Skip to content

สู่วิถีอสุรา 502

ตอนที่ 502

เส้นทางการสร้างชะตา

ซูหมิงยังคงเดินไปทีละก้าว เดินผ่านอากาศเหนือรอยแยกบนผืนดิน เข้าไปในส่วนกลางของเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์ และเดินขึ้นยอดเขาไป

ที่นั่น เขาเห็นศิลาแผ่นหนึ่ง แผ่นศิลานี้สูงตระหง่าน มองไกลๆ จะเหมือนปลายยอดเขา ด้านบนสลักตัวอักษรไว้จำนวนมาก ใต้แผ่นศิลามีชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง

ชายชราคนนี้สวมเสื้อขาดวิ่น เส้นผมยุ่งเหยิงทั้งศีรษะ ก้มหน้าลงปานกำลังนั่งฌาน เห็นรูปร่างไม่ชัดเจน

“หลายหมื่นปีก่อน เทพหมานเลี่ยซานซิวบุกเบิกแดนหมาน สร้างวิชาของตัวเองขึ้น สร้างอำนาจของเผ่าหมาน สร้างราชวงศ์ต้าอวี๋ หมื่นแดนกราบไหว้ การแต่งตั้งผู้นำทุกเผ่าต้องได้รับการยินยอมจากเทพหมาน…หลังจากนั้นเขาก็จากไปตามหาภัยพิบัติโลก เหลือไว้เพียงคุณงามความดี…

มีนักรบคนหนึ่งนามชือซานพั่ว ได้ตระหนักรู้ถึงจิตของเทพหมานแห่งราชวงศ์ต้าอวี๋ จึงได้รับสืบทอดการฝึกดั้งเดิม ทว่าก็ได้ไปครึ่งเดียว

…ขนานนามกันว่าเทพหมานรุ่นสองชือซานพั่ว!

เซียนชั่วร้ายไม่ยินยอม จึงสร้างภัยพิบัติขึ้นอีกครั้ง ทั้งยังมีจิตของเต้าเฉิน ทำให้แผ่นดินเผ่าหมานแยกออกเป็นส่วนๆ ศพของชือซานพั่วฝังอยู่ในทวีปทั้งห้า…”

น้ำเสียงแก่ชราดังก้องบนยอดเขา ซูหมิงยืนอยู่หน้าชายชราที่ก้มหน้า คอยฟังอย่างเงียบๆ

เมื่อชายชรากล่าวขึ้น ตัวอักษรบนศิลาด้านหลังก็ค่อยๆ หายไป ตัวอักษรนี้ดูเหมือนชัด แต่หากมองดีๆ กลับเลือนราง ไม่รู้ว่าเขียนอะไรเอาไว้

ซูหมิงในยามนี้มั่นใจแล้วว่า ที่ตนมาภูเขาหมื่นอรุณนี้เป็นเรื่องถูกต้องแล้ว เขายังจำได้ถึงคำพูดของร่างเผ่าหมานที่เขาเจอในศพของจู๋จิ่วอิน แม้เป็นเพียงครึ่งเดียว ทว่าคำว่าหมื่นจากปากครั้งสุดท้ายนั้น ทำให้ซูหมิงได้ยินคำว่าภูเขาหมื่นอรุณแล้วเกิดการคาดเดาทันที

“หลังจากนั้นหมื่นปี ข้าถือกำเนิดในแดนรกร้างบูรพา คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอจะรับจิตของเทพหมาน จึงฝ่าฝันอุปสรรคอันตรายจนไปถึงราชวงศ์ต้าอวี๋ ได้เห็น ได้ยิน ได้รู้สึกทุกอย่าง ทว่า…ก็ยังได้ไปแค่ครึ่งเดียวของเทพหมานรุ่นสอง แม้เรียกว่าเป็นรุ่นสาม ข้าก็รู้ว่าตนไม่เพียงพอจะเป็นเทพ…ข้าตามหาร่องรอยของบรรพบุรุษ แล้วมาสิ้นลงอยู่ในโลกเก้าหยินนี้…

