นางพญาท้ารบ เล่มพิเศษ
แก้เผ็ด
ขณะเซี่ยซูกับเซี่ยอู่อายุได้สิบปี
ขุนนางในวังหลวงจำนวนหนึ่งครุ่นคิดวางแผน เขียนฎีกาถวาย ฮ่องเต้เซี่ยวจิ่ง ท้วงติงว่าตำหนักในควรจะต้องเพิ่มคนใหม่ๆ เข้าไปได้ แล้ว
ว่าตามหลัก… ฮ่องเต้อย่างเซี่ยจิ่งสิงผู้นี้ถือเป็นผู้ปกครองแคว้น ที่กระทำผิดประเพณี ทั้งย้งหัวรั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่มีใครทำอะไร เขาได้ เพราะก่อนหน้าเสิ่นเมี่ยวในฐานะฮองเฮาก็มีบุตรชายแล้วสองคน ขุนนางทั้งหลายจึงไม่อาจตำหนิ
ทว่าหลังจากเวลาผ่านไปนานคนรอบข้างรู้สึกว่าองค์ชายทั้งสอง มีอายุได้สิบปีแล้ว จิตใจฮ่องเต้ไม่แน่ว่าจะหนักแน่นดังแรกเริ่ม พอ สบจังหวะต่างก็พยายามขบคิดกันมากมาย ว่าควรทำอย่างไรจึงจะ สามารถดันคนของตนเข้าไปรับใช้ในตำหนักในได้บ้าง
บางทีฮ่องเต้อาจไม่คัดค้าน
ไม่แน่อาจสอดคล้องกับความต้องการของฮ่องเต้ด้วยก็เป็นได้
ดังนั้นคราวนี้บรรดาขุนนางจึงรวบรวมรายชื่อกล่าวตำหนิ เสิ่นเมี่ยวว่าใจแคบ ในฐานะฮองเฮาควรคิดทางรอดให้เชื้อพระวงศ์ได้สืบทอดวงศ์วานว่านเครือบ้าง ไม่ควรริษยาหวงก้างและมีจิตคิดครอบครอง ‘ของหลวง, ไว้แต่เพียงผู้เดียว
หลัวถานได้ยินเรื่องนี้ก็โกรธจัด รีบไปพาตัวเฝิงอานหนิงบุกมา ยังวังหลวง “คนพวกนี้คิดจะกบฏหรือไร? จะยุ่งเรื่องในครอบครัวคนอื่น มากมายขนาดนั้นไปทำไม? เหตุใดไม่คิดหาทางดูแลตระกูลตัวเองให้ดี ยื่นมือชูคอยาวเกินไปหน่อยแล้วกระมัง!’’
ผ่านไปเกือบสิบปี อารมณ์ร้อนของหลัวถานยังไม่เปลี่ยน
จะว่าไปแล้วที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเกาหยางใจกว้างกับนาง คน ผู้หนึ่ง… หากยังรักษานิสัยดื้อรั้นไม่เปลี่ยนแปลงได้ถึงสิบปี นั่นหาใช่ เรื่องง่าย
หลัวถานเองก็มีบุตรชายแล้ว อายุน้อยกว่าเซี่ยซู-เซี่ยอู่สองปี นามว่าเกาจื่อเฉิง
เกาจื่อเฉิงผู้นี้หน้าตาถอดแบบมาจากเกาหยาง นิสัยก็คล้ายคน เป็นพ่อ ดูเหมือนว่านอนสอนง่ายอ่อนน้อมอบอุ่น ทว่าชอบสุมหัววางตัว เป็นอันธพาล เข้าขากับเซี่ยอู่เป็นที่สุด เรียกว่าเป็นพวกหล่อเหลาแต่ใจดำ
