ตอนที่ 503 โลกกระจก
เมื่อเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์หายไป ซูหมิงก็นำไข่มุกทั้งสามลูกของเทพหมานรุ่นสามกลับมายังหุบเขาเผ่าชะตาชีวิตด้วยความสับสน
ฤดูฝนยังไม่จบ สายฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องดุจม่านเม็ดไข่มุก ชาวเผ่าที่อาศัยอยู่ในหุบเขาส่วนใหญ่มาอยู่ตรงปากถ้ำของตน และนั่งฌานอย่างเงียบๆ พลางมองข้างนอก
ซูหมิงตากฝนจนมาถึงถ้ำของเขาในหุบเขา นั่งลงแล้วหลับตา ภาพต่างๆ ในเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์ลอยขึ้นในความคิด
ผ่านไปพักใหญ่ ซูหมิงก้มหน้าลง แบมือขวา ตรงกลางมือมีไข่มุกสามลูกส่องแสงหม่นและดึงแสงจากรอบๆ
‘ไข่มุกสามลูกนี้น่าจะเป็นกายวิญญาณที่เทพหมานรุ่นสามบอก และก็เป็นของที่ให้ข้านำไปราชวงศ์ต้าอวี๋ ทว่า…ราชวงศ์ต้าอวี๋ยังอยู่หรือไม่?’ ซูหมิงกำมือแน่นอย่างเงียบๆ แล้วเก็บไข่มุกสามลูกนั้นไป เขาพลันนึกถึงศิลาที่ไม่มีตัวอักษรแล้วตอนนี้
“มรดกของรุ่นหนึ่ง รุ่นสามคือสิ้นสุด…เลี่ยซานซิวเป็นคนเด็ดขาดจริงๆ”
ซูหมิงพึมพำเบาๆ เขารู้สึกถึงสภาพจิตใจของเทพหมานรุ่นหนึ่งเลี่ยซานซิวตอนจากไปในครั้งนั้นรางๆ
‘เมื่อเป็นเช่นนั้น เทพหมานรุ่นสี่ก็ไม่มีทางปรากฏตัวขึ้นอีก เมื่อไม่มีมรดกเทพหมาน เส้นทางในอนาคตต้องดูว่าเผ่าหมานจะเดินไปอย่างไร…’ ซูหมิงก้มหน้าลงมองเส้นผมบนนิ้วมือแวบหนึ่ง นัยน์ตาพลันเป็นประกาย
‘เทพหมานเลี่ยซานซิวไม่สนใจเผ่าหมานแล้วจริงๆ ตัดความผูกพันทางสายเลือดอย่างนั้นหรือ…หากเป็นเช่นนั้น เส้นผมนี้จะอธิบายอย่างไร…’
‘อีกอย่าง ด้วยความแกร่งของเลี่ยซานซิวในตอนนั้น จะไม่คิดถึงภยันตรายของเผ่าหมานหลังจากเขาไปแล้วเลยหรือ หากเป็นอย่างนั้น นอกจากจะทิ้งมรดกเอาไว้แล้ว ต่อให้มรดกนี้สิ้นสุดที่รุ่นสาม ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่ทิ้งมรดกอื่นๆ เอาไว้อีก!
เขาจะต้องมั่นใจมากถึงจากไปอย่างสบายใจ…อีกอย่าง ชายชราโครงกระดูกเผ่าวิญญาณหยินเคยบอกว่าข้าเป็นคนที่สี่ที่บุกผ่านแปดวิหาร คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคนแรกก็น่าจะเป็นเทพหมานรุ่นหนึ่งเลี่ยซานซิว บางทีสามคนก่อนหน้าข้าอาจเป็นสามเทพหมานผู้ยิ่งใหญ่ เช่นนั้นคนที่สอง…คือใคร?’
ซูหมิงขมวดคิ้วพลางขบคิด
‘ในคำพูดของเทพหมานรุ่นสาม ไม่ได้บอกว่าเทพหมานรุ่นสองเคยมาโลกเก้าหยิน เช่นนั้นคนที่สองเป็นใคร…มีโอกาสเป็นรุ่นสองและก็ไม่ใช่!’
ซูหมิงขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง เรื่องนี้เขาไม่มีเบาะแสมากนัก ยากจะวิเคราะห์ออก เลยระงับความสงสัยเอาไว้และเลิกคิดถึงเรื่องนี้ไปก่อน
‘กว่าวิญญาณโลกที่เผ่าวิญญาณหยินบอกจะตื่นขึ้น อย่างเร็วคือครึ่งเดือน อย่างช้าคือหนึ่งเดือน ตอนนี้ผ่านไปหลายวันแล้ว เวลาเหลือไม่มากแล้ว…’ ขณะซูหมิงนั่งขัดสมาธิก็ใช้จิตสัมผัสปกคลุมหุบเขาเอาไว้ จากนั้นแจ้งเรื่องที่จะออกจากที่นี่ให้กับหนานกงเหินซึ่งกำลังนั่งณาณอยู่
หนานกงเหินพลันลืมตาขึ้น ลมหายใจกระชั้น ก่อนรีบเดินออกมาจากถ้ำตรงมาหาซูหมิงอย่างไม่ลังเล
ครู่ต่อมา หนานกงเหินก็ยืนอยู่ในถ้ำของซูหมิงด้วยความนอบน้อม
“คอยจับตาดูปรากฏการณ์บนท้องฟ้าตลอดเวลา มันจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ เมื่อตอนนั้นมาถึง ข้าจะออกไปจากที่นี่ ทว่าการเดินทางครั้งนี้อาจมีอันตรายใหญ่หลวงอยู่ หรือบางทีไปแล้วอาจไม่ได้กลับมาอีก เจ้าบอกเรื่องนี้กับชาวเผ่าชะตาชีวิตทุกคนแล้วให้คำตอบข้าว่าจะอยู่หรือไป” ซูหมิงมองหนานกงเหินพลางกล่าวเนิบๆ
หนานกงเหินเงียบไปพักหนึ่ง พยักหน้าแล้วหมุนตัวจากไป
หลังจากหนานกงเหินออกไปแล้ว ซูหมิงก็ขบคิดอีกชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นยืนขึ้นเดินออกจากถ้ำเช่นกัน สายฝนข้างนอกตกลงมาดังซ่าๆ เม็ดฝนใหญ่ตกบนหินภูเขาจนเกิดเสียงดังเปาะแปะเบาๆ แต่กลับถี่ยิ่งนัก เชื่อมกันเป็นคลื่นเสียง ทำให้ผู้ฟังยากจะรู้ว่าในเสียงเปาะแปะนั้นมีเม็ดฝนตกลงมาเท่าไร
ซูหมิงเดินออกมาจากหุบเขาท่ามกลางสายฝน เดินไปตามทางแคบ มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของหุบเขา ที่นั่นคือแท่นบวงสรวงกระดูกสัตว์ของโลกเก้าหยิน และก็เป็นจุดกำเนิดผู้สื่อวิญญาณของเผ่าเชมัน
ในเมื่อต้องไปในอีกไม่นานแล้ว ซูหมิงก็อยากจะรู้ว่าเขาจะสัมผัสถึงความมหัศจรรย์ของแท่นบวงสรวงกระดูกสัตว์หรือไม่
เมื่อซูหมิงเข้ามาในเขตแท่นบวงสรวง สิ่งแรกที่เห็นคือม่านฝนขมุกขมัวและหลุมศพเต็มพื้น บนหลุมศพเหล่านั้นล้วนมีศิลาสลักชื่อคนตายทั้งหมดในสิบห้าปีมานี้
ซูหมิงเดินผ่านหลุมศพไป เห็นหลุมศพของเถี่ยมู่ เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นพักหนึ่งแล้วเดินต่อไป
ไม่นาน ขณะซูหมิงกำลังเดินอยู่ก็ได้ยินเสียงเรียกเบาๆ ข้างหู เสียงเรียกนั้นไม่ใช่เสียงเดียว แต่รวมกันเป็นกลุ่ม ให้ความรู้สึกไร้ที่สิ้นสุด สายฝนรอบๆ ตัวก็ยิ่งขมุกขมัว กระทั่งยังมีหมอกลอยขึ้นมาจากผืนดิน ลอยอยู่กลางอากาศเต็มสายตา
ซูหมิงหยุดชะงัก ตรงหน้าเขาเป็นแท่นบวงสรวงยักษ์สูงตระหง่าน เพราะความขมุกขมัวของที่นี่จึงมองไม่เห็นยอด เห็นเพียงขั้นบันไดทอดลงมา
บนขั้นบันไดเป็นสีแดงทึบ ส่งกลิ่นคาวเลือด ราวกับว่าที่นี่ตกตะกอนโลหิตมาไม่รู้กี่ปี ตอนนี้มันแห้งกรังและเป็นส่วนหนึ่งกับแท่นบวงสรวงแล้ว เมื่อสายฝนตกลงมาเลยกลายเป็นน้ำสีแดง ทว่ากลับไม่อาจชะล้างจนหมด
ซูหมิงมองแท่นบวงสรวงกับขั้นบันไดตรงหน้า หลังจากตรึกตรองครู่หนึ่งแล้วก็ก้าวเดินขึ้นไป วินาทีที่เหยียบขั้นบันไดพลันมีเสียงตะโกนดังก้องข้างหูเขา
เพียงเสียงเดียวกลับสั่นสะเทือนฟ้าดิน เหมือนฟ้าผ่ากลางสายฝน อีกทั้งในหลุมศพโดยรอบ ยังมีร่างเงาวิญญาณเลือนรางลอยขึ้น เสียงนั้นก็คือเสียงคำรามของพวกมันพร้อมกัน!
