ตอนที่ 281 นกใหญ่
ซูหมิงยืนขึ้นมองภาพของไป๋ซู่ ค่อยๆ หลับตาลง หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ช่วงที่ลืมตาอีกครั้ง เขาเดินออกไปยืนอยู่ตรงขอบแท่นราบนอกถ้ำ ยามนี้ท้องฟ้ามืดลง ทว่าหิมะด้านล่างกลับสะท้อนแสงสีขาว ทำให้แผ่นดินตรงนี้ไม่มืดสลัว
แท่นราบที่ซูหมิงยืนอยู่เป็นส่วนที่โน้มไปทางปลายยอดเขาลำดับเก้า ห่างจากพื้นด้านล่างใช้คำว่าสูงหมื่นจั้งมาบรรยายได้ เมื่อก้มหน้าลงมอง หากเป็นคนธรรมดาคงหัวใจเต้นแรง เกิดความรู้สึกมึนหัว
ซูหมิงอยู่ตรงนั้น เพ่งมองลงไป นัยน์ตาวูบไหว
‘นกใหญ่ทองคำอาศัยอยู่ในโลกใบนี้ โผบินอยู่เหนือสวรรค์เก้าชั้น สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเชมันเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าจะลอกแบบกันออกมาได้ง่ายๆ …..หากไม่เข้าใจความคิดของนกใหญ่ หากสัมผัสถึงไม่ถึงเจตนารมณ์ของมัน ก็คงยากจะตระหนักรู้ถึงจิตใจมัน…เช่นนั้น ความคิดกับเจตนารมณ์ของนกใหญ่ทองคำคืออะไร…..’ ซูหมิงยืนเงียบอยู่นาน ก่อนหลับตาอีกครั้ง พลันยกเท้าขวาขึ้น แล้วกระโดดลงเหวหมื่นจั้งตรงขอบแท่นราบ
หนึ่งก้าวนี้ตัวเขาอยู่กลางอากาศ ไม่ได้โคจรพลังชำระล้างหรือใช้ของวิเศษใดๆ ตัวเขาจึงดิ่งลงเขาอย่างรวดเร็วราวกับหินก้อนใหญ่
เขาดิ่งลงเร็วยิ่งนัก เมื่อตัวเสียดสีกับอากาศจะเกิดเป็นเสียงลากยาว ซูหมิงหลับตา กางแขนทั้งสองข้าง ขณะกำลังดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ในความคิดผุดภาพนกใหญ่ทองคำกำลังโผบินอยู่ในทะเลหมอก
‘ความคิดของนกใหญ่ และยังมีเจตนารมณ์ของมัน ขณะโผบิน ในสายตาของมันตรงหน้าไม่มีสิ่งใดขวางกั้นชั่วนิรันดร์ บนท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล บินไปอย่างไร้ขอบเขต’ ซูหมิงดิ่งลงเร็วขึ้นเรื่อยๆ ข้างหูเขาได้ยินเสียงลมครืนๆ เสียงลมนั้นเหมือนกับฉีกขาดได้ทุกสิ่ง ยามที่เสียงดังขึ้น เหมือนว่าในนั้นมีเสียงประหลาดอยู่ด้วย
หนึ่งพันจั้ง สองพันจั้ง สามพันจั้ง…ขณะซูหมิงดิ่งตัวลง เขาหลับตาตลอด ในความคิดนอกจากเงานกใหญ่ทองคำแล้วก็ไม่มีสิ่งใดอีก
สี่พันจั้ง ห้าพันจั้ง…..จนกระทั่งถึงแปดพันจั้ง ห่างจากก้นเหวใกล้ยิ่งนัก ช่วงที่เข้ามาใกล้ราวกับดาวตก โลหิตในตัวซูหมิงเหมือนโคจรทวนเข็ม หลั่งไหลเข้าสู่สมอง ทำให้มีเสียงอื้ออึงดังความคิด
เสียงอื้ออึงเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เริ่มทำให้ซูหมิงสติเลือนราง และทำให้นกใหญ่ทองคำเหมือนเป็นภาพมายา ซูหมิงพลันลืมตาขึ้น
