” โสมแสร้งทำเสียงอ่อนระโหย “ความจริงวันนี้มีอะไรดีๆ จะเล่าให้ฟังนะ แต่ตอนนี้เหนื่อย อยากไปพักที่เรือนพัก เอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยเล่าให้ฟังก็แล้วกัน”
พูดจบก็หมุนตัวเตรียมเผ่นอย่างเร็วรี่แต่กลับโดนพระหัตถ์ใหญ่กุมไหล่เอาไว้แน่นจนสะบัดหรือบิดไหล่ออกจากการจับกุมไม่ได้ โสมเชื่อว่าหนีไม่รอดเสียแล้วจึงต้องยกเรื่องที่เกี่ยวกับธรรม์มาพูดตอนนี้ทั้งที่สภาพอารมณ์ยังไม่พร้อมอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ท่านรู้จักสนิทสนมกับธรรม์ไหม” หญิงสาวสัมผัสได้ถึงกระแสอารมณ์ที่ถ่ายทอดมาจากพระหัตถ์ใหญ่ที่กุมไหล่เธออยู่ “วันนี้ฉันไปพบเขามา เขาพูดอะไรกับฉันมากมายจนฉันคิดว่ามีอีกหลายสิ่งที่ฉันไม่ควรด่วนตัดสินใจ”
“ธรรม์ยอมพบกับเจ้ารึ” ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งถามอย่างแปลกพระทัยนิดๆ
“ฉันว่าเราไปคุยกันที่พระตำหนักสุริยันดีกว่านะ” หญิงสาวเดินนำไปพระตำหนักสุริยันทันที
เมื่อถึงพระตำหนักสุริยัน หญิงสาวขอร้องให้ราชันไพรสัณฑ์เสด็จเข้าพระตำหนักไปก่อนโดยเธออยู่ด้านนอกสงบจิตใจเงียบๆ สักพักเพื่อไม่ให้จิตใจสับสน หลังจากนั้น เธอค่อยเดินเข้าพระตำหนักจนกระทั่งทิ้งตัวลงนั่งบนแท่นเล็กใกล้พระแท่นของราชัน
“ฉันจะไม่อ้อมค้อมล่ะนะ ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับธรรม์เป็นอย่างไรกันแน่” หญิงสาวยิงคำถามตรงๆ
“ไม่คิดจะให้ข้าถามเจ้าก่อนรึว่าไปพบกับธรรม์ได้อย่างไร” ราชันหนุ่มรับสั่งถาม นั่งชันพระชานุขึ้นหนึ่งข้างอย่างสบายพระทัย
“มันไม่สำคัญเท่าความจริงที่ฉันเพิ่งรู้ว่าถูกท่านหลอกลวงมาตลอดหรอกราชันไพรสัณฑ์” โสมพูดเสียงเบาแทบจะเป็นกระซิบ
“ไม่ได้หลอกลวง แค่บอกไม่หมด” ราชันหนุ่มยังรับสั่งตอบด้วยพระสุรเสียงสบายๆ “เอาเป็นว่าข้าผิดที่ไม่บอกท่านทั้งหมดก็แล้วกัน แต่กระนั้น ท่านก็ยังสามารถระแคะระคายแล้วเข้าถึงตัวธรรม์ได้ นับว่าท่านมีความสามารถ”
โสมนึกอยากจะชกพระพักตร์ราชันหน้ากากภูตพระองค์นี้สักหนึ่งทีให้หายแค้นเคืองเพราะพระองค์ยอมรับออกมาแล้วว่าไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดให้เธอรู้ รวมถึงความจริงอีกข้อหนึ่งคือเธอถูกพระองค์ทดสอบอยู่ตลอดเวลา
“ธรรม์เป็นอดีตทหารภูตที่ร่วมฝึกมากับข้า”