โดยปกติหลัวถานอยู่ในเรือนก็มักเล่นงานสองพ่อลูกจนติดเป็น นิสัยมานานแล้ว ดอนนี้จึงได้แต่กล่าวว่า “น้องเล็ก ไม่สู้หาคนจับขุนนาง ชั่วพวกนี้ไปโบยให้หนักสักรอบ ดูสิวันหน้าพวกมันยังจะกล้าปากมาก อีกไหม,,
“เรื่องราวหาได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น,’ เฝิงอานหนิงเอ่ยโน้มน้าว “เรื่องของเชื้อพระวงศ์หาใช่ตัวเองจะตัดสินไจวางแผนอะไรได้ ข้าเห็นว่า
เรื่องนี้ต้นตอใช่จะอยู่ที่ฮองเฮา แต่อยู่ที่ฮ่องเต้ จิตใจชั่วช้าของขุนนางพวกนั้นก็ยังไม่เท่าไร ด้องดูท่าทีของฮ่องเต้คนเดียว ว่าจะให้พวกเขาลำพองใจ หรือให้เลิกคิดได้,,
เทียบกับหลายปีก่อน… เฝิงอานหนิงซึ่งเคยเป็นคุณหนูตระกูลสูงที่หยิ่งผยอง ยามนี้กลับเปลี่ยนเป็นอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นมาก กาลเวลา ปลูกฝังและบ่มเพาะนางมากกว่าใคร ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในอดีตตระกูล เฝิงเคยเกิดเหตุร้ายที่อาจทำให้สูญเสียใหญ่หลวง
เพียงราตรีเดียว… เฝิงอานหนิงโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก นางใช้ชีวิต คู่อยู่กับสิ่นชิวมานาน แน่นอนว่านิสัยก็ด้องเปลี่ยนแปลงจนคล้ายคลึง
นางมีบุตรสาวคนหนึ่ง ตอนนี้อายุเพิ่งสิบหกนามว่าเสิ่นซู ปกติ มักวิ่งตามหลังเซี่ยซู เซี่ยอู่และเกาจื่อเฉิง ส่งเสียงหัวเราะไปกับพวกเขา ด้วย นิสัยของเสิ่นซูไม่เหมือนเฝิงอานหนิงและไม่เหมือนเสิ่นชิว นางสดใส ร่าเริง เป็นเด็กสาวช่างฝันที่มีนิสัยอ่อนโยนเสียจนทำให้คนเห็นแทบใจ สลาย
“เจ้าพูดง่าย” หลัวถานว่า “ข้าว่าฮ่องเต้ทำดีที่สุดแล้ว แต่จน ปัญญาที่คนเหล่านั้นมักจะคิดว่าบุตรสาวของตระกูลตัวเองสะคราญโฉม งดงามดุจเทพธิดา ผู้ชายหน้าไหนก็ต้องโผเข้าใส่ น้องเล็กนั่งตำแหน่ง ฮองเฮาก็ทำแต่งานเรื่อยมาไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายอะไร เห็นได้ขัดว่าเป็นฮองเฮาผู้ทรงธรรม แต่คนพวกนั้นเล่า? จงใจหาเรื่องตำหนิ เห็นคนอื่นดี ไม่ได้ นี่…น้องเล็ก เรื่องสำคัญถึงเพียงนี้เจ้าไม่พูดอะไรสักคำ ยังมีกะจิตกะใจจะดื่มชาอีกรึ?”
เสิ่นเมี่ยวสีหน้าไม่เปลี่ยนยังคงประคองถ้วยขึ้นจิบนํ้าชาอึกหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ฟ้าจะมีฝน เจ้าสาวอยากออกเรือน ใครจะขวางได้?”
