Skip to content

สู่วิถีอสุรา 491

ตอนที่ 491 ภูเขาหมื่นอรุณ

วินาทีที่ซูหมิงป้ายนิ้วในดวงตาซ้าย โลกในดวงตาซ้ายเปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นก็ป้ายดวงตาขวาต่อ โลกทั้งใบของซูหมิงก็กลายเป็นแสงสีโลหิตเช่นกัน

แดงสดดั่งเลือด แผดเผาดุจเปลวเพลิง!

ทันทีที่ซูหมิงทำเพลิงโลหิตแผดเผา เปลวเพลิงเข้มข้นปะทุมาจากในตัวเขา เปลวเพลิงนี้ไม่มีพลังเท่าฝ่ามือเพลิงยักษ์บนท้องฟ้า ทว่ากลับอบอวลอยู่รอบตัว เส้นผมปลิวไสว ช่วงที่ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมอง กลับให้ความรู้สึกแน่วแน่ราวกับฟ้าดินถล่มทลายก็ยังคงสงบนิ่ง

“ข้าคือผู้สืบทอดหมานเพลิง ข้าก็ใช้วิชาคารวะดวงจันทร์ได้เหมือนกัน!” ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น ประสานมือคารวะดวงจันทร์ที่เก้าบนท้องฟ้า

เมื่อคารวะเสร็จ ดวงจันทร์ที่เก้าบิดเบี้ยว ข้างๆ มันเหมือนจะปรากฏเงามายาซ้อนทับขึ้น!

ฝ่ามือเปลวเพลิงที่ตรงเข้ามาหาซูหมิงยังสั่นไหว ราวกับไม่อาจรับการคารวะของซูหมิงไหว ขณะกำลังตรงเข้ามา กลับมีเค้าลางจะมอดดับ

ค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองที่อยู่ไม่ไกล ยามนี้ตาค้างอ้าปากกว้าง เสียงโครมดังในความคิด ดูตื่นตะลึงและเหลือเชื่อ มันย่อมรู้ถึงความแกร่งของซูหมิงดี ตามหลักแล้วไม่ว่าซูหมิงจะใช้วิชาอะไรมาต้าน มันก็จะไม่หน้าเปลี่ยนสีติดกันเช่นนี้

ทว่ามันกลับไม่คิดเลยว่า ซูหมิงจะใช้วิชาคารวะดวงจันทร์เหมือนกับมันทุกประการมารับฝ่ามือเปลวเพลิง!

ไม่ว่าอย่างไรมันก็คิดไม่ถึง นี่แทบจะทำลายความรู้สึกนึกคิดของมัน วิชาคารวะดวงจันทร์เป็นวิชาที่สืบทอดกันมาของเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองเท่านั้นถึงจะได้ใช้ คนนอกเผ่ายากจะครอบครอง

นี่คือวิชาที่บรรพบุรุษดวงจันทร์ที่เผ่าพวกมันบูชาถ่ายทอดให้ด้วยตัวเอง และเป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพวกมัน!

ทว่าตอนนี้มันกลับเห็นซูหมิงใช้วิชานี้ด้วยตัวเอง กระทั่งตอนใช้วิชามันยังเกิดความรู้สึกคิดไปเองว่าวิชาคารวะดวงจันทร์ของซูหมิงนี้เป็นแบบดั้งเดิมมากกว่าของตน!

กันดีว่าการที่มันจะใช้วิชานี้จำต้องยืมพลังของบรรพบุรุษดวงจันทร์ และยังใช้งานไม่ได้ทันทีด้วย อีกทั้งที่สำคัญที่สุดคือมันคารวะดวงจันทร์ได้อย่างเดียว แต่ทำเพลิงโลหิตแผดเผาไม่ได้!