โสมอ้าปากค้างอย่างไม่คาดคิด เธอหาเหตุผลไม่ได้ว่าเหตุใดอดีตทหารภูตที่ร่วมฝึกมากับราชันไพรสัณฑ์จึงกลายเป็นคนเลวไปได้และถ้าหากทั้งสองคนร่วมฝึกด้วยกันมาจริงๆ แปลว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองต้องใกล้ชิดในระดับหนึ่ง
“ข้าเป็นทหารภูตที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา” ราชันไพรสัณฑ์เงียบไปคล้ายกำลังมีพระดำริถึงอดีตที่นานมาแล้ว “ตอนนั้น ข้าเพิ่งเข้าพิธีโกนจุกอย่างฉุกละหุกที่ลานประหาร ทูลกระหม่อมพ่อก็ส่งข้าเข้าป่าไปฝึกวิชาเพื่อเข้าเป็นทหารภูต ธรรม์เป็นคนที่ดึงให้ข้าเข้ากลุ่มจนข้าสามารถเข้ากับทหารภูตทั้งหมดได้ในที่สุด”
“เดี๋ยวก่อนสิ… ท่านบอกว่าเข้าพิธีโกนจุกที่ลานประหารงั้นหรือ ท่านเป็นถึงบุตรบุญธรรมของนลวรรณและคุณหมอกณวรรธน์ หากฉันคิดไม่ผิดตอนอยู่ที่นี่ทั้งสองคนมีอำนาจมากเลยไม่ใช่หรือ แล้วทำไม…” หญิงสาวงงเป็นไก่ตาแตก
นลวรรณเคยเล่าเรื่องของบุตรบุญธรรมให้ฟังว่ามีชีวิตอย่างไร แต่เรื่องเข้าพิธีโกนจุกที่ลานประหารเธอไม่ได้เล่าให้ฟัง เรื่องนี้น่าสนใจจนเธอละเลยไม่ได้
“ท่านบอกว่าคุณหมอ ‘กณวรรธน์’ อย่างนั้น รึ” ราชันหนุ่มรับสั่งถามสุรเสียงสูงอย่างควบคุมไม่ได้ “ชื่อนลวรรณเป็นชื่อที่ทูลกระหม่อมพ่อใช้เรียกทูลกระหม่อมแม่อย่างสนิทสนม อันนี้ข้ารู้ แต่คุณหมอ ‘กณวรรธน์’ ที่ท่านบอกว่าเป็นบิดาบุญธรรมของข้า ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน ไฉนคนผู้นั้นถึงได้มีชื่อเหมือนเมืองแห่งนี้”
“อ่า… คือว่า” หญิงสาวพยายามคิดว่าจะอธิบายให้พระองค์ฟังอย่างไรเพราะเห็นทีหากเธอไม่ตอบคำถาม พระองค์ก็คงไม่ตอบคำถามของเธอเช่นกัน “ในที่ที่ฉันจากมา ทั้งสองคนได้ครองคู่เป็นสามีภรรยากัน คุณหมอกณวรรธน์ที่ฉันพูดถึงก็คือบิดาของท่านยังไงล่ะ”
“ทูลกระหม่อมพ่อเป็นหมอและได้ครองรักกับทูลกระหม่อมแม่อย่างนั้นรึ” สุรเสียงของราชันไพรสัณฑ์เต็มไปด้วยความยินดีและความอาวรณ์ “ในที่สุดทั้งสองพระองค์ก็มีความสุขด้วยกันเสียที”
“ความจริงแล้วนลวรรณคิดถึงท่านนะ คุณหมอกณวรรธน์เองถึงแม้ไม่พูดอะไรตอนที่นลวรรณเล่าเรื่องท่านให้ฟัง แต่ดวงตาของคุณหมอก็มีท่านอยู่ เพียงแต่ว่าทั้งสองคนไม่สามารถมาหาท่านได้เท่านั้นเอง” อะไรก็ไม่ทราบทำให้เธออยากจะปลอบใจราชันผู้เงียบเหงาพระองค์นี้นั่นสินะ…