นางไม่ร้อนรนแม้แต้น้อย
เวลาผ่านไปหลายปีเสิ่นเมี่ยวยิ่งงดงาม หาใช่หญิงสาวตัวน้อย ผู้อ่อนต่อโลกหรืองดงามอย่างเด็กสาว นางงดงามราวกับหยกล้ำค่า ยิ่ง ถูกเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่ยิ่งสะท้อนแสงแวววาวของหยกเนื้อดีออกมา
ส่วนนิสัยนับวันยิ่งสุขุมน้อยนักจะมีอารมณ์โกรธ ราวกับ หญิงสาวที่ลงมือทำร้ายผู้อื่นอย่างเย็นชาในปีนั้นได้อันตรธานไปสิ้นแล้ว ทว่านิสัยเหล่านั้นหายไปจริงหรือไม่ เกรงว่าคงมีเพียงใจของ เสิ่นเมี่ยวเองเท่านั้นที่รู้
หลัวถานเห็นนางเป็นเช่นนี้กระบายอารมณ์โกรธออกมา “เจ้านี่ ก็ใจกว้างเสียจริงไม่เคยคิดบ้างหรือไร ถ้าน้องเขยเกิดหวั่นไหวขึ้นมา แต่ง สนมอะไรต่อมิอะไรเข้ามานับพี่นับน้องกับเจ้าจริงๆ ไม่รู้ว่าจะมีแผนชั่ว อีกมากมายสักแค่ไหนรออยู่ภายภาคหน้า หากเกาหยางกล้าทำเช่นนี้ ข้าจะรีบหย่ากับเขาทันที ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่เจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าหย่าร้างกันง่ายๆ ไม่ได้ หรือจะทนกลํ้ากลืนความขื่นขมลงท้องไปเล่า น่าปวดหัวจริง ๆ”
เฝิงอานหนิงส่ายหน้า รู้สึกว่าหลัวถานพูดง่ายเกินไป ทว่าตัวเอง ก็หาทางออกอื่นไม่พบ กำลังกังวลใจเช่นกัน
ตัวเสิ่นเมี่ยวเองกลับไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ เอ่ยเสียงเรียบว่า “หาก เขาคิดจะแต่งสาวงามเข้าตำหนัก ข้าเองก็จะหาชายบำเรอบ้าง บนโลกนี้ สาวงามมีมาก ยอดชายก็มีไม่น้อย แบบนี้ถึงจะทัดเทียม”
นางกล่าวอย่างเรียบง่ายราวสะบัดพู่กันวาดภาพ หลัวถานกับ เฝิงอานหนิงฟังแล้วก็ปากอ้าตาค้าง
“เจ้า…” เฝิงอานหนิงถึงกับพูดไม่ออก
“เห็นด้วยกับน้องเล็ก!” หลัวถานตบหน้าตัก ‘‘ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คน ยอมกล้ำกลืนฝืนทนกับเรื่องแบบนี้ เจ้าคิดได้ดี วันหน้าข้าก็จะทำแบบนี้ กับเกาหยางบ้าง หากเกาหยางกล้าแอบไปมีเล็กมีน้อยข้างนอก ข้าก็ไป หาความสำราญกับบุรุษข้างนอกสักหน่อย ใช่ว่าจะหาไม่ได้ หากหามา ไม่พอ ก็เอาเงินฟาดหัวซื้อ,,
เฝิงอานหนิงยิ้มไม่ออก แทนที่จะห้ามปรามหลัวถานกลับเตลิด ตามไปอีกคน ปกติเสิ่นเมี่ยวหาใช่คนเพ้อเจ้อเสียที่ไหนนํ้าเสียงที่พูดคราว นี้ก็ไม่เหมือนพูดเล่น
“วางใจเถอะ,’ เสิ่นเมี่ยวราวกับอ่านความคิดในใจเฝิงอานหนิง ออก “ข้าไม่เป็นไร จิตใจละโมบของขุนนางเหล่านั้นหาใช่เพิ่งเกิดเพียง วันสองวัน มีคราวไหนบ้างที่สำเร็จ? ใครบอกว่าสตรีพอมีอายุจะกลายเป็นหญิงชราไร้ค่า นั่นเป็นเรื่องไร้สาระ เป็นเพียงพันธนาการที่คนในโลกหยิบยื่นให้สตรีอย่างเราเท่านั้น เขาดีกับข้ามาก ข้าก็จะปฏิบัติดีต่อเขา หากเขาทำไม่ดีกับข้า ข้าเองก็หาใช่โพธิสัตว์ที่จะยินยอมพร้อมกายถวายใจภักดีตอบ”
“ถูกต้อง,, หลัวถานพยักหน้าเห็นด้วย
พวกนางพูดคุยกับเสิ่นเมี่ยวครู่หนึ่ง เห็นเสิ่นเมี่ยวมีท่าทีเหมือน ไม่เห็นเรื่องนี้อยู่ในสายตา ซ้ำยังบอกว่าเป็นเรื่องปกติ จึงได้วางใจลง
กระทั่งหลัวถานกับเฝิงอานหนิงกลับไปแล้ว เชี่ยซูก้บเซี่ยอู่จึง ตรงดิ่งมาหามารดา
“เสด็จแม่ ท่านป้ากับท่านน้ามาหาท่านด้วยเรื่องที่เหล่าขุนนาง คิดจะยัดเยียดสนมใหม่ให้เสด็จพ่อ ใช่หรือไม่พะย่ะค่ะ?,, เซี่ยอู่พอเข้า ตำหน้กมาได้ก็โพล่งขึ้น เขามีนิสัยโผงผาง อายุยังน้อยกลับซึมซับเอา
แผนการชั่วร้ายกลอุบายต่าง ๆ ของเซี่ยจิ่งสิงมาจนหมด “น้องรองอย่าพูดเหลวไหล” เซี่ยซูตำหนิน้องชาย นับว่าเซี่ยซูหนักแน่นกว่าเซี่ยอู่มาก เสิ่นเมี่ยวถามเซี่ยอู่ว่า “ถ้าใช่แล้วอย่างไร? เจ้าคิดจะวางแผน ป่วนวังหลวงขึ้นมาอีกล่ะสิท่า?”
