ตอนที่ 318 เงาใต้จันทรา
ซูหมิงทะยานเข้าไปในถ้ำปานลมกรด ตรงเข้าไปยังห้องหลอมรวมระหว่างเหอเฟิงกับค้างคาวจันทรา ช่วงที่เข้าใกล้ห้องหิน กลิ่นอายพลังดุร้ายพลันกระทบใบหน้า ซูหมิงหยุดชะงัก สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือเหอเฟิงลอยอยู่กลางอากาศภายในห้องหิน ด้านหลังมีปีกใหญ่ ปีกนี้เป็นของค้างคาวจันทรา!
ตรงระหว่างคิ้วของเหอเฟิงมีภาพสัญลักษณ์กลุ่มเพลิง ยามนี้เหมือนลุกโชติช่วง อยู่ระหว่างความจริงกับมายา ตอนที่เห็นภาพสัญลักษณ์ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก เพราะเขารู้จักภาพนั้น มันคือสัญลักษณ์ของเผ่าหมานเพลิง!
ภายในห้องหินอบอวลไปด้วยทะเลเพลิง อุณหภูมิสูงแผ่กระจายโดยรอบ ทว่าภายใต้อุณหภูมิสูงเช่นนี้ ซูหมิงกลับแน่นิ่งเหมือนไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ เหอเฟิงก็เช่นกัน เพียงแต่ว่าเขาแผดเสียงคำรามไม่หยุด สีหน้าเจ็บปวดเหมือนต่อสู้ดิ้นรน
ทุกครั้งที่ตราสัญลักษณ์เปลวเพลิงกะพริบแสง จะทำให้เหอเฟิงเจ็บปวดมากขึ้นไม่น้อย ใบหน้าเขามีเส้นเลือดดำปูดโปน หลับตาทนรับความเจ็บปวดต่อไปเรื่อยๆ
การหลอมรวมระหว่างค้างคาวจันทรากับเหอเฟิงเป็นการทดลอง ซูหมิงไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะเกิดอะไรขึ้น แต่หลายครั้งก่อนหน้านี้สำเร็จไปแล้ว มองจากการหลอมรวมครั้งสุดท้ายนี้ เหอเฟิงกับค้างคาวจันทรามีแน้วโน้มจะสมบูรณ์แบบ
‘ดูท่าการหลอมรวมครั้งสุดท้ายนี้มิใช่ร่างกาย แต่เป็น…ความทรงจำ!’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย มองเหอเฟิง เตรียมตัวลงมือตลอดเวลา
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เสียงคำรามเหอเฟิงทิ้งระยะห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ สัญลักษณ์เปลวเพลิงตรงระหว่างคิ้วยังคงตีตราไม่สมบูรณ์ ประหนึ่งขาดอะไรไปบางอย่าง
เมื่อเวลาผ่านไป เส้นเลือดดำค่อยๆ ปูดบนใบหน้าเหอเฟิงไม่หยุด ศีรษะและร่างใหม่เขาพองบวมขึ้น ราวจะระเบิดได้ตลอดเวลา
เสียงคำรามเขากลายเป็นเสียงร้องโหยหวน ตัวสั่นเทิ้ม ปีกด้านหลังเหมือนจะหลุดจากตัว ทะเลเพลิงในห้องหินอ่อนแสงลงไม่น้อย ราวกับว่าจะมอดดับลงได้ทุกเมื่อ
หากทะเลเพลิงมอดดับ หากปีกเหอเฟิงหลุดจากตัว นั่นก็หมายความว่าการหลอมรวมครั้งสุดท้ายล้มเหลว เหอเฟิงจะตาย วิญญาณค้าวคาวจันทราจะหายไป
เรื่องแบบนี้ซูหมิงไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด โดยเฉพาะเมื่อใกล้จะเริ่มสงครามหมอกนภาล่าเชมัน ยิ่งทำให้ซูหมิงรับไม่ได้
ซูหมิงเดินหน้าไปหนึ่งก้าวโดยไม่ต้องคิด ทันทีที่เหยียบเข้าไปในห้องหินทะเลเพลิง ทะเลเพลิงริบหรี่เหมือนถูกสาดด้วยน้ำมันเดือด พลันลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ทะเลเพลิงมหาศาลโอบล้อมตัวซูหมิง ประหนึ่งเขาเป็นราชาของพวกมัน การปรากฏตัวของซูหมิงทำให้พวกมันรุนแรงยิ่งขึ้น
ซูหมิงเหยียบลงบนเปลวเพลิงลุกโชติช่วง เดินเข้ามาถึงเหอเฟิง ขณะศีรษะเหอเฟิงพองบวมเหมือนจะระเบิดกระจุย เขายกมือขวาขึ้น ใช้นิ้วกดสัญลักษณ์เปลวเพลิงตรงระหว่างคิ้ว
ครั้นซูหมิงกดลงไป พลังสะท้อนกลับอันน่าทึ่งพลันปลดปล่อยออกมา กระแทกใส่นิ้วซูหมิง ทำให้เขาถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่อาจควบคุมได้
ซูหมิงเงยหน้า เขารู้สึกได้ว่าพลังสะท้อนกลับนี้มิได้มาจากค้างคาวจันทรา แต่เป็นการปฏิเสธทางจิตของเหอเฟิงที่กำลังหลอมรวม!