ชีวิตของพระองค์ทรงอุทิศให้ตำแหน่ง ‘ราชัน’ อยู่บนยอดเขาสูงเสียดฟ้าเพียงพระองค์เดียว เมื่อนลวรรณและคุณหมอกณวรรธน์จากไปก็คงเหงาและว้าเหว่มาก เหมือนความรู้สึกของเธอตอนที่พ่อพฤกษ์จากไป
“ข้ารู้” แล้วก็ทรงนิ่งไปราวกับกำลังปลาบปลื้มตื้นตัน ทำให้โสมตื้นตันไปด้วย
“ว่าแต่ท่านจะเล่าได้รึยัง ว่าทำไมถึงไปเข้าพิธีโกนจุกที่ลานประหารได้”
“วันนี้ข้ายังไม่สะดวกใจที่จะเล่า เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน” ราชันหนุ่มปฏิเสธดื้อๆ ทำให้คนที่ตั้งความหวังไว้เต็มที่แทบจะอ้าปากถึงพื้น
“ถ้าอย่างนั้น ท่านและธรรม์เป็นสหายกันใช่ไหม”
“ข้ามุ่งมั่นไว้แล้วว่าจะสำเร็จวิชาแล้วออกจากป่าให้เร็วที่สุดเพื่อกลับไปรับใช้ทูลกระหม่อมพ่อและทูลกระหม่อมแม่ เมื่อข้าเห็นธรรม์ซึ่งเก่งกาจทุกสรรพวิชาก็เกิดความชื่นชมในตัวเขา ยึดถือเขาเป็นแบบอย่าง”
สุรเสียงของราชันหนุ่มคล้ายแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างจะว่าชิงชังก็ไม่ใช่ จะขื่นขมก็ไม่เชิง
“แต่ครั้นเราสำเร็จสรรพวิชาในสองปีต่อมา ธรรม์ได้หลบหนีราชการแต่ข้าตามเขาไปจนทัน เขาบอกว่าที่เข้ามาฝึกวิชาของเหล่าทหารภูตมิใช่เพื่อปกป้องราชัน แต่เพื่อปกป้องคนสำคัญ เขาขอให้ข้ากลับไปเสียเพราะหากถูกขัดขวางเขาจะไม่ลังเลที่จะฆ่าข้า”
ราชันไพรสัณฑ์นิ่งไปนิด แล้วก็รับสั่งต่อ “ก็คล้ายกับที่เจ้าว่ามา ตัวข้าซึ่งหมดศรัทธาในตัวเขาก็เลยปล่อยเขาไปแล้วโกหกว่าตามไม่ทัน หน้าที่ตามทหารหนีราชการจึงถูกส่งไปให้สารวัตรทหารจัดการ แต่หลังจากนั้น ธรรม์ก็เงียบหายแล้วก็เพิ่งจะออกมาทำการเช่นนี้เมื่อปีที่แล้ว คนที่เขาฆ่าล้วนเป็นบรรดาคนของเหล่าข้าราชการที่ต้องการโค่นล้มข้า
คนเหล่านั้น ถูกส่งเข้าไปเจรจากับธรรม์เพื่อให้มาสนับสนุนฝ่ายพวกเขา”
“ถ้าอย่างนั้น ก็หมายความว่าธรรม์ก็เป็นพวกเดียวกับท่านนี่นา” หญิงสาวพูด “แล้วทำไมท่านถึงได้ทำเหมือนไม่ไว้ใจเขาอย่างไรอย่างนั้น ”
“สิ่งที่เขาทำก็แค่ส่งผลดีกับเราเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาอยู่ฝ่ายเรา ธรรม์ถึงกับยอมเสียคำสัตย์สาบานที่จะจงรักภักดีต่อประเทศชาติเพื่อไปปกป้องคนสำคัญของเขา หากวันหนึ่งคนสำคัญของเขาโลภขึ้นมา ก็ไม่แน่ว่าเขาจะร่วมมือกับข้าราชการทรพีพวกนั้น ”