เซี่ยอู่ตอบ “เสด็จแม่ ลูกถูกปรับปรำ! ลูกเพียงอยากแบ่งเบาความ กังวลของท่าน เรื่องนี้เสด็จแม่อย่าได้รับปากเสด็จพ่อเด็ดขาด”
เสิ่นเมี่ยวได้ยินก็นึกขำ “ข้าไม่เค ยได้ยินว่าคนเป็นลูกจะมีสิทธิ์ไป ยุ่มย่ามเรื่องแต่งอนุของบิดา”
“แต่พวกเราเป็นเชื้อพระวงศ์ หากหญิงประหลาดพวกนั้นแต่ง เข้ามาในวัง เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ลูกไม่กังวลใจเรื่องเสด็จแม่หรอก เสด็จแม่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ สตรีพวกนั้นหาใช่คู่ต่อสู้ของท่าน แต่หากสตรีพวกนั้นใช้มารยาจนสามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ วันหน้าเกิดความคิด ไม่บังควร คิดจะทำร้ายเสด็จพี่ขึ้นมาจะทำอย่างไร? เสด็จแม่ก็ทรงทราบ เสด็จพี่มีนิสัยเถรตรง ไม่เข้าใจแผนการชั่วร้ายอะไรพวกนั้น ถึงตอนนั้น เกิดตกที่นั่งลำบากเข้าคงแย่”
เซี่ยซูจนปัญญา “น้องรอง เจ้าหยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว”
เซี่ยอู่ในฐานะน้องชายกลับวางท่าทางขึงขังสั่งสอนซี่ยซู สีหน้า ท่าทางกังวลใจแทนเขาไม่หยุด ใครไม่รู้อาจบอกว่าเซี่ยอู่ต่างหากที่เป็นพี่ใหญ่
“เจ้าคิดแทนพี่ชายไปไกลเชียว” เสิ่นเมี่ยวยิ้ม “ซูเอ๋อยังไม่ทันได้พูดสักคำ”
“เสด็จแม่” เซี่ยซูแทรก “แม้ว่าน้องรองจะพูดจาเหลวไหล แต่ลูก
เองก็คิดเช่นนั้น หากเป็นไปได้ก็อย่าให้ใครมีโอกาสเข้าสู่ตำหนักในได้หา ใช่เพราะตัวลูกเอง ในอดีตเสด็จแม่ต้องต่อสู้ฟันฝ่ามาพร้อมกับเสด็จพ่อ ต้องทนทุกข์ยากลำบากกายก็เพื่อให้มีวันนี้เสด็จพ่อทรงรับปากท่านแล้ว ว่าชาตินี้จะอยู่เคียงคู่ไม่เป็นอื่น หากคนอื่นแทรกเข้ามา ย่อมถือว่าตระบัดสัตย์ไม่ใช่หรือ? ลูกไม่อยากเห็นเสด็จแม่พระทัยสลาย”
เสิ่นเมี่ยวมองลูกชายท่าทางเอาจริงเอาจังของทั้งสองทำให้นาง นึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีตปีนั้นหลังจากให้กำเนิดเซี่ยซูกับเซี่ยอู่ แล้ว นางก็หลับใหลไปนาน น่าจะเพราะเหตุผลนี้บุตรชายทั้งสองจึงตั้งตน เป็นผู้ที่คอยดูแลเอาใจใส่นาง เซี่ยซูกับเซี่ยอู่สนิทสนมกับมารดานัก ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใด มักจะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับนางเสมอ
วันนี้พวกเขาเขามาพูดจาหารือกับนางมากมายถึงเพียงนี้ หาก คนอื่นได้ยินคงต้องคิดว่าเด็กทั้งสองไม่รู้จักมารยาทไม่เคารพธรรมเนียม คิดสอดมือเข้ายุ่งเรื่องราวของบิดามารดาทว่าเสิ่นเมี่ยวรู้ดี ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพวกเขาเป็นห่วง ไม่อยากให้นางต้องเสียใจ
“แม่รู้ดี เรื่องนี้แม่ต้องจัดการอยู่แล้ว” เสิ่นเมี่ยวยิ้ม “พวกเจ้า ไม่ต้องกังวล ไม่นานเรื่องก็จะซาไปเอง”
“แต่เสด็จพ่อยังไม่แสดงท่าทีชัดเจนว่าทรงยอมหรือไม่ยอมแต่ง สนมนะพะย่ะค่ะ” เซี่ยอู่เอ่ย “เสด็จแม่ไม่ทรงกังวลพระทัยแม้แต่น้อยเลยหรือ?”