ช่วงที่เขาลืมตา เสียงอื้ออึงดังสนั่นในความคิด เงานกใหญ่ทองคำเหมือนเงยหน้าแผดเสียงคำรามในความคิดเขา
‘ความคิดของนกใหญ่เป็นตัวแทนของความอิสระ เจตนารมณ์ของมันคืออิสระไร้ขอบเขตที่แสวงหา! ฉะนั้นมันจึงไม่ยอมเชื่อฟังใครง่ายๆ เพราะหากนกใหญ่เชื่อฟังใครสักคน มันก็จะไม่มีอิสระ เหมือนกับไม่มีจิตวิญญาณ! นกใหญ่ทองคำของอาจารย์ เห็นได้ว่าอาจารย์ไม่ได้จำกัดอิสระของมัน แต่ปล่อยให้อยู่ในแดนเผ่าเชมันตามใจชอบ มีแค่ตอนที่อาจารย์ต้องการใช้มันเท่านั้น มันถึงจะปรากฏตัว…ในนั้นจะต้องมีสาเหตุอื่นอีกแน่ มิเช่นนั้นแล้วต่อให้เป็นเช่นนั้นก็คงยากอยู่ดี’
นัยน์ตาซูหมิงเข้าใจ ขณะดิ่งลงเขา ซูหมิงปล่อยให้ตัวเองเข้าใกล้แผ่นดินน้ำแข็งอย่างเร็ว เพียงแต่ว่าเขายกมือขวาขึ้น แล้ววาดสองลายเส้นบนอากาศ!
การตวัดสองลายเส้นนี้แฝงไว้ด้วยพละกำลังของเขาทั้งหมด แฝงไว้ด้วยความเข้าใจ ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกของเจตนารมณ์นกใหญ่ทองคำ วินาทีที่วาดสองลายเส้น ตัวซูหมิงห่างจากพื้นไม่ถึงหนึ่งร้อยจั้ง ภัยอันตรายโอบล้อมกายและใจ เขากลับมิได้ต่อต้าน ตอนห่างจากพื้นไม่ถึงยี่สิบจั้ง ตัวเขาแทบจะแนบกับพื้น พลันปรากฏเป็นเส้นโค้งสมบูรณ์แบบ
ซูหมิงพุ่งทะยานขึ้นฟ้าด้วยความเร็ว ทำให้ตัวเขารู้สึกเหมือนกระแทกกับเทือกเขา แต่ตรงหน้าเป็นเพียงอากาศว่างเปล่าเท่านั้น
ความรู้สึกนี้เด่นชัดอย่างยิ่ง กระทั่งพูดได้ว่ามิใช่ความรู้สึก แต่เป็นความเจ็บปวดจากการกระแทกจริงๆ ภายใต้ความรู้สึกเช่นนี้ ระยะห่างจากแผ่นดินถึงท้องฟ้าในสายตาซูหมิงเหมือนถูกย่อลงหลายเท่า ราวกับว่าแผ่นดินกับท้องฟ้าสองจุดนี้เป็นสองเส้นหลอมรวมกันจนเกิดการปรับเปลี่ยนของตำแหน่ง
สิ่งเหล่านี้คือความรู้สึกของซูหมิงในชั่วพริบตา ตัวเขาพลันกลายเป็นจุดดำปรากฏอยู่บนท้องฟ้า แววตาเขาตื่นเต้น ร่างกายกลับเกิดความรู้สึกเจ็บปวด ชั่วพริบตาเมื่อครู่ เขาทะยานจากผืนดินขึ้นฟ้ามาด้วยความเร็วน่าสะพรึง ด้วยความเร็วระดับนั้นทำให้ร่างกายไม่อาจทนรับไหว เขารู้สึกว่าด้วยร่างกายของเขา หากใช้ความเร็วแบบเมื่อครู่อีก ตัวคงแตกกระจาย
‘นี่…คือความเร็วของนกใหญ่รึ…ไม่ใช่ ไม่เร็วเท่านกใหญ่ ยังขาดอีกหน่อย…..ทว่าแบบนี้ก็น่าทึ่งแล้ว!’ ซูหมิงระงับอารมณ์ตื่นเต้น ไม่กล้าใช้ความเร็วแบบนี้อีก เขาเดินกลับแท่นราบยอดเขาลำดับเก้าอย่างช้าๆ ก่อนนั่งขัดสมาธิลง มีโลหิตไหลมาจากมุมปาก
ทว่าโลหิตนี้ซูหมิงคิดว่ามันคุ้มค่า ใช้การกระอักโลหิตเป็นราคาที่ต้องจ่าย สำหรับการตระหนักรู้ถึงเจตนารมณ์ของลายเส้นนกใหญ่ทองคำสยายปีก มันคุ้มค่า!