“พวกท่านไปยึดถืออะไรกับคำสัตย์สาบานกันล่ะ มันก็แค่ลมปากที่มนุษย์พ่นออกมาเพื่อให้พ้นจากสถานการณ์ที่ถูกกำหนดไว้ให้ต้องทำก็เท่านั้นเอง” โสมส่ายหัวไม่ยอมรับ
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์รับรู้ในคำสาบานและจะลงทัณฑ์ผู้ผิดคำสาบานอย่างสาสม” ราชันไพรสัณฑ์อธิบายอย่างจริงจัง
“แล้วที่ผ่านมาธรรม์โดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงทัณฑ์รึยังล่ะ ฉันก็เห็นเขายังมีชีวิตอยู่” หญิงสาวแย้ง
“มีชีวิตอยู่อย่างไรล่ะ เท่าที่เห็นคืออยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ รึไม่”
เธอครุ่นคิดนิ่งงัน การมีชีวิตอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ คือทัณฑ์ของผู้ผิดคำสาบานอย่างธรรม์งั้นหรือ แต่ทำไมทุกฝ่ายที่นี่ต้องการตัวธรรม์กันนักล่ะ
“ถามหน่อยเถอะนะ ธรรม์เป็นใครกันแน่ทำไมคนพวกนั้น ถึงต้องการตัวเขาขนาดนี้ แล้วคนสำคัญของธรรม์เป็นใคร ผู้หญิงรึเปล่าเพราะน่าจะเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ผู้ชายยอมทำได้ถึงขนาดนี้”
“ธรรม์สามารถร่ายอาคมสร้างเมืองลับแลดั่งเช่นสถานที่ฝึกทหารภูตได้ เขาสร้างเมืองลับแลของเขาขึ้นมาเพื่อคนสำคัญคนนั้น แล้วรวบรวมกำลังคนฝึกวิชาเฉกเช่นวิชาของเหล่าทหารภูต หากใครได้การสนับสนุนจากกองกำลังของเขา ย่อมมีกำลังต่อกรกับทหารภูตของข้าอย่างทัดเทียมกัน” ราชันหนุ่มทอดพระเนตรโสมนิ่งๆ “แต่ถ้าหากทหารภูตของเรามี
วิชาการต่อสู้อันร้ายกาจพิสดารของท่าน เราย่อมชิงความได้เปรียบได้ในระดับหนึ่ง”
“เดี๋ยวก่อนสิ ท่านพูดเหมือนกับว่าธรรม์จะหักหลังเราเข้าสักวันหนึ่งอย่างนั้น แหละ” โสมท้วงติง
“ธรรม์ไม่ได้หักหลังเราเพราะเขาไม่ได้สนับสนุนเราแต่ก็ยังไม่ได้สนับสนุนฝ่ายใดเช่นกัน ตัวข้าในฐานะราชันจำต้องระแวงเขาเอาไว้ พร้อมทั้ง หาวิธีลดทอนความได้เปรียบของเขา” ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งสุรเสียงเคร่งขรึม “และข้ารู้จักธรรม์ไม่ดีพอ ทั้งยังไม่รู้จักคนสำคัญคนนั้น ของธรรม์ด้วย ข้าไม่อาจวางใจได้ว่าพวกเขาจะไม่คิดยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“ข้าให้หิรัญไปซุ่มสอดแนมหาเมืองลับแลแห่งนั้น หลายครั้ง แต่ก็ต้องคว้าน้ำเหลวเพราะประตูเข้าเมืองมักสลับสับเปลี่ยนไปทุกครั้ง ไม่อาจรู้ได้ว่าเวลาใดประตูอยู่ที่ใด มันบ่งบอกให้รู้ว่าวิชาอาคมที่ธรรม์ได้ร่ำเรียนมาตอนฝึกทหารรุดหน้าขึ้นมาก ข้าจึงต้องขอให้ท่านช่วยหาเมืองลับแลนั่น แล้วทำลายอาคมของธรรม์ ข้าจะนำเขาออกมาที่สว่างเสียที จะได้วางใจสักนิดหนึ่งว่า เมื่อพวกเขาเคลื่อนไหวไม่ว่าจะทิศทางใดมันจะอยู่ในสายตาของข้า”