“อู่เอ๋อ เรื่องที่เจ้าไม่เชื่อมั่นในเสด็จพ่อของตน นี่ต่างหากเป็นเรื่อง ใหญ่เสียยิ่งกว่า ข้าจะฟ้องเสด็จพ่อของเจ้าแน่” เสิ่นเมี่ยวตอบยิ้มๆ
เซี่ยอู่กระแอมสองที “เรื่องนี้… แน่นอนว่าลูกต้องเขื่อใจเสด็จพ่อ ถ้าอย่างนั้นลูกกับเสด็จพี่ไม่รบกวนเสด็จแม่แล้ว พักผ่อนนะพ่ะย่ะค่ะ
หากปัญหาตึงมือค่อยเรียกหาลูก” เซี่ยอู่ลากเซี่ยซูเดินออกไป
เสิ่นเมี่ยวมองตามหลังบุตรชายทั้งสอง ยกมือขึ้นนวดหน้าผาก อย่างไม่รู้ตัว
เรื่องนี้นางไม่ได้ใส่ใจจริง ๆ แต่คนรอบข้างกลับกังวลใจแทนนางไม่น้อย หลายวันมานี้เสิ่นซิ่น หลัวเสวี่ยเยี่ยน เฝิงอานหนิง หลัวถาน รวมทั้งหลี่อี่ซูก็ล้วนเข้ามาขอพบ สีหน้าขึงขังของพวกเขาบอกกับนางว่า อย่าได้ยอมกับเรื่องนี้
ทว่าสวรรค์เป็นพยาน นางระอาจะสนใจ หากเชี่ยจิ่งสิงคิดแต่งสนมเข้าตำหนักเพิ่ม นางจะขัดขวางไหวเสียที่ไหน แน่นอน แม้ว่านางจะขวางไม่อยู่ แต่ก็ย่อมไม่นั่งรอวันตาย
ถึงยามคํ่า เสิ่นเมี่ยวนั่งอ่านหนังสืออยู่ในตำหนักคุนหนิง ทิวทัศน์ในสารทฤดูมีแต่ใบไม้ร่วง ดูแล้วเย็นยะเยือก อ่านไปอ่านมาพลันรู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่เบื้องหลังตน ไม่ต้อง หันหน้ากลับไป เสิ่นเมี่ยวก็รู้ดีว่าใครมา
เป็นเช่นนั้นจริง จังหวะต่อมาน้ำเสียงของเซี่ยจิ่งสิงก็ดังเข้า โสตประสาท “เจียวเจียว ดึกป่านนี้แล้ว ยังอ่านหนังสืออะไรอยู่อีก?”
เสิ่นเมี่ยวหันหน้ากลับ
ใต้แสงโคม ใบหน้าของเขายิ่งนานวันยิ่งหล่อเหลา สวมชุดม่วง ขลิบทองตัวยาว ยามที่พวกเขาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง กลิ่นอายความเป็นฮ่องเต้บนร่างอันตรธานไปสิ้น ราวกับเป็นหนุ่มน้อยในอดีตที่ใบหน้าประดับรอยยิ้มดื้อรั้นอยู่เป็นนิจ
“ได้ยินว่าวันนี้เจ้าพูดว่า หากข้าแต่งสาวงามเข้าตำหนก เจ้าจะ ตัดสินใจเลี้ยงชายบำเรอสักสองสามคน?”