จวบจนถึงตอนนี้ ข้าคิดว่าข้าตื่นขึ้นแล้ว ทว่าก็ยังไม่ใช่…” เสียงแก่ชราค่อยๆ เบาลง ชายชราที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าศิลาเงยหน้าขึ้นช้าๆ

เขามีใบหน้าดูธรรมดายิ่ง เพียงแต่มีร่องรอยของกาลเวลา รูปร่างแก่ชรา แค่เห็นก็ให้ความรู้สึกว่าผ่านโลกมาอย่างโชกโชน

“ข้ารู้ว่าจะต้องได้เห็นเจ้าแน่” ชายชรามองซูหมิงพลางกล่าวเรียบๆ

ซูหมิงมองชายชราตรงหน้า ไม่กล่าวสิ่งใด

“ความต่างคือเจ้าถูกจับมา หรือไม่ก็เจ้ามาเอง หากเจ้าถูกจับมา คงไม่คู่ควรจะได้รับการฝึกของเผ่าหมานข้า ไม่มีค่าพอจะสร้างเทวรูปหมาน! ไม่สู้อยู่ที่นี่ กลายเป็นวิญญาณของเผ่าหมานไปชั่วนิรันดร์เสียจะดีกว่า

แต่หากเจ้ามาเอง เช่นนั้นก็มีคุณสมบัติรับมรดกของข้า…” ชายชรากล่าวช้าๆ บนใบหน้าค่อยๆ ปรากฏลายหมานตรงระหว่างคิ้ว มันดูเหมือนดวงจันทร์กำลังเผาไหม้!

“หากจิตข้าหายไป ให้ส่งกายวิญญาณของข้ากลับไปราชวงศ์ต้าอวี๋ เมื่อวิญญาณข้าหวนคืนจะกระตุ้นการฝึกฝนของเผ่าหมานให้ข้ามผ่านขั้นวิญญาณหมาน…

หลังจากขั้นวิญญาณหมาน สายเลือดจะเปลี่ยนไปในฉับพลัน

เลือด กระดูก วิญญาณเหล่านี้ล้วนมีส่วนกับการฝึก หากทั้งในและนอกสมบูรณ์ ยามนี้การฝึกฝนจะไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นรูปแบบชะตา!

เมื่อข้ามผ่านรูปแบบชะตา จะต้องตามหาเส้นทางที่ขาดหายของตน สิ่งนี้เรียกว่าขาดชะตา!

ครั้นรู้ถึงข้อบกพร่องของตัวเอง ก็เหมือนรู้ถึงความผิดหวังของฟ้าดิน เหมือนเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลก สิ่งนี้เรียกว่าบรรลุชะตา!

เหนือกว่าบรรลุชะตา ความรุ่งโรจน์จะไร้ขอบเขต สามารถเหนี่ยวนำพลังแห่งโลก

สิ่งนี้เรียกว่าโลกชะตา!

รูปแบบชะตา ขาดชะตา บรรลุชะตา และโลกชะตา สิ่งเหล่านี้อยู่เหนือกว่าขั้นวิญญาณหมาน เหมือนกับการเดินเข้าสู่เส้นทางที่เหลืออยู่ของการสร้างชะตาเผ่าหมาน!” ชายชรามองซูหมิง คำพูดกระจายออกไป เสียงก้องกังวาน ซูหมิงยังทำแค่ยืนฟังอยู่ตรงนั้น

“ในชะตาของข้าขาดเพลิง เส้นทางการสร้างชะตาจึงต้องสูบเพลิงทุกอย่างของโลกใบนี้ ทว่า…จนกระทั่งสุดท้ายแล้วถึงพบว่าเพลิงนี้มิใช่หยาง แต่เป็นเพลิงของหยิน…

เพลิงนี้มีอยู่ในดวงจันทร์ ฉะนั้นข้าจึงคารวะดวงจันทร์ เรียกว่าการฝึกหมานแห่งเพลิง!