‘จุดให้กำเนิดผู้สื่อวิญญาณ…’ นัยน์ตาซูหมิงวาววับ เดินไปบนขั้นที่สองและเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมายืนอยู่บนยอดแท่นบวงสรวง ที่นั่น เขาเห็นพื้นบนแท่นมีโครงกระดูกใหญ่อยู่ร่างหนึ่ง มันถูกตรึงเอาไว้แน่นบนแท่น โครงกระดูกนี้ไม่มีเลือดเนื้อ เป็นเพียงกระดูก มีท่าทางเหมือนเงยหน้าอ้าปากตะโกนขึ้นท้องฟ้า
ซูหมิงหรี่ม่านตา ท่าทางของโครงกระดูกถูกตรึงกับพื้นเช่นนี้ ทำให้เขานึกถึงชายชราเสื้อคลุมเหลืองที่คืนร่างจากโครงกระดูกในวิหารเก้าของยอดเขาเผ่าวิญญาณหยิน!
ซูหมิงมองโครงกระดูกอย่างละเอียดแล้วมองทอดไกลออกไป ทันใดนั้นเขาพลันตัวสั่นสะท้าน นัยน์ตาเป็นประกาย
นี่เป็นครั้งแรกที่เขายืนอยู่บนแท่นบวงสรวงนี้ เป็นครั้งแรกที่มองทอดไกลออกไป ในสายตาเขาเหมือนว่าแท่นบวงสรวงนี้ไร้ที่สิ้นสุด เรียงต่อกันเป็นมังกรยาว ยืดยาวออกไปไกลอย่างยิ่ง
เขานับไม่ไหวว่ามีเท่าไร แท่นบวงสรวงทุกแท่นจะมีโครงกระดูกอยู่หนึ่งร่าง หากเพียงเท่านี้ เขาคงไม่ตื่นตะลึงขนาดนี้ ทว่าสิ่งที่เขาเห็นคือบนแท่นบวงสรวงนับไม่ถ้วน นอกจากโครงกระดูกแล้วยังมีคนยืนอยู่คนหนึ่ง!
บุคคลนั้นสวมชุดขาว เส้นผมปลิวไสว กำลังมองทอดไกล!
บุคคลนั้นก็คือซูหมิง!
ผ่านไปนาน ซูหมิงจึงละสายตากลับ มองเส้นทางตอนมา ตรงนั้นยังคงปกติทุกอย่าง เขาเห็นหลุมศพใต้บันไดข้างล่างและเส้นทางแคบ รวมถึงหุบเขาด้านหลังหลุมศพ
ซูหมิงหมุนตัวกลับมองทอดไกลไปข้างหน้าแท่นบวงสรวงอีกครั้ง ภาพพิลึกเมื่อครู่ก็ปรากฏอีกครั้งเช่นกัน เขาขมวดคิ้วมองโครงกระดูก แท่นบวงสรวงนับไม่ถ้วน และยังมีตัวเองจำนวนมาก คิดว่ามันเกิดขึ้นจากภาพมายา
เขากลายเป็นสายรุ้งยาวตรงไปยังจุดที่มอง มันเป็นแท่นบวงสรวงที่ใกล้ที่สุด ทว่าแทบจะเป็นช่วงที่เขาขยับตัว ร่างเงาของเขาบนแท่นบวงสรวงจำนวนมากตรงหน้าก็ขยับพร้อมกัน ก่อนมุ่งหน้าไปยังที่ไกลกว่า กระทั่งแท่นบวงสรวงยังยืดยาวออกไป เพิ่มเป็นแท่นบวงสรวงอีกมากในชั่วพริบตา
ซูหมิงยืนบนแท่นบวงสรวงที่สอง ขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิม แม้มองออกว่าสร้างขึ้นจากภาพมายา แต่ก็หาคำอธิบายไม่ได้ อย่างเช่นเส้นทางตรงหน้านี้ที่ไม่มีสิ้นสุด ยากจะเดินถึงส่วนลึกที่สุด
“วงแหวนอาคมอย่างนั้นหรือ…”
ซูหมิงกลายเป็นเส้นโค้งบินถอยกลับมายังแท่นบวงสรวงแรก จนกระทั่งถอยมาอยู่ตรงขั้นบันได ทุกอย่างสลายไปเป็นควัน ฝนโดยรอบยังคงตกอยู่ ภาพมายาที่ซูหมิงคิดเอาไว้ก็หายไปด้วย