เสิ่นเมี่ยวเลิกคิ้ว “ใครหนอ ข่าวไวเหลือเกิน?,,
“เกาจื่อเฉิง’,
เสิ่นเมี่ยวเงียบไป เป็นลูกชายของเกาหยาง คงกลัวว่าใต้หล้านี้ จะวุ่นวายไม่พอกระมัง เฝิงอานหนิงกับหลัวถานสนทนากับนางในวันนี้ เขาคงแอบฟังอยู่ที่ไหนสักแห่งแล้วคาบข่าวไปบอกคนอื่นลับหลัง “เขาพูดไม่ถูก” เสิ่นเมี่ยวเอ่ย
เซี่ยจิ่งสิงมีสีหน้าพึงพอใจ “ข้าว่าแล้ว…”
“ข้าคิดไปคิดมา ชายบำเรอสองสามคนคงไม่พอให้ระงับโกรธ ต้องเลือกสักสิบกว่าคน หากให้ปรนนิบัติแค่คนสองคน เกรงว่าจะน่าเบื่อ เกินไป”
รอยยิ้มบนใบหน้าเซี่ยจิ่งสิงหายวับ เขามองเสิ่นเมี่ยวอย่างดุดัน “เจียวเจียว!”
เสิ่นเมี่ยวมองเขาไม่นึกหวั่น “จะทำไม?”
“เจ้าจะมีความสามารถมากไปกระมัง!” เขาเอ่ยเสียงลอดไรฟัน เรื่องเลี้ยงชายบำเรอ ทำให้เขาย้อนรำลึกถึงความทรงจำอัน ยาวนานขึ้นมาได้ ตอนนั้นเสิ่นเมี่ยวที่ดื่มเหล้าจนเมามายก็เห็นเขาเป็น ชายบำเรอมาก่อนไม่ใช่หรือ เขายังจำท่าทางตอนที่เสิ่นเมี่ยวจับเขาไว้ แล้ววิพากษ์วิจารณ์ข้อดีข้อเสียได้
ใจของนางแอบซ่อนความปรารถนาจะหาชายบำเรอเรื่อยมา ใช่หรือไม่ พอเวลาประจวบเหมาะมาถึงก็อดรนทนไม่ไหวรีบแสดงตัว?
เซี่ยจิ่งสิงนึกหวาดระแวง เขาก้มหน้าลงจุมพิตริมฝีปากเสิ่นเมี่ยว
จุมพิตนี้สร้างความอึดอัดไม่น้อย ราวกับลงทัณฑ์เพราะไม่พอใจ ทว่าพอถึงตอนสุดท้ายก็เปลี่ยนมาเป็นการเล้าโลมที่อบอุ่น ราวกับทน กระทำรุนแรงกับนางไม่ไหว
พอจุมพิตเข้มข้นผ่านไป เขาก็ปล่อยเสิ่นเมี่ยว “เรื่องเลี้ยงชาย บำเรอแค่คิดก็ผิดแล้ว’,
“ฮ่องเต้ประสาอะไร…” เสิ่นเมี่ยวจงใจชักสีหน้าขึงขัง “ยอมให้ ขุนนางวางเพลิง แต่ไม่อนุญาตให้ไพร่ฟ้าจุดโคมรึ?”
“วางใจเถอะน่า นับจากวันพรุ่งนี้ ขุนนางในวังหลวงจะไม่วาง เพลิงอีก… จะไม่มีใครเอ่ยเรื่องคัดเลือกสาวงามเข้าวังอีกแล้ว”
คราวนี้เสิ่นเมี่ยวรู้สึกอยากรู้ขึ้นมาจริง ๆ จึงรีบถาม “เพราะอะไร?”