ทว่าข้ากลับไม่เข้าใจเพลิงดวงจันทร์ ไม่รู้สึกถึงความร้อนของดวงจันทร์ จิตข้าก็กลายเป็นหยินหยาง หนึ่งเป็นหมานเพลิง อีกหนึ่งเป็นเทพหมาน เหมือนกับท้องฟ้ามีทั้งกลางวันและกลางคืน หลงเหลือไว้เพียงสวรรค์หนอสวรรค์ ไฉนจึงร่ำไห้อยู่เพียงผู้เดียว…

หนึ่งชีวิตนี้ข้าสร้างของไว้นับไม่ถ้วนในแดนฝังกระดูกจู๋จิ่วอิน ความเศร้า ความเสียใจ ความขมขื่น ความโลภ…” ชายชรามองซูหมิงขณะพึมพำ ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความปลงอนิจจัง

ตัวอักษรบนศิลาด้านหลัง ยามนี้หายไปมากกว่าครึ่ง เหมือนว่าอีกไม่นานก็จะหายไปจนหมด

“เทพหมานรุ่นสาม หลีซานหั่ว ก่อนสลายมองท้องฟ้า หลับตาเหลือไว้…หากยุคสมัยหน้าคนเผ่าข้าลืมเส้นทางของข้าไป…ศิลาด้านหลังนี้คือมรดกของเทพหมานรุ่นหนึ่ง ทว่า…รุ่นสามคือจุดสิ้นสุด…”

ชายชรากล่าวจบ ตัวอักษรท้ายสุดบนแผ่นศิลาด้านหลังเขาเลือนราง สุดท้ายก็หายไป ยามนี้ทั้งศิลาว่างเปล่า

เมื่อตัวอักษรบนแผ่นศิลาหายไปจนหมด ใบหน้าชายชราตรงหน้าซูหมิงก็เน่าเปื่อยเช่นกัน จากนั้นถึงค่อยๆ สลายไปกับตาเขา

ยามนี้มีลมอ่อนๆ พัดเข้ามา พัดร่างชายชราให้สลาย ม้วนเศษเถ้าธุลีลอยไกลออกไป มีเพียงจุดที่ชายชรานั่งอยู่ที่ยังไม่ถูกลมพัดกระจาย มันเป็นไข่มุกกลมสามเม็ด ไข่มุกนี้มีสีวาววับอ่อนจาง แต่ดูพิลึกอย่างบอกไม่ถูก ราวกับสามารถกลืนกินแสง ดูเด่นตาอย่างยิ่ง

ชายชราคนนี้ตายไปนานแล้ว บางทีสิ่งที่เหลืออยู่นี้อาจเป็นวิญญาณหรือจิต ไม่ก็ตัวตนอื่นๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาตายมาไม่รู้กี่ปีแล้ว

ฉะนั้นซูหมิงจึงไม่กล่าวอะไร เขามองออกว่าสายตาที่ชายชรามองตน ในลูกตาไม่มีร่างของเขาสะท้อนอยู่

ตอนนั้นเขาก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่อีกฝ่ายมองเป็นสิ่งที่มีอยู่ในอดีตมาไม่รู้กี่ปี ไม่ใช่ตนเอง

ซูหมิงไม่เข้าใจการตื่นขึ้น ทว่าตอนที่เขายืนอยู่บนยอดเขาและมองเห็นชายชรา เขาเห็นเพียงไข่มุกสามลูกที่วางอยู่บนพื้นตอนนี้

ส่วนชายชราเป็นเพียงภาพมายา กึ่งโปร่งใส ลอยอยู่เหนือไข่มุกสามลูก เหมือนกับทิ้งร่างมายาเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว และต้องการพูดเพียงประโยคนั้นเพื่อถ่ายทอดคุณงามความดีของเทพหมาน…