“ทำไมท่านไม่ใช้วิธีที่ตรงไปตรงมาล่ะ บอกเขาถึงเหตุผลที่ท่านต้องการให้เขาออกมาสู่ที่สว่างไปเลย จะได้วัดใจเขาด้วยไงว่าเขาจะเลือกจุดยืนไหน”
“เจ้าคิดว่าธรรม์เป็นบุคคลที่ติดต่อด้วยง่ายๆ รึ เขาไปมาไร้ร่องรอย แม้ข้าจะส่งหิรัญที่เชี่ยวชาญการสะกดรอยก็ไม่เคยได้เข้าถึงตัวเขา”
ตายล่ะ! ท่านหิรัญตามสะกดรอยธรรม์อยู่งั้นหรือ แล้วพระองค์จะทรงรู้ไหมว่าวันนี้เธอออกไปพบธรรม์ในคราบผู้หญิง ความลับเธอแตกแล้วรึยัง
โสม พยัคฆ์ดำรงจ้องหาคำตอบจากราชันไพรสัณฑ์อย่างไร้ประโยชน์เพราะหน้ากากภูตปิดบังพระพักตร์มิดชิดแม้กระทั่งพระเนตรตอนนี้เธอไม่อาจรู้ได้เลยว่าราชันดำริอะไรและทรงรู้อะไรบ้าง
“ฉันไงล่ะที่ติดต่อเขาได้ เรื่องนี้ฉันจะลองพูดกับเขาเอง” โสมตัดสินใจเปิดเผยเพียงบางส่วนเพื่อลองเชิงราชันไพรสัณฑ์ “แต่ท่านห้ามส่งใครมาติดตามฉัน เขาไม่ทำร้ายฉันหรอก ฉันต้องการพูดกับเขาเพียงลำพังเพื่อให้เขาเชื่อมั่นว่าฉันจริงใจ”
“อะไรทำให้ท่านคิดว่าเขาจะไม่ทำร้ายท่าน”
“ฉันก็เสี่ยงเอาเหมือนกัน เงื่อนไขแรกในการร่วมมือกันก็คือความไว้วางใจไม่ใช่หรือ ฉันถึงต้องแสดงให้เขาเห็นว่าฉันไว้วางใจในตัวเขา”
โสมอยากจะถอดหน้ากากเพื่อปาดเหงื่อที่เริ่มซึมไปทั่วใบหน้านัก เห็นเงียบๆ ไม่ค่อยรับสั่งอะไร แต่พอรับสั่งมาแต่ละก็ทีเล่นเอาเธอเหงื่อตกไปเหมือนกัน
“แค่นั้น จริงหรือ” ราชันหนุ่มจ้องนิ่งมาที่โสมที่ใจหายวูบ ระแวงหนักมากขึ้น
“ท่านระแวงอะไรฉันหรือราชันไพรสัณฑ์” หญิงสาวปั้นเสียงเรียบเย็นถาม “หากท่านคิดอะไรพูดออกมาตรงๆ จะดีกว่า ฉันตรงไปตรงมากับท่านมาตลอดไม่ใช่หรือ”
“ไม่ได้ระแวงอะไร” รับสั่งตอบด้วยสุรเสียงเรียบเย็นยิ่งกว่า “เพียงแต่สงสัยว่าท่านมีอะไรดีนัก ธรรม์จึงได้ยอมพบกับท่าน”
“ฉันมีอะไรดี ตัวท่านเองก็รู้ไม่ใช่หรือ” โสมพูดเสียงระรื่นขึ้น มานิดหนึ่ง “อย่างน้อยไอ้อะไรดีๆ ในตัวของฉันก็ทำให้ท่านยอมย้ายให้ฉันมาอยู่ใกล้ตัว หรือไม่จริง”
ราชันไพรสัณฑ์แย้มสรวลเบาๆ