“ข้าบอกกับพวกเขาว่า ผ่านไปอีกไม่นานข้าจะแต่งตั้งรัชทายาท ตามลำดับอาวุโส ครอบครัวเราคนน้อย ย่อมไม่เกิดเรื่องแย่งชิงบัลลังก์แน่ รอให้ซูเอ๋อกับอู่เอ๋อเติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียก่อน ข้าจะสละราชสมบัติให้ พวกเขา แทนที่จะมาเสียเวลาเซ้าซี้ข้า ไม่สู้ไปหาซูเอ๋อเล่า? ตระกูลไหน มีลูกสาวที่งดงามดุจอัญมณี ก็คอยตั้งหน้าตั้งตาเลี้ยงดูให้ดี เผื่อจะได้เป็น ฮูหยินของซูเอ๋อแทน อย่างนี้ไม่ถือว่าดีกว่าหรือ? จะต้องมาเป็นสนมของข้าทำไม”
“ขุนนางเฒ่าพวกนั้นพอได้ยินข้าพูดจบก็รู้สึกว่ามีเหตุผล รีบ กลับไปเลือกเฟ้นลูกหลานกันยกใหญ่”
เขาตอบอย่างเชื่องช้าไม่แยแส
เสิ่นเมี่ยวได้ยินก็ปากอ้าตาค้าง วิธีผลักภาระให้พ้นตัวของเขายังยอดเยี่ยมเหมือนเดิม ถีบบุตรชายออกไปรับเคราะห์แทนก็ยังทำได้ นางอยากคารวะจริง ๆ “ซูเอ๋อเพิ่งจะสิบขวบ!”
“แล้วอย่างไร? เขาจะเสียสละตัวเองเพื่อพ่อกับแม่ของเขา สักหน่อย ไม่กตัญญูตรงไหนกัน อย่างไรก็ดีกว่าให้แม่ของเขาไปพึ่งชายบำเรอมิใช่รึ!” เซี่ยจิ่งสิงวกกลับมาประเด็นเดิมอีก
คนผู้นี้ไม่ว่าข้างนอกมองไปแล้วจะดูดี ทว่าความเลวร้ายใน กระดูกกับความผิดปกติของจิตใจ ไม่ว่าเวลาไหนก็แก้ไม่หาย สิบปีที่แล้วเจ้าเล่ห์อย่างไร วันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน เสิ่นเมี่ยวจนคำพูดจะต่อปากต่อคำ มิน่าเล่าเซี่ยอู่มักจะบ่นเรื่อง เซี่ยจิ่งสิงให้นางฟังรํ่าไป มีที่ไหนบิดาแท้ๆ จะโยนบาปให้ลูกชาย ซ้ำเขา ยังทำอย่างสะดวกใจอีกต่างหาก
“ไร้เหตุผล” นางต่อว่า
ไร้เหตุผลก็ส่วนไร้เหตุผล ทว่าอันที่จริงวิธีนี้ของเซี่ยจิ่งสิงก็ดีเยี่ยม เพราะนับจากวันนั้นเหล่าขุนนางก็ไม่เคยเอ่ยเรื่องเพิ่มสนมนางในเข้า วังหลวงอีกเลย
เสิ่นเมี่ยวใช้ชีวิตต่ออย่างสงบได้อีกนานหลายปี ทว่าคนที่ โชคร้ายกลับกลายเป็นเซี่ยซู ประหลาดนัก ไม่ว่าไปไหนข้างกายของเขา ก็จะมีแม่นางน้อยติดสอยห้อยตาม
หลานสาวของจวนอำมาตย์ แม่นางน้อยของตระกูลแม่ทัพ
หลานสาวของจวนไท่ฟู่
ลูกคนนั้น หลานคนนี้ คอยเดินตามเขาไม่จบไม่สิ้น
เซี่ยซูต้องใช้ชีวิตอย่างขมขื่น
เสิ่นเมี่ยวที่รู้สาเหตุดีกว่าใครย่อมไม่อาจทำใจบอกชื่อจอมบงการ ให้เซี่ยซูรู้ได้
หากเซี่ยซูระแคะระคายว่าบิดาแท้ๆ ของตัวเองแอบใช้อำนาจ
ทั้งหมดในมือ แทงเขาข้างหลัง เกรงว่าคงโกรธจนกระอักเลือด
จะจัดการกับบรรดา ‘แม่นางน้อย, ของตระกูลที่มีใจแอบแฝง พวกนี้อย่างไรเป็นเรื่องของบุตรชายแล้ว
ไม่ใช่อะไรที่สองสามีภรรยาอย่างนางและเขาต้องคิดแทนนี่