เพลิงโลหิตแผดเผา ในเผ่าพวกมันมีเพียงผู้อาวุโสสูงสุดกับจ้าวเผ่าเท่านั้นถึงจะได้รับการถ่ายทอดฝึกฝน นี่คือวิชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์

หากเพียงเท่านี้คงไม่เท่าไร สิ่งที่ทำให้มันรู้สึกใกล้จะเสียสติคือหลังจากซูหมิงใช้เพลิงโลหิตแผดเผาคารวะดวงจันทร์ดวงที่เก้าแล้ว ก็มีความรู้สึกและกลิ่นอายพลังปล่อยมาจากตัวอีกฝ่าย มันรู้สึกตื่นกลัวและยำเกรงจากก้นบึ้งหัวใจ เหมือนตอนอยู่ต่อหน้าเทวรูปบรรพบุรุษศักดิ์สิทธิ์บนเขาหมื่นอรุณ

“เจ้าเป็นใคร เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงใช้วิชาที่บรรพบุรุษดวงจันทร์ถ่ายทอดให้เผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์ได้!” ค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองร้องตะโกน และร่นถอยอย่างรวดเร็ว

“วิชาคารวะดวงจันทร์ที่เจ้าพูดถึงเป็นอภินิหารมรดกของเผ่าหมานเพลิง เจ้าเป็นใคร?” ซูหมิงมีสีหน้ามืดทะมึน เดินหน้าหนึ่งก้าวพลางแผ่ขยายจิตสัมผัส สร้างเป็นแรงกดดัน ยืมพลังจากเพลิงโลหิตแผดเผามาบีบอัดค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทอง

“ข้าคือเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์……” ค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองกำลังจะกล่าว พลันถูกซูหมิงขัดขึ้นก่อน

“วิชาคารวะดวงจันทร์ ข้าเป็นผู้สืบทอด ในโลกนี้มันเป็นของหมานเพลิงเท่านั้น เจ้ามาถามข้าสิ?” ซูหมิงยิ้มเยาะ พลางกล่าวขึ้น

“ค้างคาวศักดิ์สิทธิ์กับค้าวคาวจันทราคล้ายกันมาก ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าเกี่ยวข้องกับค้างคาวจันทราอย่างไร?” ซูหมิงก้าวเดินไปหนึ่งก้าว

“บรรพบุรุษดวงจันทร์ที่เจ้าพูดถึงคือใคร แล้วใช้วิชานี้ได้อย่างไร?” ซูหมิงกล่าวต่อ ไม่ให้เวลาค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองที่กำลังถอยได้ตรึกตรองมากนัก ใช้จิตสัมผัสสร้างเป็นแรงกดดัน แล้วถามติดต่อกันขณะค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองจิตใจปั่นป่วน!

“เผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเซ่นไหว้บรรพบุรุษดวงจันทร์อย่างไร?”

“วิชาหมานเพลิงที่เจ้าฝึกฝนยังไม่สมบูรณ์ เป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น เจ้าใช้เพลิงโลหิตแผดเผาได้หรือไม่?”

“ในเมื่อฝึกฝนวิชาหมานเพลิงและยังกล้ามาใช้ต่อหน้าข้า ไม่รู้จักประมาณตนไม่ว่า เป็นใครให้เจ้าลงมือในครั้งนี้?” หลังจากถามติดต่อกัน น้ำเสียงเขาพลันเปลี่ยนไป ถามมาหนึ่งคำถามปานสายฟ้าผ่า!

“เป็นใครให้เจ้ามา!” ซูหมิงกล่าวขึ้นปานฟ้าผ่า สุดท้ายค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองก็ถูกแรงกดดันจากจิตสัมผัสบีบอัดกับและถามติดต่อกันจนเสียสติ

“บรรพบุรุษดวงจันทร์……” มันโซเซถอยหลัง มีเสียงอื้ออึงดังในความคิด คำถามปานฟ้าผ่าของซูหมิงนี้ ทำให้มันเกิดความรู้สึกว่าต้องตอบ ประดุจว่ามีจิตใจอันแน่วแน่ลงมายังตัวมันจึงไม่อาจต่อต้าน

“บรรพบุรุษดวงจันทร์อยู่ที่ใด!” ซูหมิงเดินหน้ามาอีกครั้ง น้ำเสียงดังสนั่นยิ่งขึ้น

“ภูเขาหมื่นอรุณ….”