‘ความแข็งแกร่งของร่างกายข้ายังไม่พอ หากแข็งแกร่งกว่านี้ น่าจะยืนหยัดใช้ได้นานกว่านี้หน่อย ด้วยความเร็วระดับนั้น…แม้แต่กระบี่เล็กแสงดำยังตามไม่ทัน!’
ซูหมิงหัวใจเต้นแรง การตระหนักรู้ถึงความเร็วของนกใหญ่ทองคำ กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ หากมิใช่เพราะกระดานภาพของไป๋ซู่ ซูหมิงคงไม่มีทางนึกถึงจุดนี้
เขากวาดสายตามองกระดานภาพของไป๋ซู่ ค่อยๆ หลับตาลง ในหัวนึกถึงแต่สองลายเส้นกับความเร็วก่อนหน้านี้ไม่หยุด
จนกระทั่งค่ำคืนผ่านไป เส้นขอบฟ้าเริ่มมีแสงสว่าง ซูหมิงจึงลืมตาขึ้น ในแววตายังมีความตื่นเต้นอยู่ เขาก้มหน้ามองตัวเอง นัยน์ตาขยับประกาย
“ตอนนี้หากข้าสวมเกราะแม่ทัพเทพ แล้วเกราะมีอาคมเพิ่มพลังป้องกัน อีกทั้งยังถอดกำไลน้ำแข็งออกทั้งหมด…หากใช้ความเร็วของนกใหญ่ทองคำ ความเร็วของข้าจะมีเท่าไร?” ขณะซูหมิงพึมพำเบาๆ ก็คิดวางแผนทดลองสักครู่ เพียงแต่ว่าโอกาสในการลงอาคมเกราะแม่ทัพเทพก็ยังไม่มากอยู่ดี
ขณะกำลังจะทดลอง ซูหมิงหน้าเปลี่ยนสี เขาเคลื่อนตัวตรงเข้าไปในถ้ำ เดินไปยังห้องรวมร่างระหว่างเหอเฟิงกับค้างคาวจันทราอย่างไม่ลังเล
ในนั้น เหอเฟิงค่อยๆ ลืมตา ดวงตาเขาเป็นสีแดงโลหิต ก่อนเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ผิวหนังทั้งตัวปริแตกอย่างรวดเร็ว ไม่มีโลหิตซึมแต่ปล่อยหมอกดำออกมา ตัวเขามีปีกค้างคาวจันทรา ยามนี้พลันกระพือขึ้นเหมือนอยากทะลวงออกจากถ้ำ ทว่าซูหมิงสาวเท้าเข้ามาไวๆ ยกมือขวาขึ้นวาดนิ้วลง
ขณะเดียวกันพลันปรากฏระฆังเขาหานเหนือศีรษะของเหอเฟิง ส่งเสียงระฆังดังกึกก้อง สร้างเป็นคลื่นเสียงและแรงกดดัน ขณะเหอเฟิงตัวสั่นสะท้าน เขาพลันหยุดชะงัก ได้สติกลับมาดังเดิม ใบหน้าเผยความเจ็บปวด
“นายท่าน….ข้าใกล้จะสำเร็จแล้ว…..ข้ารู้สึกได้ว่าหากผ่านครั้งนี้ไปและหลอมรวมอีกครั้ง ข้าจะทำสำเร็จ…..” น้ำเสียงเหอเฟิงเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ
ขณะกล่าว มือของซูหมิงกดตรงระหว่างคิ้วเขา
ตอนที่ซูหมิงกดนิ้ว อาภรณ์ของเขาปลิวไสวอย่างรุนแรง เส้นผมลอยขึ้น นัยน์ตาฉายแววเคร่งขรึม แรงกดดันมหาศาลเทียบเคียงกับขั้นชำระล้างมหาสมบูรณ์พลันปะทุออกมาจากตัวซูหมิง กระทั่งในด้านการต่อสู้ยังพอรับมือกับผู้แข็งแกร่งที่เพิ่งบรรลุถึงขั้นเซ่นไหว้กระดูกตอนต้นไหว ไหลไปตามนิ้วมือหลั่งทะลักเข้าไปในตัวเหอเฟิงที่กำลังหลอมรวมกับค้างคาวจันทรา