โสมเกือบจะโล่งอกว่าสามารถแก้ไขปัญหาไปได้หนึ่งเปลาะ หากไม่เอะใจคำพูดของตัวเองเสียก่อน การที่ราชันมีพระประสงค์จะให้ธรรม์ออกมาจากที่มืดมาที่สว่างก็เพราะระแวงในตัวธรรม์ แล้วการที่ราชันนำตัวเธอมาอยู่ใกล้ตัว จะหมายความว่าพระองค์ก็ระแวงในตัวเธอเช่นเดียวกันใช่หรือไม่
“ตกลงตามนี้นะ ฉันจะลองคุยกับเขาดู แต่ตอนนี้ฉันเหนื่อยมากแล้ว ขอตัวไปพักผ่อนเงียบๆ ที่บ้านพักหน่อยแล้วกัน” โสมตัดบทด้วยความปวดหัวกับเล่ห์เหลี่ยมของราชัน ร่างสูงเพรียวเตรียมเผ่นจากไปโดยเร็วหากแต่ไม่เร็วพอ
“ก็พักเสียที่นี่” ราชันหนุ่มคว้าเอาข้อมือที่เล็กกว่าของพระองค์เอาไว้ได้
“ฉันอยากอยู่คนเดียวมากกว่าน่ะ” โสมบิดข้อมือออกแต่ไม่พ้น เพราะศิษย์ตัวโข่งที่เรียนรู้วิชาของเธอไปสามารถกำข้อมือเธอเอาไว้ได้แน่นและรัดกุมนัก
“ข้าก็ไม่ได้จะไปนอนกับท่าน แต่ท่านต้องนอนที่นี่ อยากอาบน้ำหรืออยากกินอะไรก็สั่งมหาดเล็ก ถ้าจะนอนพักเมื่อไหร่ก็ไปนอน” ราชันหนุ่มไม่ยอมให้อีกฝ่ายปฏิเสธ
“นี่ท่านจะไม่ปล่อยฉันเลยรึไง ไม่ผูกตัวฉันติดกับตัวท่านไปเลยล่ะ อาบน้ำ กินข้าว แล้วนอนด้วยกันเลยดีไหม!” โสมประชดอย่างหงุดหงิด
“หากจะอาบน้ำ กินข้าว แล้วนอนด้วยกันจริงๆ ท่านจะกล้ารึท่านโสม” ดูเหมือนราชันไพรสัณฑ์จะพอพระทัยที่ยั่วโมโหโสมได้เพราะสุรเสียงระรื่นจนน่าหมั่นไส้ “ถ้าทำอย่างนั้น จริงๆ ท่านมิต้องกลายมาเป็นเมียของข้ารึ”
“อย่าพูดเหลวไหล ฉันจะไปเป็นเมียท่านได้ยังไง ราชันไพรสัณฑ์ชอบพอบุรุษรึไง” หญิงสาวทำตาเขียวใส่
“ข้ามิได้ชอบพอบุรุษสักนิด แต่ท่านเสนอตัวให้ข้าเหลือเกินนี่ท่านโสม ข้าต้องถามท่านมากกว่าว่าแอบคิดอะไรเกินเลยกับข้ารึไม่” บทจะยั่วพระองค์ก็ทรงยั่วได้เก่งนัก
“ไม่คิดอะไรทั้ง นั้น แหละ ท่านให้อยู่ที่นี่ฉันก็จะอยู่ หมดเรื่องแล้วรึยัง!” เธอยกธงยอมแพ้เพราะขืนปล่อยให้ราชันพูดต่อไปเธอได้สติแตกโดยสมบูรณ์แน่
ราชันไพรสัณฑ์ไม่ตอบแต่ทรงพระสรวลเสียงดังแล้วยอมปล่อยข้อมือของเธอ
เธอเดินตึงตังเข้าไปในห้องพระบรรทมแล้วกระแทกตัวลงนอนบนเตียงเอาแขนก่ายหน้าผากด้วยความหงุดหงิดและคิดหนัก
ราชันหนุ่มเองก็เจ้าคิดเจ้าแค้นนักเพราะเสด็จตามมา ‘โฉบ’ ให้เธอได้เห็น เธอจึงลุกขึ้น เอาม่านเตียงลงอย่างโมโห พระองค์ก็ทรงพระสรวลยั่วมาให้อย่างไม่ยอมปล่อย
นลวรรณ… คุณหมอกณวรรธน์ หากฉันตีหัวลูกชายของพวกคุณแตก พวกคุณจะโกรธฉันไหม