“เจ้าไปเซ่นไหว้เขาเมื่อไร!” ซูหมิงบีบเข้ามาใกล้อย่างต่อเนื่อง น้ำเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ขณะค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองเสียสติ ก็มีโลหิตไหลมาจากทวารทั้งเจ็ด

“นานมาก……ข้าไม่รู้……อ๊าก…..” ในที่สุดค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองก็ทนไม่ไหว ร้องตะโกนด้วยความน่าอดสู สองมือกดศีรษะเอาไว้พลางห้อเหยียดถอยไป เสียงกรีดร้องดังกังวาน สายตาพร่ามัว มีโลหิตไหลมาจากมุมปาก ในความคิดมีเสียงซูหมิงดังก้องไม่หยุด และดังชัดขึ้นเรื่อยๆ ปานจะทำลายสมองของมัน

ซูหมิงหยุดเดิน มองค้างคาวศักดิ์สิทธิ์ที่โซเซถอยไปแวบหนึ่ง แล้วเก็บจิตสัมผัสและกลิ่นอายพลังหมานเพลิงจากเพลิงโลหิตแผดเผา จากนั้นก็ยกมือขวาสะบัดไปทางค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทอง ด้านหลังค้างคาวศักดิ์สิทธิ์ที่เสียสติพลันปรากฏเงามายาใหญ่ เงามายานี้ก็คือจู๋จิ่วอิน!

มันอ้าปากกว้างและเขมือบลงไป จากนั้นร่างเงาก็สลายไปกลายเป็นงูน้อย มันตรงมายังซูหมิงและนอนขดตัวอยู่บนบ่าเขา แลบลิ้นเป็นบางครั้ง

ซูหมิงขมวดคิ้ว ยืนขบคิดอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง

‘ไม่ใช่เหอเฟิง…ตามที่ค้างคาวศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้บอก พวกมันเซ่นไหว้บรรพบุรุษดวงจันทร์มานานมาก เวลาไม่สอดคล้องกัน ทว่าก็ต้องดูที่ว่าตอนข้าอยู่ในโลกอมตะ โลกภายนอกผ่านมากี่ปี

เขาหมื่นอรุณ…’ ขณะครุ่นคิด ซูหมิงรู้สึกคุ้นชื่อนี้เล็กน้อย ทว่านึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าคุ้นตรงไหน ขณะขบคิด ก็หมุนตัวกลับ แล้วมุ่งหน้าไปยังหุบเขาที่เผ่าเชมันอาศัยอยู่

จนกระทั่งเห็นหุบเขาที่เผ่าเชมันอาศัยอยู่บนแผ่นดินไกลๆ เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าเหตุดถึงคุ้นชื่อเขาหมื่นอรุณนัก ทว่าเขามั่นใจมากว่าตนน่าจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

ทันทีที่ซูหมิงกลับมาถึงหุบเขา เขาได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ชาวเผ่าเชมันที่เหลืออยู่ล้วนเดินออกมาจากถ้ำ หลังจากเห็นซูหมิงแล้ว ทุกคนก็ต่างพากันคุกเข่ากับพื้น

“พวกข้าถูกทอดทิ้ง เรียกตัวเองว่าเผ่าชะตาชีวิต ขอคารวะท่านโม่ซู!”

หลายร้อยคนคุกเข่า เสียงหลายร้อยคนรวมเป็นหนึ่งเดียว ก่อเป็นคลื่นเสียงดังกังวาน ในเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความจริงใจและซาบซึ้ง ทั้งยังมีความเคารพยำเกรงอย่างบ้าคลั่ง

สำหรับพวกเขาแล้ว ซูหมิงเป็นดั่งดวงไฟส่องสว่างในความมืด เหมือนความหวังในความสิ้นหวัง

ร่างซูหมิงค่อยๆ ลดระดับลงมาจากท้องฟ้า มายืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเผ่าชะตาชีวิต มองผู้คนเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง และส่วนใหญ่ยังซูบผอมปานหนังหุ้มกระดูก อีกทั้งยังเห็นความซาบซึ้งและเคารพในแววตาพวกเขา

“เหตุใดถึงเรียกตัวเองว่าเผ่าชะตาชีวิต?” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง

“พวกข้าถูกเผ่าเชมันทอดทิ้ง ไม่มีอนาคต ไม่มีความหวัง เลยต้องสร้างอนาคตของตัวเอง กุมความหวังเหมือนกุมชะตาชีวิตของตัวเอง ฉะนั้น…เราจึงเรียกตัวเองว่าเผ่าชะตาชีวิต!” หนานกงเหินคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ยามนี้เงยหน้าขึ้นกล่าวด้วยความแน่วแน่