การปฏิเสธครั้งนี้พูดได้ว่าเป็นการขับไล่ การขับไล่นี้เหมือนบ่งบอกว่าเหอเฟิงไม่อยากให้ซูหมิงช่วย แต่อยากจะหลอมรวมครั้งสุดท้ายนี้ให้สำเร็จแล้วเป็นอิสระจากซูหมิงทันที!
เรื่องแบบนี้ซูหมิงย่อมเตรียมป้องกันมาก่อนแล้ว ตอนช่วยหลอมรวมหลายครั้งก่อนหน้านี้ก็เคยสังเกตเห็น
จึงเสริมวิธีการควบคุมอย่างต่อเนื่องผ่านการหลอมรวม ถึงอย่างไรหากเหอเฟิงทำสำเร็จ เขาจะเปลี่ยนไปในทิศทางใด แม้ซูหมิงจะคาดหวังไว้ก็ไม่อาจรู้ได้
ยามนี้เห็นเหอเฟิงขับไล่ตนเป็นครั้งแรก ซูหมิงจึงแค่นเสียงหึเย็นชา นัยน์ตาสองข้างเป็นแสงสีแดงเพลิง ภายในดวงตาเขาปรากฏดวงจันทร์อยู่รางๆ! ดวงจันทร์แผดเผา จันทร์สีแดงเพลิง!
ขณะเดียวกับที่จันทร์โลหิตปรากฏ เหอเฟิงแหงนหน้าคำรามขึ้นฟ้า ตัวเขามีค้างคาวจันทราลอยมาจากผิวหนังจำนวนนับไม่ถ้วน แผดเสียงคำรามเหมือนยอมศิโรราบ ปานคารวะซูหมิง
“เป็นเจ้าที่ไม่ยอมข้าเอง หรือว่าวิญญาณค้างคาวจันทราของข้าก็ด้วย…..”
ซูหมิงยืนในทะเลเพลิง จ้องเหอเฟิงที่มีสีหน้าเจ็บปวด จันทร์โลหิตในดวงตาเผยความรู้สึกประหลาด
“เป็นเจ้าเองที่อยากรวมร่างกับค้างคาวจันทรา ตอนนี้หากนึกเสียใจ…ข้าจะช่วยให้เจ้าหลุดพ้น!” น้ำเสียงซูหมิงดังกึกก้อง ทะเลเพลิงโดยรอบเกิดเสียงระเบิดและเดือดพล่านรุนแรงขึ้นอีกครั้ง เปลวเพลิงเผาไหม้รอบด้าน กระจายอยู่ทุกจุดของห้องหิน
อีกทั้งในตัวเหอเฟิง ค้างคาวจันทราเหล่านั้นแผดเสียงร้องเหมือนอยากพุ่งจากตัวเขา
เหอเฟิงตัวสั่นอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น คิดจะลืมตา ทว่ากลับไม่มีแรง ริมฝีปากบนล่างสั่นเทา พูดออกมาหลายคำ
“นายท่าน…ระงับ…โทสะ…”
ซูหมิงยกมือขวาขึ้น ครั้งนี้มิได้กดตรงหว่างคิ้วเหอเฟิงในทันที แต่กัดปลายนิ้วแล้วค่อยใช้โลหิตกดไปตรงระหว่างคิ้ว