เหอเฟิงตัวสั่น ค่อยๆ นั่งลง
“นายท่าน…ข้า……ตอนกำลังหลอมรวม……ข้าเห็น…..ความทรงจำของพวกมัน…ข้า……” ขณะเหอเฟิงกล่าว พลันแยกเขี้ยวปีศาจ ยังกล่าวไม่จบก็กลายเป็นเสียงคำราม
“เพลิง…..” ในเสียงคำรามของเหอเฟิงมีคำนี้อยู่ ขณะคำรามมีเปลวเพลิงแผ่ขยายมาจากในตัวเขา ราวจะแผดเผาถ้ำของซูหมิงให้ราบพณาสูร
ทว่าทันใดนั้น จันทร์โลหิตในดวงตาขวาของซูหมิงวูบไหว เขายกมือขวาขึ้นกดตรงหน้าผากของเหอเฟิงอย่างแรง ทำให้เพลิงที่แผ่ขยายมาจากตัวเหอเฟิงหยุดนิ่ง แล้วม้วนหดตัวกลับเข้าไปในตัวเหอเฟิง
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ซูหมิงช่วยเหอเฟิงหลอมรวมในครั้งนี้กินเวลามากว่าเมื่อก่อน วันแรกผ่านไปก็ยังไม่เสร็จ
ไป๋ซู่มาถึงยอดเขาลำดับเก้าแต่เช้า นางรออยู่พักหนึ่งก็เดินเข้าไปในถ้ำของซูหมิง แต่เพิ่งเหยียบเข้ามากลับถูกพลังบางอย่างผลักออก ลองอยู่หลายครั้ง นางจึงนั่งลงข้างๆ อย่างไม่สบอารมณ์ จนกระทั่งยามค่ำคืนมาถึงจึงจากไปอย่างไม่เต็มใจ
ขั้นตอนนี้กินเวลาไปเจ็ดวัน เมื่อยามโพล้เพล้วันที่เจ็ดผ่านไป ยามค่ำคืนมาเยือน ซูหมิงลืมตา เหอเฟิงตรงหน้าเขากลับมาเป็นกลุ่มแสงสีดำขนาดยักษ์อีกครั้ง โดยรอบเงียบสงัด ทว่ากลับมีแรงกดดันมหาศาลแผ่มาจากในกลุ่มแสง
ขณะซูหมิงมองกลุ่มแสง ความรู้สึกผูกพันทางสายเลือดผุดขึ้นในใจ เขามีสีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย หลังจากมองอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วจึงเดินออกไปนั่งฌานเพื่อพักผ่อน
ขณะเดียวกัน ณ ยอดเขาลำดับเจ็ด นอกถ้ำของไป๋ซู่ มีแขกที่มิได้รับเชิญมาผู้หนึ่ง บุคคลนี้เป็นสตรีอยู่ในยอดเขาลำดับเจ็ดเช่นกัน แต่ขั้นพลังไม่สูง ปกติจะเป็นคนเงียบๆ จึงถูกมองข้ามได้ง่าย
นางมาส่งมอบแผ่นไม้ไผ่บันทึกให้ไป๋ซู่
บนแผ่นไม้ไผ่บันทึกมีตัวอักษรงดงาม เขียนชื่อซือหม่าซิ่น
“ศิษย์พี่ซือหม่าอยากพบเจ้า” สตรีส่งแผ่นไม้ไผ่เสร็จก็กล่าวด้วยความเย็นชา แล้วหมุนตัวจากไป
ไป๋ซู่ถือแผ่นไม้ไผ่บันทึก เหม่อมองอยู่อย่างนั้น ในความคิดสับสน นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินว่าซือหม่าซิ่นอยากพบนางแล้วมีสภาพจิตใจเช่นนี้