“ยังเหลืออีกสิบวัน…” ขณะกำลังขมวดคิ้ว พลันมีเสียงแหบพร่าดังแว่วเข้ามาข้างกายเขา เสียงนั้นเบาบางยิ่งนัก ดังขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนก่อน
ซูหมิงหมุนตัวไป ด้านหลังเขายามนี้ปรากฏร่างคนผู้หนึ่งตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ร่างนั้นคือชายชราเสื้อคลุมเหลืองเผ่าวิญญาณหยิน เพียงแต่ว่าร่างเขาเป็นมายาโปร่งใส ดูมิใช่ความจริง
“หลังจากนี้สิบวัน วิญญาณโลกจะตื่นขึ้น เจ้าพาชาวเผ่าของเจ้าจากไปได้ หลังจากเปิดอาคมแล้ว มันจะไปตามวงโคจรในตอนนั้นและส่งข้ากลับบ้านเช่นกัน…” ชายชรายิ้มมองซูหมิง
“แท่นบวงสรวงที่นี่คือที่ใด?” ซูหมิงพลันกล่าวขึ้น
“ที่นี่คืออาคมเคลื่อนย้ายในของวิเศษ เป็นของที่มีเฉพาะในโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาเรียกมันว่า….กระจก” ชายชรามองวงแหวนอาคมพลางกล่าวเนิบๆ
“เจ้าไม่รู้สึกว่ามันเหมือนเป็นโลกในกระจกตอนเรามองกระจกรึ มีตัวเองอยู่นับไม่ถ้วน เจ้าขยับมันก็ขยับ เจ้าไม่ขยับ มันก็จะหยุด” เสียงชายชราดังวนเวียนอยู่รอบๆ ล่องลอยไม่แน่นิ่ง
“ในเมื่อเป็นอาคมเคลื่อนย้าย เช่นนั้นจุดที่มันจะส่งไปคือที่ใด?” ซูหมิงขมวดคิ้ว
“โลกในกระจก! ท้องฟ้าจักรวาลมีด้านตรงและด้านกลับ วงแหวนอาคมนี้ก็คือขอบเขต น่าเสียดายมันไม่สมบูรณ์ พลังของโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ทำได้เพียงเท่านี้ เลยสร้างให้มันสมบูรณ์แบบไม่ได้
เจ้าอยากดูโลกในกระจกหรือไม่?” ชายชรามองซูหมิงพลางกล่าวเบาๆ
“ทำอย่างไร?” นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย
“ขอแค่เจ้าสามารถข้ามผ่านกระจกนี้ไป จนเมื่อเงาของกระจกยากจะเลียนแบบเจ้าต่อไปแล้ว เจ้าก็จะเห็นโลกในกระจก
นี่คือกฎที่ซ่อนอยู่ในโลก โลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์เรียกมันว่ากฎมนุษย์ล่องหน…ในโลกหยินศักดิ์สิทธิ์ของข้า มีผู้แข็งแกร่งไม่น้อยคิดว่าหากศึกษากฎนี้จนถ่องแท้จะเป็นเส้นทางมุ่งหน้าไปสู่ธรรม” ชายชรากล่าวพลางมองซูหมิงแวบหนึ่ง ร่างเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นภาพมายา สุดท้ายก็โปร่งใสจนหายไป
“วงแหวนอาคมนี้ไม่มีอันตราย แต่ถอยไม่ได้ ถอยหนึ่งก้าวก็ต้องเริ่มใหม่ ข้าจะเปิดวงแหวนอาคมนี้ให้เจ้า หลายหมื่นปีมานี้ เจ้าเป็นคนแรกที่มีโอกาสเข้าไป นี่คือของขวัญสำหรับสหายของเผ่าวิญญาณหยิน”