ทันทีที่นิ้วชี้ซูหมิงกดลงไป โลหิตเขาพลันสัมผัสกับตราสัญลักษณ์เปลวเพลิงตรงระหว่างคิ้วเหอเฟิง พริบตาเดียว ตรงหว่างคิ้วปรากฏเส้นใยคล้ายตาข่ายผืนใหญ่ เส้นใยเหล่านี้เป็นสีแดงโลหิต ลุกลามทั่วตัวเหอเฟิงอย่างรวดเร็ว กระทั่งเปลวเพลิงตรงระหว่างคิ้วยังกลายเป็นสีแดง
เมื่อเส้นใยโลหิตปกคลุมตัวเหอเฟิงแล้ว วิญญาณค้างคาวจันทราในตัวเหอเฟิงจึงหลอมรวมเข้าไปใหม่ ขณะเหอเฟิงตัวสั่นเทาก็พลันลืมตาขึ้น
ตอนที่เขาลืมตาทั้งสอง ในดวงตาปรากฏลูกตาจันทร์โลหิต เขาจ้องซูหมิงด้วยสีหน้าซับซ้อน ซูหมิงก็มองเขาด้วยแววตาน่าเกรงขาม
ทั้งสองคนประสานสายตากัน ผ่านไปครู่หนึ่งเหอเฟิงจึงหลับตา ตอนที่ลืมตาอีกครั้ง เขาค่อยๆ คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น จนถึงตอนนี้นิ้วของซูหมิงยังแตะอยู่ตรงระหว่างคิ้วเหอเฟิง
เมื่อคุกเข่าลง เหอเฟิงไม่ตัวสั่นอีกต่อไป เปลวเพลิงโดยรอบลากยาวเข้ามาพันรอบเขากับซูหมิง ปีกค้างคาวจันทราที่กางออกค่อยๆ หุบกลับมาแล้วทิ้งตัวอยู่ด้านหลัง
กลิ่นอายที่พลังแข็งแกร่งแฝงอยู่ในตัวเหอเฟิง ความแข็งแกร่งของมันทำให้ซูหมิงรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งขั้นเซ่นไหว้กระดูก!
“ใช้ดวงจันทร์เป็นคำสาบาน ข้าจะติดตามนายท่าน…ใช้ค้างคาวเป็นเกียรติยศ…ให้หมานเพลิงแผดเผาสวรรค์อีกครั้ง…เหอเฟิงแห่งหมานเพลิงคารวะราชา…” เหอเฟิงก้มหน้าลง
“ข้ามอบพลังแห่งหมานเพลิงให้เจ้าได้…ก็เอาคืนได้เช่นกัน!” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง ยกนิ้วมือออกจากหว่างคิ้วเหอเฟิง
ยามซูหมิงยกนิ้วขึ้น ทะเลเพลิงโดยรอบพลันขยับขึ้นลงเหมือนโห่ร้องด้วยความดีใจ ม้วนตัวกันหลายชั้นก่อนตรงมาทางเหอเฟิง แล้วหลอมรวมเข้าสู่ร่างกายเขาโดยสมบูรณ์ ท้ายที่สุดก็รวมตรงระหว่างคิ้ว ทำให้สัญลักษณ์เปลวเพลิงสมจริง!
เพียงแต่สีมันยังเป็นแดงโลหิต สีแดงแบบนี้เป็นสีโลหิตของซูหมิง ในนั้นแฝงไว้ด้วยจิตใจของซูหมิง!