ขณะเดียวกัน ชั่วเวลาที่ชายชราสลายไปพร้อมกับตัวอักษรบนศิลา ตรงรอยแยกบนพื้นใต้ภูเขา ชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากในนั้นล้วนตัวสั่น ค่อยๆ กลายร่าง จากลักษณะคนก็ย่อขนาดลงจนกลายเป็นค้างคาว บินวนอยู่ด้านบนดุจปกคลุมผืนฟ้า แต่ละตัวส่งเสียงร้อง ผ่านไปพักใหญ่พวกมันถึงค่อยๆ รวมกลุ่มกลับเข้าไปในรอยแยกบนพื้นและหายไป

หลังจากพวกมันกลับเข้าไป ยอดเขาที่ซูหมิงอยู่สั่นสะเทือน มันค่อยๆ ยุบตัวลง ดูจากลักษณะแล้วคงจะกลับลงไปใต้ดินอีกครั้งเหมือนกับตอนที่มันปรากฏขึ้น

ซูหมิงยืนอยู่บนยอดเขา หลับตาลงพลางสัมผัสถึงการยุบตัวของภูเขา

แม้การเดินทางมาที่นี่จะไม่ได้คำตอบในใจ แต่ก็ยังเหมือนหาคำตอบเจออยู่บ้าง

‘หลังจากขั้นวิญญาณหมาน รูปแบบชะตา ขาดชะตา บรรลุชะตา โลกชะตา สิ่งนี้เรียกว่าเส้นทางการสร้างชะตา…’ ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อ ม้วนไข่มุกสามลูกนั้นกับแผ่นศิลาเข้าไปในถุงเก็บวัตถุ จากนั้นเขาลืมตาขึ้น มองพื้นตรงจุดที่ชายชราสลายไป ก่อนจะหมุนตัวบินขึ้นฟ้า

หลังจากออกจากยอดเขา ภูเขาลูกนี้ก็ยุบลงจนสุดท้ายหายไปบนผืนดิน รอยแยกบนพื้นผสานรวมกับอีกครั้ง ไม่นานผืนดินทั้งหมดก็ไม่มีรอยแยกอีก

ซูหมิงลอยอยู่กลางอากาศ สีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อย ผ่านไปพักใหญ่ถึงจะได้สติกลับมา

สิ่งที่เขาเห็นคือภาพมายาและคำพูดที่เทพหมานรุ่นสามผู้ยิ่งใหญ่ทิ้งเอาไว้ก่อนตาย คำพูดนั้น บางทีเผ่าหมานในร่างของจู๋จิ่วอินคนนั้นอาจเคยได้ยิน แต่เหตุใดเขาถึงไปอยู่ในร่างของจู๋จิ่วอิน เหตุใดเขาถึงไม่เอาไข่มุกทั้งสามของเทพหมานทั้งสามรุ่นไป สิ่งนี้คือความสงสัยที่ซูหมิงไม่รู้คำตอบ

‘มรดกของเทพหมานรุ่นหนึ่ง ทว่ารุ่นสามคือจุดสิ้นสุด…อักษรบนศิลานั้นหายไป เกรงว่าคงจะเป็นเพราะเหตุนี้ ถึงสืบทอดได้เพียงสามรุ่นอย่างนั้นหรือ…’ ซูหมิงหมุนตัวกลับ มุ่งหน้าไปทางหุบเขาเผ่าชะตาชีวิต ขณะบินอยู่ในใจกลับรู้สึกหนักอึ้ง

“รุ่นสามคือจุดสิ้นสุด…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เขาพอจะจินตนาการออก ในอดีตกาลตอนที่แผ่นดินหมานยังไม่แบ่งเป็นหลายส่วน บนท้องฟ้าของราชวงศ์ต้าอวี๋มีร่างเงายิ่งใหญ่อยู่ ร่างนั้นพาคนใต้บัญชาบินขึ้นฟ้า ก่อนจากไป ร่างนั้นยังหันมามองแผ่นดินแวบหนึ่ง

“รุ่นสามคือจุดสิ้นสุด!”