ซูหมิงเงียบพลางมองคนเหล่านี้อีกครั้ง ในสายตาพวกเขา นอกจากความฮึกเหิมและเคารพแล้ว ยังมีความยึดมั่นดุจเปลวเพลิง ความยึดมั่นนี้คือความกระหายที่จะกุมชะตาชีวิตของตัวเอง กระหายที่จะเป็นผู้แข็งแกร่งตัดสินชะตาชีวิต ให้เผ่าเชมันที่ทอดทิ้งพวกเขาได้รู้ว่า พวกเขา…ไม่ต้องการความสงสารหรือกำลังเสริมจากใครอีก พวกเขาคือเผ่าชะตาชีวิต!

คนเหล่านี้มีผู้สูงอายุน้อยมาก นอกจากวัยหนุ่มแน่นแล้ว จะมีกลุ่มเด็กๆ ที่เยอะกว่า เด็กเหล่านี้เกิดที่นี่ ในความคิดพวกเขาเผ่าเชมันเป็นเพียงชื่อและเห็นชาวเผ่าตายมาตั้งแต่เยาว์วัยจนเติบใหญ่ แม้พวกเขายังเป็นเด็ก แต่สายตาที่มองซูหมิงกลับมีความเคารพฮึกเหิม และเปี่ยมล้นไปด้วยความยึดมั่นเช่นกัน!

นี่คือกลุ่มคนที่ถูกชะตาชีวิตบีบบังคับ เป็นกลุ่มที่จากนี้ไปจะไม่เกี่ยวข้องกับเผ่าเชมันอีก และมีเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของตัวเองที่เผ่าเชมันไม่มี!

ตอนนี้เจตนารมณ์นี้ยังอ่อนแอ ทว่าหากให้เวลาเผ่าชะตาชีวิตได้ขยายใหญ่ขึ้น หากเจตนารมณ์นี้เติบใหญ่ กลุ่มคนเหล่านี้จะน่ากลัวอย่างยิ่ง!

“พวกเรายินยอมให้ท่านโม่เป็นประมุข และจะปฏิบัติตามคำสั่ง!”

เสียงดังกังวานรอบแปดทิศดุจคลื่นทะเลซัดสาด ก้องอยู่นานไม่เลือนหาย

“หากเผ่าชะตาชีวิตมีประมุข จะยังเรียกว่าเผ่าชะตาชีวิตได้อีกรึ?” ซูหมิงเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวเรียบๆ

“พวกเรายินยอมให้ท่านโม่เป็นพระเจ้า ยินยอมให้ท่านโม่เป็นเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ ตราบไปชั่วนิรันดร์ ทุกยุคทุกสมัย!” หนานกงเหินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวขึ้นอีกครั้ง

“ตั้งแต่ข้าหายไปตัวไปจนถึงตอนนี้ ผ่านมาแล้วกี่ปี?” ซูหมิงเลี่ยงคำขอของหนานกงเหิน ถามในสิ่งที่เขาอยากรู้

“ตั้งแต่ท่านโม่หายตัวไป ตอนนี้ผ่านมาสิบห้าปีแล้ว…” หนานกงเหินกล่าวเสียงเบา

“เมืองเชมันกลายเป็นซากปรักหักพัง ภูมิประเทศในระยะหนึ่งล้านลี้เปลี่ยนไป พวกเจ้าอยู่ที่นี่ คนอื่นๆ ในตอนนั้นไปแล้วรึ? แล้วสิบห้าปีมานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

ซูหมิงเพ่งสายตามองหนานกงเหิน นี่คือเป้าหมายสำคัญที่เขามาหุบเขานี้!

หนานกงเหินมีสีหน้าขมขื่น หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งแล้วก็กล่าวต่อเรียบๆ

“สิบห้าปีก่อน หลังจากท่านโม่หายไปสามเดือน…” หนานกงเหินกล่าวถึงตรงนี้ ทันใดนั้น งูน้อยบนบ่าซูหมิงเงยหน้าลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววเย็นชาและส่งเสียงร้อง แววตามันเหี้ยมโหด จ้องไปยังถ้ำแห่งหนึ่งที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ในหุบเขานี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version