“หมานเพลิงคารวะดวงจันทร์ ใช้ดวงจันทร์เป็นเกียรติยศ จากนี้ไปเจ้าก็จงเป็นเงาของข้า เงาร่างใต้แสงจันทร์คือที่พักพิงของเจ้า” ซูหมิงหมุนตัวกลับแล้วเดินออกจากห้องหิน ขณะเดียวกับที่เขาเดินออกไป เหอเฟิงคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ตรงนั้น ร่างค่อยๆ ขมุกขมัวจนหายไปในที่สุด จากนั้นเงาใต้เท้าซูหมิงมีบางอย่างเพิ่มเข้ามา
ช่วงที่ซูหมิงเดินออกจากถ้ำ จื่อเชอมองอยู่ไม่ไกลนัก นัยน์ตาเขาดูลังเลใจ เห็นได้ชัดว่าเสียงคำรามของเหอเฟิงก่อนหน้านี้มิใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยิน เขาพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้เกี่ยวกับเรื่องความลับในถ้ำซูหมิง
เทียบกับจื่อเชอแล้ว วานรเพลิงนอกถ้ำที่เดิมทีนั่งยองใช้เล็บสาวขนตัวเองอยู่ พอซูหมิงเดิมออกมาจากถ้ำมันกลับเงยหน้าขึ้น จ้องใต้เท้าซูหมิงแล้วแยกเขี้ยวส่งเสียงร้อง
มันมีสีหน้าตื่นตัว ราวกับบางสิ่งใต้เท้าซูหมิงทำให้มันขนลุกทั้งตัว ขยับถอยหลังไปหลายก้าว ทั้งยังร้องเสียงดังมากขึ้น
จื่อเชอมองใต้เท้าซูหมิงทันที แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มองไม่เห็นความต่าง ใต้เท้าซูหมิงไม่มีอะไรนอกจากเงาใต้แสงจันทร์
“เงา…” จื่อเชอตัวสั่น สายตาพลันมองเงาซูหมิง
สีหน้าเริ่มตื่นกลัว เขาเห็นว่าเงาซูหมิงมิใช่รูปร่างคน แต่เหมือนมีปีกที่ยังไม่กางอยู่ด้วย อีกทั้งในชั่วพริบตาที่จื่อเชอมองไป เขายังเหมือนเห็นดวงตาสีแดงโลหิตคู่หนึ่งกำลังมองเขาอย่างเย็นชาอยู่ในเงานั้น
จื่อเชอใจสั่น รีบถอยหลบ
“ไม่ต้องมองเงาข้า” ซูหมิงกล่าวช้าๆ แล้วนั่งขัดสมาธิบนแท่นราบนอกถ้ำ เงยหน้ามองจันทร์บนท้องฟ้า
จื่อเชอรีบขานรับ ก่อนถอยไปหลายก้าวขณะก้มหน้าลง ในใจไม่อาจสงบลงได้ เขารู้สึกว่าเมื่อครู่ไม่ได้ตาฝาดไป เงาซูหมิงมีตัวประหลาด โดยเฉพาะดวงตาสีแดงโลหิตที่มองตน ทำให้จื่อเชอตื่นตะลึง ทั้งยังรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างตนกับซูหมิงถูกขยายใหญ่ขึ้นจนไร้ขีดจำกัด
เมื่อระยะห่างถูกขยายจนถึงจุดหนึ่งแล้ว…
‘อาจารย์อาจะไม่ต้องการให้ข้าเฝ้าถ้ำอีก…’ จื่อเชอก้มหน้าเงียบๆ นั่งอยู่ตรงนั้น แววตาเด็ดขาด
‘ขั้นพลังข้าไม่พัฒนามานานมากแล้ว คอขวดขั้นเซ่นไหว้กระดูก หรือว่าข้าจะทะลวงไม่ไหวจริงๆ!’ จื่อเชอนึกในใจ ซูหมิงมองดวงจันทร์บนท้องฟ้า วานรเพลิงด้านข้างจ้องเงาซูหมิง มีสีหน้าไม่เป็นมิตร
“ก่อนไปแผ่นดินเผ่าเชมัน เจ้าคอยอยู่กับข้าด้วย ข้าจะเรียกเจ้าว่า…เสี่ยวหงแล้วกัน….รอจนถึงแผ่นดินเผ่าเชมันเมื่อไรข้าจะให้อิสระเจ้า…จากนี้จำเอาไว้ว่าอย่าถูกใครจับอีก” ขณะวานรเพลิงจ้องเงาซูหมิง ซูหมิงพลันหันหน้ามองมันพลางกล่าวเบาๆ
วานรเพลิงกลอกตา เหลือบมองซูหมิงแวบหนึ่ง มีสีหน้าไม่เชื่ออย่างชัดเจน
มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า คนเหงาต่างกัน ทว่าแสงจันทร์ที่มองเห็นมีเพียงหนึ่งเดียว ยามนี้ภายใต้แสงจันทร์ มีสตรีผู้หนึ่งบนยอดเขาลำดับเจ็ด นางปลดเชือกฟางสีแดงบนผม ปล่อยผมเปียข้างหู ไม่สวมชุดขาวอีก ตรงหน้าผากไม่มีผลึกพร่างพราว ซ้ำยังถอดตุ้มหูกระดูกออก นางนั่งอยู่บนหิน สองมือเท้าคางพลางเหม่อมองดวงจันทร์บนท้องฟ้า…