‘เทพหมานรุ่นหนึ่งฝึกฝนถึงระดับนั้นแล้ว สิ่งที่เรียกว่าราชวงศ์ต้าอวี๋และลูกหลานเผ่าหมานก็ไม่สำคัญอีกแล้ว เขานำพาเผ่าหมานให้เจริญรุ่งเรือง ทิ้งบทเพลงเทพหมานเอาไว้ให้คนรุ่นหลังสรรเสริญ ทว่าเขาปกป้องเผ่าหมานไม่ได้ชั่วนิรันดร์ พอส่งต่อมาจนถึงรุ่นสาม ก็เป็นการจากลาครั้งสุดท้ายของเขาแล้ว หากในสามรุ่นนี้มีคนเหนือกว่าเขา เช่นนั้นถึงจะมีการสืบทอดต่อ หากไม่มี เช่นนั้นเผ่าหมาน…ก็จะไม่ใช่ที่ที่เขาต้องสนใจอีก’ แววตาซูหมิงกระจ่างชัดขึ้น เขาพลันเข้าใจว่าชั่วชีวิตนี้เทพหมานรุ่นหนึ่งคงไม่กลับมาเผ่าหมานแล้ว

ซูหมิงส่ายศีรษะ หายลับไปในค่ำคืน

ยามนี้ นอกโลกเก้าหยิน บนแผ่นดินอรุณใต้ของเผ่าหมานและเชมันกำลังเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ภัยพิบัติครั้งนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หลายปีมานี้ผู้ฝึกตนทั้งแผ่นดินใหญ่ล้วนรู้ดี

ภัยพิบัติแดนรกร้างบูรพา!

เดิมทีภัยพิบัตินี้ควรจะมาถึงเมื่อหลายปีก่อน แต่เผ่าหมานกับเผ่าเชมันก็ทำทุกวิถีทางเพื่อยืดมันออกไป แต่ตอนนี้ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่มีทางขวางภัยพิบัติครั้งนี้ได้แล้ว

ทางตะวันออกของแดนอรุณใต้ น้ำทะเลซัดสาด คลื่นลูกใหญ่ยักษ์ถาโถม น้ำทะเลจำนวนมากจมแผ่นดินเชมันไปเกือบครึ่ง ใต้น้ำทะเลกว้างไกลนั้น หลังจากยอดเขานับไม่ถ้วนถูกจมอยู่ใต้ทะเล สิ่งมีชีวิตจำนวนมากสูญเสียทุกอย่างไปในภัยพิบัตินี้

สัตว์ร้ายจำนวนมากในน้ำและยังมีคนยักษ์ที่โผล่มาครึ่งหัวกลางทะเล ยามนี้กำลังเดินหน้ามาบนแผ่นดินเชมันทีละก้าวตามกระแสน้ำ

น้ำทะเลส่งเสียงดังสนั่น กว้างไกลสุดสายตา หากยืนบนขอบแผ่นดินเชมันที่ถูกจมลงแล้วมองออกไป จะเห็นว่ามีเงามืดผืนใหญ่ยักษ์อยู่ไม่ไกลนัก เงามืดนั้นเหมือนไม่มีสุดปลาย เป็นแผ่นดินใหญ่ไพศาล หรือเรียกกันว่าแผ่นดินใหญ่รกร้างบูรพา!

ในที่สุดมันก็มาถึงแล้ว!

สิ่งที่แดนอรุณใต้ต้องเจอคือภัยพิบัติที่แท้จริง น้ำทะเลจะลุกลามเข้ามารุนแรงกว่าตอนนี้ไม่รู้กี่เท่า กระทั่งยังไม่อาจเปรียบเปรยได้ นั่นก็คือ…การชนกันของสองแผ่นดินใหญ่!

จะต้องมีแผ่นดินหนึ่งแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version